Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1615

ตอนพิเศษ 1

เคออี้ฟู่

สายลมอันอ่อนโยนพัดผ่านท้องฟ้า ขณะที่ดวงตะวันยามสนธยาแต่งแต้มกลุ่มเมฆด้วยแสงสีแดง แสงยามเย็นอาบไล้พื้นดินให้กลายเป็นสีทอง และทุ่งนาก็ส่ายไหวไปมาเป็นระลอกคลื่นสีส้ม

ทุกสรรพสิ่งดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง

ต้นข้าวพริ้วสะบัดในสายลม กลายเป็นภาพอันงดงามจนทำให้ใครก็ตามที่มองมาต้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจ คล้ายกับอยู่ในสรวงสวรรค์

พื้นดินในที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ จนสามารถจะเก็บเกี่ยวพืชผลได้อย่างง่ายดาย ด้วยเช่นนี้ทำให้ผู้คนที่ทำไร่ไถนาต่างก็ร่ำรวยกันถ้วนหน้า นี่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ธรรมดา ผู้คนกระจายออกไปทั่วทั้งดินแดนแห่งนี้ คนทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านเรือน คอยดูแลใส่ใจครอบครัวของตนเอง

ตรงที่ราบสูงมีคฤหาสน์อยู่แห่งหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยบิดาและบุตร บุตรผู้นั้นมีความกตัญญูเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าครอบครัวนี้จะมีทรัพย์สมบัติอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ได้กระทำตัวเป็นลูกหลานเศรษฐีที่เอาแต่เที่ยวเตร่ไปวันๆ ให้ความเคารพและรักใคร่บิดาอย่างหาที่เปรียบมิได้

บิดายังไม่แก่ชรามากนัก มีอายุประมาณสี่สิบปีเท่านั้น แต่ก็ร่ำรวยเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันในยามเช้าตรู่มักจะชอบออกไปยังลานบ้านและมองขึ้นไปในท้องฟ้า หรือไม่ก็ออกไปยังทุ่งนา ในยามสนธยาก็มักจะออกไปสัมผัสความอบอุ่น เฝ้ามองดูท้องฟ้ายามเย็นอีกครั้ง

มันมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ทุ่งนาเขียวขจีก็หมายความว่าครอบครัวมีกินอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่สิ่งที่ทำให้มันมีความสุขมากที่สุดก็คือบุตรชายตนเอง

 

เพื่อนบ้านทั้งหมดต่างก็รู้ว่าบุตรตนเองมีความกตัญญูมากแค่ไหน เป็นลักษณะนิสัยที่ดูเหมือนว่าจะซึมลึกอยู่ในกระดูกของมัน เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณมัน ราวกับว่าไม่ว่าจะเป็นห้วงกาลเวลาหรือสถานที่ ความรักที่มีต่อบิดาก็ไม่อาจจะมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

บุรุษผู้นั้นก็คือเคออวิ๋นไห่ และบุตรชายก็คือเคอจิ่วซือ!

เนื่องจากความปรารถนาที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจของเคอจิ่วซือ ทำให้เมิ่งฮ่าวมั่นใจว่ามันคงจะไปอยู่ร่วมกับบิดาหลังจากที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อย่างแน่นอน

คนทั้งสองไม่อาจจะจดจำเรื่องราวในชาติที่แล้วของตนเองได้

แต่ในชาตินี้ทั้งเคออวิ๋นไห่และเคอจิ่วซือต่างก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้คนทั้งสองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เมื่อเคอจิ่วซือวิวาห์ ก็จัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลาหลายวัน เรียนเชิญสหายและเครือญาติทั้งหมดมา บรรยากาศในคฤหาสน์เต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น

จากนั้นเวลาก็ผ่านไป วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า

เคอจิ่วซือแก่ชราลงไป และในที่สุดกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นมาในครอบครัว เคออวิ๋นไห่ยิ่งแก่ชราลงไปมากกว่า แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปมากน้อยเท่าใด คฤหาสน์แห่งนั้นก็มักจะเป็นสถานที่อันอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก เคออวิ๋นไห่ชอบที่จะออกไปด้านนอกเฝ้ามองดูท้องฟ้า เป็นนิสัยที่ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

“เหยียเยี่ย (ท่านปู่) ท่านกำลังมองดูอะไรอยู่?” หลานชายตัวน้อยมักจะเฝ้าถามเช่นนี้ แต่เคออวิ๋นไห่ก็ไม่เคยตอบ แค่ยิ้มและส่ายหน้าไปมาเท่านั้น เคอจิ่วซือก็จะขยี้เส้นผมของบุตรชาย แต่ลึกลงไปในดวงตา ก็เห็นได้ชัดว่ารับรู้ถึงคำตอบนี้เป็นอย่างดี

ยี่สิบปีผ่านไป และหลานชายก็กลายเป็นบุรุษหนุ่มไปแล้วในตอนนี้ เคออวิ๋นไห่แก่ชราลงไปมากกว่าเดิม แต่แววตาก็ยังคงแจ่มใสเหมือนเช่นเคย

จริงๆ แล้วก็ดูกระจ่างใสมากกว่าเดิม ราวกับว่าตอนนี้สามารถจะมองย้อนกลับไปยังชาติที่แล้ว

ของตนเองได้

วันหนึ่งเมื่อหลานชายเฝ้าสอบถามปัญหาเดิม ท่านก็ถอนหายใจกล่าวว่า

“ข้ากำลังรอคอยจิ้วจิ่ว (ท่านอา) เจ้า”

“จิ้วจิ่วข้า?” หลานชายที่เติบใหญ่แล้วกล่าวตอบ ด้วยท่าทางตกตะลึงเล็กน้อย

“ข้ามักจะรู้สึกว่าเตียเตีย (บิดา) เจ้ามีตี้ตี่ (น้องชาย) อยู่ผู้หนึ่ง มันจากไปเมื่อนานมาแล้ว และยังไม่ได้กลับมา” ดูเหมือนว่าเคออวิ๋นไห่กำลังคิดถึงเรื่องราวเมื่อในอดีต แต่ลึกลงไปในดวงตา มองเห็นแสงอันเจิดจ้าแวบขึ้นมา

หลานชายยังไม่เข้าใจ แต่เคอจิ่วซือเข้าใจแล้ว ดวงตากำลังสาดประกายขึ้นเช่นเดียวกัน เป็นแสงแห่ง…ความมุ่งหวังอย่างลึกล้ำ

ผู้คนมากมายที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งนี้ ต่างก็เป็นสหายเก่าและเครือญาติของเมิ่งฮ่าว ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่จากวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่

ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับสวี่ชิง เมิ่งฮ่าวได้มาตรวจดูคนเหล่านั้นทั้งหมด ไปเยี่ยมเยือนหมู่ดาวดวงแล้วดวงเล่า เฝ้ามองไปยังใบหน้าที่ดูคุ้นเคยเหล่านั้นอีกครั้ง…

ด้วยพลังความคิดในส่วนลึกของจิตใจ ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็นำสวี่ชิงไปยังดินแดนกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งลอยอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

“ท่านมีสหายเก่าอยู่ในที่แห่งนี้?” สวี่ชิงถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา มองออกไปยังดินแดนกว้างใหญ่

เมิ่งฮ่าวยิ้มและมองไปยังดินแดนกว้างใหญ่ชั่วขณะ ดวงตาแวบขึ้นด้วยความทรงจำ กล่าวว่า “มี

ใครบางคนในที่แห่งนี้ที่ข้าต้องไปเยี่ยม เป็นคนที่ข้าไม่มีทางจะลืมเลือนไปได้ ข้าจำเป็นต้องไปเยี่ยมท่านก่อนที่พวกเราจะจากไป”

 

ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ดวงตะวันกำลังลับเหลี่ยมเขา สาดแสงลงไปยังพื้นดินจนกลายเป็นสีแดง สายลมโชยพัดมาอย่างอ่อนโยนขณะที่เมิ่งฮ่าวและสวี่ชิงปรากฏกายขึ้นตรงลานบ้านในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าเคออวิ๋นไห่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ ไม่สามารถจะมองเห็นเมิ่งฮ่าว ท่านยืนอยู่ที่นั่น กำลังมองขึ้นไปในท้องฟ้า พร้อมกับเคอจิ่วซือและหลานชาย

เมิ่งฮ่าวมองไปยังคนทั้งหมด จากนั้นก็เดินตรงไป

คุกเข่าและโขกศีรษะให้กับเคออวิ๋นไห่

ถึงแม้ว่าคนทั้งหมดไม่อาจจะมองเห็นตนเอง แต่เขาก็ยังคงโขกศีรษะลงไปบนพื้นอยู่ที่นั่น ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันอ่อนโยน และภายในนั้นก็ประกอบด้วยความทรงจำที่นานมาแล้วหลายปีจนนับไม่ถ้วน ภาพในตอนนั้นปรากฏขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าวอย่างชัดเจน จดจำได้ว่าเคอฟู่ (บิดาบุญธรรมเคอ) คอยดูแลตนเองในสำนักเซียนอสูรโบราณอย่างไร ทำให้ตนเองรับรู้ได้ถึงความรักของบิดาเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เติมเต็มอยู่ในจิตใจตอนนี้

เขาไม่เคยลืมว่าเคอฟู่เคยดูแลใส่ใจตนเองมากแค่ไหน ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาคาดเดาว่าเคออ

เมิ่งฮ่าวมองไปยังคนทั้งหมด จากนั้นก็เดินตรงไป

คุกเข่าและโขกศีรษะให้กับเคออวิ๋นไห่

ถึงแม้ว่าคนทั้งหมดไม่อาจจะมองเห็นตนเอง แต่เขาก็ยังคงโขกศีรษะลงไปบนพื้นอยู่ที่นั่น ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันอ่อนโยน และภายในนั้นก็ประกอบด้วยความทรงจำที่นานมาแล้วหลายปีจนนับไม่ถ้วน ภาพในตอนนั้นปรากฏขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าวอย่างชัดเจน จดจำได้ว่าเคอฟู่ (บิดาบุญธรรมเคอ) คอยดูแลตนเองในสำนักเซียนอสูรโบราณอย่างไร ทำให้ตนเองรับรู้ได้ถึงความรักของบิดาเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เติมเต็มอยู่ในจิตใจตอนนี้

เขาไม่เคยลืมว่าเคอฟู่เคยดูแลใส่ใจตนเองมากแค่ไหน ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาคาดเดาว่าเคออวิ๋นไห่คิดว่าตนเองคือเคอจิ่วซือ แต่ก็เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง

เขาไม่เคยลืมว่าเคอฟู่ยินดีที่จะจ่ายค่าตอบแทนไปอย่างมากมายเพื่อตนเองอย่างไร เส้นผมของท่านค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาวโพลนไปอย่างช้าๆ และในที่สุดก็ตายจากไป ในช่วงเวลาสุดท้ายนั้นเองที่เมิ่งฮ่าวตระหนักว่าเคออวิ๋นไห่รับรู้มานานแล้วว่าตนเองไม่ใช่เคอจิ่วซือ

เขาไม่มีทางลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนที่ถูกดูดเข้าไปในโลกภาพลวงตาตรงด้านนอกความว่างเปล่าไร้ขอบเขต เคอฟู่ยอมฆ่าตัวตายเพื่อช่วยให้ตนเองตื่นขึ้นมาจากความสับสน

ขณะที่เมิ่งฮ่าวโขกศีรษะลงไป ความคิดเหล่านี้ก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ

สวี่ชิงยืนห่างออกไปตรงด้านข้าง และเมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ นางก็เริ่มเข้าใจ เดินตรงไป คุกเข่าโขกศีรษะเช่นเดียวกัน ในฐานะที่เป็นเอ๋อร์สีฟู่ (บุตรีสะใภ้)

“อี้ฟู่ (ท่านพ่อบุญธรรม) ข้ามาหาท่านแล้ว…”

แทบจะในทันทีที่คำพูดนี้เปล่งออกมา จู่ๆ เคออวิ๋นไห่ก็มองลงไป แสงในดวงตาสาดประกายเจิดจ้ามากขึ้น และยิ้มออกมา

เคอจิ่วซือก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน และใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลานชายของเคออวิ๋นไห่ บุรุษหนุ่มที่เป็นบุตรของเคอจิ่วซือ ดูเหมือนว่าจะรู้สึกงุนงงต่อรอยยิ้มบนใบหน้าของบิดาและท่านปู่

“ในที่สุดข้าก็รู้สึกได้แล้ว จิ้วจิ่วเจ้ามาแล้ว…” เคออวิ๋นไห่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!