Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1595

ตอนที่ 1595

ใครบางคนอยู่เหนือสูงสุด

สงครามระหว่างอาณาจักรขุนเขาทะเลและชางหมางพ่าย (สำนักไร้สิ้นสุด) เริ่มดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งพันปี แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดสามารถจะกวาดล้างอีก

ฝ่ายออกไปได้ ในที่สุดพวกมันก็ทำสัญญาสงบศึก จำนวนผู้ฝึกตนที่ตายไปเกินกว่าที่จะคิดคำนวณออกมาได้

เหตุผลเดียวที่มีการทำสัญญาสงบศึกก็เนื่องมาจากจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน ความเป็นศัตรูกันระหว่างกองกำลังทั้งสองคล้ายกับเป็นมหาสมุทรแห่งโลหิต ปัญหานี้ไม่มีทางจะคลี่คลายลงไปได้

เวลาอีกห้าพันปีผ่านพ้นไป และเมิ่งฮ่าวก็ไม่เคยออกมาจากการเข้าฌานอีกเลย ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในห้วงการหลับใหล แต่ความเป็นจริงก็คือว่าเขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ทำการวิเคราะห์ถึงปัญหาคำสาปแช่งอย่างต่อเนื่อง เวลาเดียวกันนั้นก็ผนึกสถานที่เข้าฌานของตนเองให้ตกอยู่ภายในอาณาจักรบรรพจารย์

เขาล้มเลิกความพยายามที่จะไปค้นหาหลัวเทียนตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขตแล้ว เมื่อหลายปีก่อนมักจะรู้สึกกระวนกระวายต้องการจะต่อสู้ แต่ตอนนี้ก็ตระหนักแล้วว่าผู้ที่จำเป็นต้องวิตกกังวลก็คือหลัวเทียน ไม่ใช่ตนเอง

“เมื่อเจ้าคิดว่าจะหลบซ่อนตัวได้ ข้าก็จะให้เจ้าหลบซ่อนจนพอใจ ถึงแม้ว่าข้าจะเสียใจอยู่ตลอดเวลา แต่เจ้าก็จะอ่อนแอลงไปอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน” เมิ่งฮ่าวไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมา ยังคงนั่งเข้าฌานอยู่บนขุนเขาที่เก้า ปล่อยให้เวลาเลื่อนผ่านไป

อีกห้าพันปีผ่านไป ตอนนี้การต่อสู้ระหว่างเมิ่งฮ่าวและหลัวเทียนได้ผ่านไปแล้วสามหมื่นปี หลังจากที่ใช้เวลาหลายพันปีเพื่อฟื้นฟูและสร้างขึ้นมาใหม่ อาณาจักรขุนเขาทะเลและชางหมางพ่ายก็เริ่มทำสงครามกันอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งที่สอง

สงครามในครั้งนี้ยังได้มีความรุนแรงมากกว่าครั้งแรกอีกด้วย ในการทำสงครามครั้งแรก กองกำลังทั้งสองค่อนข้างจะเท่าเทียมกัน แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ชางหมางพ่ายเริ่มได้เปรียบมากขึ้น เหตุผลก็คือว่าหนึ่งในปรมาจารย์ของพวกมันได้เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย!

ปรมาจารย์ผู้นั้นมีชีวิตอยู่มานานมากแล้ว อันที่จริงผู้คนมากมายได้ลืมมันไปโดยสิ้นเชิง สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นบุคคลจากเมื่อในอดีต เป็นคนที่คงอยู่แต่ในตำนานเท่านั้น

มันมีนามว่า ซาจิ่วตง!

มันไม่ได้ตายไปในช่วงของการเข้าฌานเมื่อสามหมื่นปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็โผล่ออกมาพร้อมกับพื้นฐานฝึกตนที่บรรลุถึงระดับอันน่าตกใจ ตอนนี้มันแก่ชรามากเป็นอย่างยิ่ง มากจนกระจายเป็นกลิ่นอายแห่งความตายออกมา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็สามารถจะสังหารผู้ยิ่งใหญ่เก้าแก่นแท้จากอาณาจักรขุนเขาทะเลไปเป็นจำนวนมากเพียงลำพัง

มันคนเดียวได้เปลี่ยนแปลงสงครามในครั้งนี้ไปจนหมดสิ้น ดูเหมือนว่าจะไร้ผู้ต่อต้านจนทำให้จิตใจของศัตรูต้องเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ร่างกายที่เก่าแก่โบราณของมันดูเหมือนว่าจะประกอบไปด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัด แต่เมื่อมันมองไปยังผู้ฝึกตนขุนเขาทะเล ก็มักจะเต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน ดูเหมือนว่ากำลังขบคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อในอดีต ราวกับว่ามีสิ่งที่น่ากลัวกำลังคงอยู่ภายในส่วนลึกของแววตา

เมื่อซาจิ่วตงเข้าร่วมการต่อสู้ ผู้ฝึกตนขุนเขาทะเลก็ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างต่อเนื่อง พวกมันถูกกองกำลังแห่งชางหมางพ่ายโจมตีจนต้องถอยร่อนไปทางด้านหลังครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งไปอยู่ที่ด้านนอกบ้านเกิดของตนเอง เกิดการเข่นฆ่าสังหารไปทั่วตรงด้านนอกของเก้าขุนเขาทะเล

ในตอนนี้เมื่อผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลตกอยู่ในความสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง ซาจิ่วตงก็กัดฟันแน่นและเตรียมตัวที่จะนำกองกำลังพุ่งตรงไปโจมตี แต่ในทันทีที่มันผ่านเข้าไปตรงเขตชายแดน เก้าขุนเขาและเก้าทะเลก็เริ่มสั่นสะเทือนไปทั่ว เกิดเป็นพลังพุ่งขึ้นมาจนทำให้ผู้ฝึกตนทั้งปวงต้องสั่นสะท้าน พลังนั้นออกมาจากเก้าขุนเขาและเก้าทะเลเอง

เป็นสิ่งที่สามารถจะทำให้สวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือน และทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวต้องเต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้อง ผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลเริ่มคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที

“นั่นคือ…พลังแห่งบรรพชนพวกเรา?”

“ข้าเคยได้ยินมาว่า ครั้งหนึ่งอาณาจักรขุนเขาทะเลจริงๆ แล้วก็เป็นของวิเศษอย่างหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นมาโดยบรรพชนบางท่านในสมัยโบราณ!”

ในขณะที่ผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลตกอยู่ในความตื่นเต้น ซาจิ่วตงก็แผดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว พลังที่ระเบิดออกมาจากอาณาจักรขุนเขาทะเล ทำให้จิตใจมันต้องสั่นสะท้าน และรีบพุ่งถอยไปทางด้านหลังด้วยความรวดเร็วสูงสุดในทันที

“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว! ได้โปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ไว้ชีวิตข้าด้วย!” ซาจิ่งตงเต็ม

ไปด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เริ่มร้องขอชีวิตในทันที เป็นความหวาดกลัวเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นมาเมื่อสามหมื่นปีก่อน ซึ่งยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจ

แต่แทบจะในทันทีที่มันพูดจบ ก็รู้สึกได้ว่าพลังนี้ไม่ได้พุ่งออกมาจากเมิ่งฮ่าว แต่มาจากอาณาจักรขุนเขาทะเลเอง ทำให้ต้องหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน

“จริงๆ แล้วท่านไม่ได้ต้องการจะสังหารข้า ท่านจากไปนานแล้ว สิ่งที่พยายามจะสังหารข้าก็คือพลังแห่งของวิเศษที่ท่านทิ้งไว้ ข้า, ซาจิ่วตง มีพื้นฐานฝึกตนที่เข้าใกล้เหนือสูงสุดอีกไม่ไกลแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจจะต่อต้านของวิเศษที่ท่านทิ้งไว้ได้…”

ก่อนที่มันจะทันได้ล่าถอยออกไปไกลมากกว่านั้น ผู้ฝึกตนทั้งปวงจากอาณาจักรขุนเขาทะเลและชางหมางพ่าย ก็เฝ้ามองไปขณะที่ดูเหมือนว่าผู้พิสดารที่ไร้ผู้ต่อต้านนี้จะถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งเก้าขุนเขาทะเล พลังนั้นได้กลายเป็นภาพของขุนเขาทะเล จากนั้นก็บดขยี้ลงไปบนร่างของซาจิ่วตง

เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้คนทั้งหมดต้องสั่นสะท้านไปมา เมื่อภาพของขุนเขาทะเลจางหายไป สิ่งเดียวที่ยังคงเหลืออยู่ของซาจิ่วตงก็คือร่างกายที่แหลกเหลวเต็มไปด้วยโลหิต

มันถูกสังหารไปทั้งร่างกายและวิญญาณ!

ถึงแม้ว่าระดับพลังของมันจะสูงส่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ถูกบดขยี้ไปจากการโจมตีมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ความตายของมันทำให้ทั่วทั้งสนามรบต้องเงียบกริบไปโดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนจากชางหมางพ่ายจ้องมองไปด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน และจากนั้นก็แผดร้องขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ตระหนักดีว่ากำลังพ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง และเมื่อมองไปยังเก้าขุนเขาทะเล ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

แต่ในทางกลับกัน ผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรขุนเขาทะเลต่างก็เต็มไปด้วยความดีใจ แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะเห็นอยู่นี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักว่ายังไม่เข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบ้านเกิดของตนเองได้อย่างถ่องแท้

โดยเฉพาะในตอนที่ผู้คนมากมายได้ยินคำพูดที่ซาจิ่วตงกล่าวขึ้นมาก่อนตาย ซึ่งสามารถจะรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของมัน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

เห็นได้ชัดว่าคงจะมีใครบางคนที่มีชื่อเสียงอย่างสูงสุดเมื่อนานมาแล้ว แต่ไม่ยอมปรากฏตัวขึ้น ทำให้ไม่มีใครสามารถจะจดจำได้

 

และสงครามก็สิ้นสุดลงเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวยังคงนั่งเข้าฌานตามลำพัง เมื่อลืมตาขึ้นมาก็มองออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ดูเหมือนว่าแววตาจะเก่าแก่โบราณอย่างลึกล้ำ หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ ก็หลับตาลงและเข้าฌานต่อไป

คำพูดก่อนตายของซาจิ่วตงดูเหมือนว่าจะเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเล หลายพันปีต่อมาผู้คนมากมายเริ่มทำการค้นคว้าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของบ้านเกิดตนเอง และค้นหาว่ามีจุดเริ่มต้นมาได้อย่างไร พวกมันยกเลิกการขยายอาณาเขต เลิกล้มความพยายามที่จะก่อ

สงครามกับชางหมางพ่าย แต่เพ่งความสนใจไปที่การค้นหาร่องรอยประวัติศาสตร์เพื่อย้อนกลับไปยังรากฐานของตนเองแทน

ในที่สุดก็ผ่านไปแล้วสี่หมื่นปี

ผู้ฝึกตนอาณาจักรขุนเขาทะเลยังคงครุ่นคิดใคร่ครวญถึงเรื่องเหล่านั้น แต่ตรงกันข้ามกับชางหมางพ่าย พวกมันม้วนกวาดไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ขยายอาณาเขตออกไปมากขึ้น แต่พวกมันก็มักจะลังเลว่าจะทำอะไรกับอาณาจักรขุนเขาทะเลดีหรือไม่

ความลังเลนี้คงอยู่ต่อไปอีกหนึ่งหมื่นปี แต่จากนั้นปรมาจารย์อีกคนแห่งชางหมางพ่ายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจขึ้นมา

คนผู้นั้นโผล่ออกมาจากเขตนั่งเข้าฌานตามลำพังด้วยท่าทางที่เก่าแก่โบราณและสวมใส่ชุดยาวสีทอง คนทั้งหมดต่างก็เรียกขานมันว่าปรมาจารย์ชุดทอง ซึ่งก็คือจินหยุนซานนั่นเอง

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสั่นไหวไปมาโดยสิ้นเชิง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนสั่นสะท้าน และผู้ฝึกตนทั้งปวงต่างก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายเหนือสูงสุดที่กระจายออกมาจากชางหมางพ่าย

 

เมื่อผ่านไปหนึ่งหมื่นปี จินหยุนซานก็เป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยที่ยังคงมีชีวิตอยู่ และจดจำเหตุการณ์เมื่อในอดีตได้ มันเคยพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงอยู่บนแท่นบูชาเหนือสูงสุด และเคยติดตามเมิ่งฮ่าวเข้าร่วมสงคราม เคยเห็นเขาต่อสู้มา และมีอิทธิพลต่อจิตใจมันอย่างลึกล้ำ

ในที่สุดหลังจากที่ผ่านไปอีกหนึ่งหมื่นปี เมื่ออายุขัยกำลังจะสิ้นสุดลง กายเนื้อของมันก็บรรลุเหนือสูงสุด อยู่ในสถานะเดียวกันกับจิ่วเฟิงเมื่อหลายปีก่อนโน้น ผ่านเข้าไปในเส้นทางเหนือสูงสุดได้เป็นก้าวแรก หลังจากนั้นพื้นฐานฝึกตนของมันก็ทะลวงผ่านไปด้วยเช่นกัน

สิ่งเดียวที่ยังคงขาดอยู่ก็คือวิญญาณเหนือสูงสุด แต่ก็เป็นก้าวที่ยากจะข้ามผ่านไปได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าพลังอันน่ากลัวของมันจะยังไม่บรรลุถึงระดับสูงสุดอย่างสมบูรณ์ แต่ด้วยกายเนื้อและพื้นฐานฝึกตนเหนือสูงสุด ก็ทำให้มันอยู่ห่างจากความสมบูรณ์แบบแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น ถึงจะสามารถกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่เหนือสูงสุดได้อย่างแท้จริง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!