Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1612

ตอนที่ 1612

ร่องรอยที่หายไป

เมิ่งฮ่าวและสวี่ชิงเดินทางไปในท่ามกลางสำนักที่แข็งแกร่งในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเล เพื่อตรวจสอบดูผู้คนที่คุ้นเคยสร้างชื่อเสียงจนเลื่องลือไปทั่ว หลังจากที่ถือกำเนิดใหม่ขึ้นมา

จื่อเซียงกลายป็นกงจู่ (องค์หญิง) ในแคว้นของมนุษย์ธรรมดาแห่งหนึ่ง หลี่หลิงเอ๋อร์เข้าสังกัดสำนักที่แข็งแกร่ง และกลายเป็นศิษย์สืบทอดเพียงคนเดียวของสำนักนั้น

หวังโหย่วฉายเป็นผู้ฝึกตนเร่ร่อนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่ากลัวอย่างเข้มข้น ทำการต่อสู้และสังหารจนมีชื่อเสียงขึ้นมา ต๋งหู่เป็นน้องชายของมัน และคนทั้งสองก็สร้างชื่อไปทั่วในหมู่ผู้ฝึกตนเร่ร่อนทั้งปวง!

ไท่หยางจื่อและผู้คนที่คุ้นเคยอีกมากมายต่างก็มีตำนานของตนเองทั้งสิ้น

ไห่เมิ่งจื้อจุนคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งในชาติก่อน แต่ตอนนี้นางเลือกที่จะอยู่ในโลกมนุษย์ธรรมดา แต่งงานและมีบุตร ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข…

จากนั้นก็ยังมีตี้จ้าง ท่านเลือกที่จะอยู่ในโลกมนุษย์ธรรมดาด้วยเช่นกัน กลายเป็นตุลาการท้องถิ่นที่ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง นำความยุติธรรมมาให้กับผู้คนทั่วไป!

ตานกุ่ยมีทักษะในเต๋าแห่งการปรุงยามาตั้งแต่กำเนิด และการเกิดใหม่ก็ไม่ได้ทำให้ท่านต้องเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ท่านเข้าสังกัดสำนักปรุงยาที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว กลายเป็นผู้ถูกเลือกที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด

ฝานตงเอ๋อร์กลายเป็นผู้นำกองกำลังกบฎในโลกของมนุษยธรรมดาแห่งหนึ่ง นางนำผู้คนลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อต้านผู้ปกครองที่เผด็จการ ถึงแม้ว่านางจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น แต่ก็ยังคงสาดประกายเจิดจ้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนทั้งปวงที่เฝ้ามองมา

 

ฟางอวี๋และซุนไห่มีความผูกพันกันในฐานะที่เป็นสามีและภรรยาไปตราบชั่วนิรันดร์ ความผูกพันนั้นยังคงอยู่ต่อไปแม้จะผ่านเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะเข้าสังกัดสำนักที่ห่างไกลกันเป็นอย่างมาก แต่ด้วยโชคชะตาที่มีร่วมกัน ทำให้ต้องมาพบกันในท้ายที่สุด…

เมิ่งฮ่าวจัดการให้เคออวิ๋นไห่และเคอจิ่วซือกลายมาเป็นบิดาและบุตรกันอีกครั้ง เคออวิ๋นไห่ก็ยังคงเป็นบิดาที่น่ารักเหมือนเช่นเคย และเคอจิ่วซือก็เป็นบุตรที่กตัญญู

เมิ่งฮ่าวท่องเที่ยวไปทั่วทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งขุนเขาทะเล เพื่อเฝ้ามองดูคนทั้งหมดที่ตนเองจดจำได้จากเมื่อในอดีต

บางคนก็มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ธรรมดา บางคนก็เลือกที่จะฝึกตน แต่ไม่ว่าพวกมันจะเป็นอะไร ต่างก็ได้รับการประทานพรจากเมิ่งฮ่าว พวกมันต่างก็เป็นที่รักใคร่ของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า

เสียงหัวเราะด้วยความยินดีดังก้องไปทั่วทุกที่ เมล็ดวิญญาณทั้งหมดที่ผ่านเข้าไปในวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ได้พบกับความสงบสุข และความสุขเหล่านั้นก็ทำให้ใบหน้าเมิ่งฮ่าวต้องเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

มันคือความสุขที่เกิดขึ้นกับเมิ่งฮ่าวในทันทีที่คำสาปแช่งถูกทำลายไปแล้วในตอนนี้

ในที่สุดเขาก็พบกับหม่านเอ๋อร์ ซึ่งเป็นบุตรีของฉู่อวี้เยียน หลังจากที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ นางก็เลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนอีกครั้ง กลายเป็นผู้ถูกเลือกแห่งสำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว เมิ่งฮ่าวมองไปยังนางด้วยความรักของบิดา และด้วยเช่นนั้นก็สามารถจะถือได้ว่านางคือผู้ถูกเลือกแห่งสวรรค์ได้อย่างแท้จริง นอกจากนั้นบิดานางก็คือเจตจำนงแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวด้วยเช่นกัน

อ๋าวเฉี่ยนเติบโตขึ้นพร้อมกับหม่านเอ๋อร์ กลายเป็นสหายที่จงรักภักดีกับนางไปชั่วชีวิต

 

เมื่อเมิ่งฮ่าวมองเห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขบนใบหน้าของหม่านเอ๋อร์ ดวงตาก็สาดประกายขึ้นด้วยความรักความอบอุ่น ยกมือขึ้นมาและโบก

สะบัดออกไป ทิ้งเครื่องหมายผนึกไว้บนวิญญาณนาง เป็นเครื่องหมายที่เชื่อมต่อคนทั้งสองเข้าด้วยกันในฐานะของบิดาและบุตรีไปตราบชั่วนิรันดร์ หลังจากที่เมิ่งฮ่าวจากไป ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน ความสัมพันธ์นี้ก็จะคงอยู่ตลอดไป

ภายในส่วนลึกของจักรวาลอาจจะเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองพลุกพล่าน แต่ก็ประกอบด้วยอันตรายนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน เมิ่งฮ่าวมีความเชื่อมั่นที่จะนำสวี่ชิงไปยังที่แห่งนั้นพร้อมกับตัวเอง แต่ก็หวังว่าสหายและเครือญาติของตนเองจะถูกปกป้อง…อยู่ภายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

นี่คือบ้านของเขา และกลุ่มคนเหล่านั้นก็เป็นครอบครัวของตนเองด้วยเช่นกัน

“คนทั้งหมดมีความสุขมาก” สวี่ชิงกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา จับมือเมิ่งฮ่าวไว้ เขาพยักหน้าและคนทั้งสองก็มุ่งหน้าออกไปยังที่ห่างไกล

บนดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งภายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มีสภาพอากาศที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก จากตำนานที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา ในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านไปนับไม่ถ้วน สถานที่แห่งนี้จะมีบุปผาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา แบ่งแยกดินแดนแห่งนี้ออกเป็นสองส่วน หนึ่งเป็นน้ำแข็ง อีกหนึ่งเป็นเปลวไฟ ในที่สุดก็มีฟ้าดินเกิดขึ้น แต่ก็ยังคงมีแค่สองฤดูกาลเท่านั้น ครึ่งปีจะเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง อีกครึ่งปีจะเป็นเปลวไฟอันร้อนแรง

ด้วยสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้มีผลกระทบต่อบุคลิกส่วนตัวของกลุ่มคนที่ถือกำเนิดขึ้นมาในที่แห่งนี้ และคนส่วนใหญ่ก็มักจะฝึกฝนเวทที่เกี่ยวข้องกับน้ำแข็งและเปลวไฟ

ตรงจุดศูนย์กลางของโลกแห่งนี้เป็นภูเขาลูกหนึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำแข็ง อีกครึ่งหนึ่งปกคลุมไปด้วยเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ อย่างไรก็ตามบนยอดเขาก็มักจะเย็นสบายเหมือนกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา พร้อมรอยยิ้มและแววตาอันลึกล้ำ ขณะที่มองออกไปยังที่ห่างไกล บุรุษผู้นี้มีนามว่าสุ่ยตงหลิว ตอนที่ถือกำเนิดขึ้นมามันไม่ได้มีนามนี้ นี่เป็นนามที่ตั้งให้กับตนเอง มันมักจะบอกกับคนอื่นๆ ว่านี่เป็นนามที่แท้จริงของตนเอง…สุ่ยตงหลิว

มันเป็นศิษย์ของสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่แทนที่จะพยายามฝึกตน กลับชอบที่จะนั่งอยู่บนยอดเขา และมองออกไปยังที่ห่างไกล ราวกับว่ากำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่

ผู้คนเคยถามมันว่ากำลังเฝ้ารอคอยอะไร และคำตอบของมันก็มักจะเป็นเช่นเดียวกันอยู่เสมอ “ข้ากำลังรอคอยสหายเก่า มันใกล้จะจากไปในไม่ช้านี้แล้ว แต่มันจะมากล่าวอำลาก่อนที่จะจากไป”

วันคืนเลื่อนผ่านไป ความหนาวเย็นราวน้ำแข็งหมุนวนไปมาอยู่ด้านข้าง เปลวไฟกำลังลุกไหม้อยู่อีกข้าง ในวันหนึ่งแววตามันก็แวบขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า หันหน้าไปและยิ้มออกมา กล่าวว่า

“ไม่พบกันนานมากแล้ว”

ขณะที่พูดจบ เมิ่งฮ่าวและสวี่ชิงก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอยู่ที่เบื้องหน้า เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ

นี่คือการโค้งตัวลงเพื่อขอบคุณ เป็นคำขอบคุณให้กับสุ่ยตงหลิวที่แนะนำวิธีการทำลายคำ

สาปแช่งอย่างชาญฉลาด และเป็นการโค้งตัวลงด้วยความเคารพนับถืออย่างลึกล้ำอีกด้วยเช่นกัน

 

สุ่ยตงหลิวเริ่มหัวเราะขึ้นมา เป็นเสียงหัวเราะที่แจ่มใสดังก้องกังวาน เต็มไปด้วยความสุข

“การได้พบกับสหายเก่า มักเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต ข้าเคยดูดวงชะตาของเจ้าแล้ว และสามารถจะบอกได้ว่า…การเดินทางเข้าไปในห้วงจักรวาลของเจ้า จะนำชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่มาให้ สำหรับสถานที่แห่งนี้เจ้าไม่ต้องวิตกไป ข้าจะคอยดูแลให้เอง”

“ขอบคุณมาก ท่านผู้อาวุโส” เมิ่งฮ่าวกล่าว ไม่รู้สึกประหลาดใจที่สุ่ยตงหลิวฟื้นฟูความทรงจำกลับมาได้ สุ่ยตงหลิวคือบุคคลในตำนาน ไม่ว่าท่านจะมีตัวตนในฐานะที่เป็นจิ่วเฟิง หรือเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณที่มาจากห้วงกาลเวลาที่อยู่ห่างไกลออกไป เมื่อมาถึงอาณาจักรขุนเขาทะเลและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งนี้ ท่านก็มีความผูกพันกับมันเช่นเดียวกับเมิ่งฮ่าว

สวี่ชิงโค้งคำนับสุ่ยตงหลิว ผู้ที่นางรู้สึกเคารพและเลื่อมใสด้วยเช่นกัน

สุ่ยตงหลิวยิ้มและโคลงศีรษะไปมา มองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็สวี่ชิง และในที่สุดก็มองไปยังนกแก้ว

ถึงแม้จะมีรูปร่างหน้าตาของบุรุษหนุ่ม แต่เมื่อกล่าวขึ้นมา เสียงของท่านก็ดูเหมือนว่าจะเก่าแก่โบราณไปโดยสิ้นเชิง เต็มไปด้วยพลังแห่งกาลเวลา

“นกแก้วนี้…มาจากสถานที่แห่งเดียวกับหลัวเทียน อดีตของมันถูกผนึกไว้จนลืมไปหมดสิ้นแล้ว นำมันเข้าไปในห้วงจักรวาลพร้อมกับเจ้า ถึงเจ้าจะอยู่เหนือสูงสุดแล้ว แต่เมื่อนานมาแล้วมีใครบางคนบอกข้าว่าเต๋าคือสิ่งที่ไร้ขอบเขต” สุ่ยตงหลิวยิ้มและโคลงศีรษะไปมาอีกครั้ง ลุกขึ้นมายืน หันหลังและเดินจากไป ไกลเข้าไปในท้องฟ้า ผ่านเข้าไปในความว่างเปล่า ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ…

นกแก้วสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง ราวกับว่าเพิ่งจะนึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ เป็นสิ่งที่เลือนลางยากที่จะไขว่คว้าไว้ได้ แต่หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ มันก็ได้ยินเมิ่งฮ่าวกล่าวว่า

“ในตอนนี้ยังไม่ต้องไปคิดถึงมัน หลังจากนี้…ข้าจะช่วยเจ้าค้นหาร่องรอยที่หายไปเหล่านั้นเอง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!