Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 6

ตอนที่ ๖

ประมือ

โสม พยัคฆ์ดำรงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าจังหวะที่เขายื่นมือมาหวังจะจับคอเสื้อนั้น พลาดไปเกี่ยวเอาผ้าพันอกของเธอที่เป็นเพียงผ้าผืนบางขาดออกมาด้วย เผยให้เห็นหน้าอกอยู่เลือนรางในความมืด ชั่วครู่นั้น เธอก็เข้าประชิดร่างแข็งแกร่งงัดเอามีดสั้น ขึ้น มาจ่อข้างเอวสอบ

“ฉันไม่ควรปล่อยให้ความลับรั่วไหล” โสมพูดเสียงเครียด แม้ว่าเธอจะเป็นคนสูงแล้วแต่ก็ยังต้องเงยหน้าเพื่อพูดกับเขา แววตาคมปลาบบัดนี้สั่นไหว ร่างกายแข็งแกร่งเครียดเกร็ง คล้ายว่ากำลังกลั้นใจอย่างไรอย่างนั้น เธอคิดว่าเขาระย่อต่อมีดสั้นเล่มเดียวที่จ่อข้างเอวอยู่นี้

“ท่านมีทางเลือกสองทาง หนึ่งคือตาย สองคือปล่อยฉันไปแล้วสาบานด้วยศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายว่าจะไม่มีทางยอมให้ตนเป็นต้นเหตุให้ความลับของฉันถูกเปิดเผย”

“เจ้า… เอ่อ… แม่หญิง ถอยออกไปเสีย” กระซิบบอกเสียงลอดไรฟัน ดวงตาของเขามองต่ำลงจนโสมต้องเบียดตัวเข้าหาชายหนุ่มอย่างช่วยไม่ได้เพราะไม่อยากให้เขาเห็นอะไรที่เธอไม่อยากให้เห็น แม้จะอับอายอยู่บ้างที่ต้องแนบชิดในสภาพนี้

“ตอนนี้ท่านมีสิทธิ์สั่งฉันรึไง” โสมพยายามทำเสียงให้เหี้ยมที่สุด “เลือกมาว่าจะเอาทางไหน”

“งั้น ข้าขอเสนอให้แม่หญิงถอยออกไปแล้วมาพูดคุยกัน ข้าไม่ทำอันตรายแม่หญิงอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มกระซิบบอกเสียงเบา

“เชื่อท่านก็โง่บรม ท่านจะฆ่าฉันให้ได้นี่นาแล้วท่านก็ไม่มีสิทธิ์ต่อรองหรือเสนออะไรด้วย”

“โธ่… แม่หญิง เชื่อข้าสักนิดเถิด ถ้าถอยออกไป ข้าจะไม่ทำอันตรายแม่หญิงแน่นอน”

หญิงสาวไม่ลังเลกระตุกเอาผ้าขาวม้าของชายหนุ่มออกมาคลี่ออกแล้วพาดพันร่างตัวเองพลางถอยออกมา สังเกตเห็นว่าเขาอึ้ง ไปคล้ายวิญญาณออกจากร่างเลยทีเดียว

“จะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้และฉันจะต้องกลับไปอย่างมีชีวิต ฉันถือว่าท่านให้คำสาบานแล้ว” โสมรีบโมเมแปลความทันทีสองเท้าค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปอย่างระแวงระไว

“เดี๋ยวก่อนเถิดแม่หญิง” ชายหนุ่มเหมือนเพิ่งได้สติ เขาขยับเข้าหาพร้อมเอ่ยรั้ง เสียงเบา “สนทนากันสักเดี๋ยว”

“ไม่จำเป็น! อย่าเข้ามานะ ฉันใช้มีดสั้น ได้ชำนาญกว่าดาบแน่”

หญิงสาวข่มขู่เสียงขึงขัง ก้าวถอยหลังออกไปเรื่อยๆ เธอเชื่อใจแม่หญิงจันทรวดี ฉะนั้นจึงไม่กลัวว่าคนของเขาจะทำร้ายเธอ ที่ต้องระแวงก็มีเพียงชายตรงหน้าเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ไม่ได้เด็ดขาด! ข้าล่วงเกินแม่หญิงแล้ว ทำให้แม่หญิงต้องมีมลทินข้าจะต้องรับผิดชอบ”

ฮ้า! มลทินอะไรนะ ฉันไปมีมลทินอะไรกับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“มลทินอะไร ท่านนี่พูดไม่รู้เรื่อง บอกว่าอย่าเข้ามา!” โสมตวัดจ้วงมีดสั้น ใส่อย่างดุร้าย ร่างสูงนั้นกระโดดหลบทันท่วงทีแต่ไม่ลดละการเดินตาม

“แม้นี่จะเป็นคืนเดือนมืดแต่ข้าเห็นในสิ่งที่สตรีปรารถนาจะปกปิดให้พ้นสายตาบุรุษผู้มิใช่สามี…” ยังไม่ทันกระซิบบอกจบ เสียงกระซิบร้อนรนแกมดุก็แหวเข้าก่อน “ว่าไงนะ! ท่านเห็นหมดเลยหรือ ตายซะเถอะ!”

หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอับอายเกือบพุ่งเข้าหาชายหนุ่มด้วยความปราดเปรียวดุร้าย

“ไม่! ข้าเห็นเพียง… เอ่อ เลือนราง” เสียงอธิบายกระซิบร้อนรนพอกันทำให้หญิงสาวโล่งอกได้บ้าง “ถึงอย่างไรข้าก็สมควรรับผิดชอบแม่หญิง ข้าจะพาแม่หญิงกลับไปกับข้า จัดงานแต่งให้สมเกียรติ”

“ไม่ๆๆ ไม่ต้อง” โสมรีบเอ่ยห้ามรัวเร็ว เรื่องอะไรจะเอาอนาคตไปผูกกับผู้ชายคนหนึ่งเพียงแค่ถูกเห็นหน้าอก “ท่านปล่อยฉันไปและรักษาสัญญาก็พอแล้ว”

“ไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่เคยถูกสั่งสอนให้ทิ้ง ความรับผิดชอบเช่นนี้” ชายหนุ่มปฏิเสธจริงจัง

“ฉันหน้าตาขี้เหร่” เธอเริ่มอ้างเหตุผลที่จะดิ้นหลุดจากเขา

“ไม่ขี้เหร่สักนิดแม่หญิงกลับงดงามนัก ข้าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในห้องนั้น ที่แล้วมาข้าไม่ถือ แต่เมื่อแต่งเป็นภรรยาของข้าแล้ว ห้ามทำเช่นนั้น กับใครนอกจากข้าอีกเด็ดขาด”

พ่อเจ้าพระคุณเอ๊ย ฉันบอกว่าจะแต่งกับนายเมื่อไหร่ฮะ!

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ใครจะแต่งกับท่านกัน” หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่อย่างดุร้ายโดยลืมไปว่าตนสวมหน้ากากภูตอยู่

“ข้ารู้ดีว่าเสียมารยาทกับแม่หญิงมามาก แต่ขอแม่หญิงเห็นแก่ตัวเอง อย่าได้ปฏิเสธเลย”

โอย… ใครก็ได้ เอาตาคนนี้ไปเก็บที

“ฟังให้ดีนะ ฉันจะไม่แต่งกับท่าน สิ่งที่ฉันต้องการคือท่านเก็บความลับฉันเท่าชีวิตของท่านและฉันกลับไปอย่างปลอดภัย” โสมเน้นย้ำแทบทุกคำ

“ระวัง แม่หญิงกำลังทำให้ทุกคนได้ยินเรื่องลับนี้เก็บมีดแล้วมาคุยกันดีๆ เถิด”

เขาไม่สนใจฟังที่เธอพูดเลยสักนิดรึนั่น

“ไม่คุยอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันจะไปแล้ว ลาก่อน” โสมเตรียมเผ่น

แต่ชายหนุ่มกลับตะโกนรั้ง เสียงดัง “อย่าเพิ่งไป!”

“อะไรอีกล่ะ” หญิงสาวเบื่อหน่าย อยากจะไปเต็มแก่

“ข้าจะได้เจอแม่หญิงอีกไหม” คราวนี้เขากระซิบพูดเบาๆ คล้ายเกรงใจ หากคืนนี้สว่างอีกนิด คงจะได้เห็นรอยระเรื่อบนแก้มของเขา

“ไม่รู้” เธอบอกปัดเพราะไม่อยากเจอคนที่รู้ความลับของตัวเองเสียแล้ว

“แต่ข้าอยากเจอแม่หญิง” ชายหนุ่มพูดเอาเสียเฉยๆ “ทุกวันจันทร์เต็มดวง ยามตะวันส่องกลางศีรษะให้มาเจอข้าที่ร้านขายผ้าร้านใหญ่ในเมือง มาในชุดสตรีด้วย”

“ไร้สาระ!” หญิงสาวปฏิเสธไร้เยื่อไย

“หากแม่หญิงไม่มา ก็ถือว่าแม่หญิงทำลายข้อตกลงระหว่างเรา ข้าไม่รับรองความลับของแม่หญิง” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบเย็นอย่างข่มขู่

เธอชักอยากจะเอามีดสั้นที่ถืออยู่แทงเขาสักทีสองทีจะได้ไม่ยุ่งยากแต่ถ้ายอมทำตามข้อตกลงของเขาอาจจะทำให้สนิทสนมกันมากขึ้น และภายภาคหน้าเขาอาจจะช่วยเหลือเธอได้บ้าง

แต่ให้ตาย… นี่ฉันถูกแบลคเมล์หรือเนี่ย

“บ้าชะมัด เจอก็เจอ แต่ชุดผู้ชายได้ไหม” หญิงสาวกระซิบเสียงห้วน

“ไม่ได้ ถ้าไม่ตกลง ก็ถือว่า…”

“ก็ได้ๆๆ แต่งอย่างนั้นก็ได้ แล้วท่านก็ห้ามทำร้ายนางสุวิมลด้วย หากท่านทำฉันจะไม่รักษาสัญญาเหมือนกัน” โสมสบถให้ตัวเองอย่างหัวเสีย ไม่สังเกตเลยว่าชายหนุ่มพยักหน้ายอมรับแล้วแอบก้มหน้าลงเพื่อยิ้มขำเท่าไร

“ฉันไปได้แล้วใช่ไหม”

“เชิญแม่หญิง” ชายหนุ่มกระซิบบอกพลางพยักหน้าน้อยๆ ใบหน้าปราศจากความเครียดผิดกับโสมที่หันหลังเผ่นโดยเร็ว

เมื่อเดินได้ระยะหนึ่งก็พบกลุ่มชายฉกรรจ์ยื่นนิ่งแข็งเป็นหุ่น กลอกตามองเธออย่างเดือดดาลคล้ายอยากเข้ามาสับเธอออกเป็นชิ้น ๆ แต่ก็จนปัญญา นึกหัวเราะในใจว่าแม่หญิงจันทรวดีนี่ช่างขี้เล่นดีแท้ ทำให้คนพวกนี้ตัวแข็งทำอะไรไม่ได้นอกจากกลอกตามองเธอเดินจากไปอย่างไร้รอยขีดข่วน อารมณ์ของเธอจะดีขึ้น หากไม่ได้ยินเสียงสดใสอย่างน่าหมั่นไส้ลอยมาว่า “ข้าชื่อธรรม์ อย่าลืมเสียล่ะ”

เฮอะ! ฉันจะจำเอาไว้ว่าคนที่ควรแก้แค้นคนแรกคือนายธรรม์ ไม่ลืมแน่ๆ

โสมเร่งเดินทางกลับวัง ผ่านทหารยามรักษาประตูเขตต้องห้ามไปโดยไม่สนความแปลกใจของพวกทหาร หญิงสาวเดินเลี่ยงเข้าสู่แนวไม้มืดมิดพรางตนให้ห่างจากสายตาคนอื่นเพื่อให้คนเห็นสภาพของเธอน้อยที่สุด ลดความเสี่ยงที่จะทำให้ความลับแตกซ้ำสองภายในคืนเดียว

พลันเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวหลบไปอย่างรวดเร็วจึงรีบรุดตามไปกระทั่งเห็นแผ่นหลังกว้างในชุดดำสนิทรัดกุม พันศีรษะปิดบังใบหน้าอยู่ตรงหน้า เธอไม่รีรอพุ่งเข้าโจมตีจนผู้บุกรุกยามวิกาลต้องหันกลับมารับมือ

อย่างไม่อาจหลบหนีไปได้ เนื่องจากเธออารมณ์เสียค้างมาจากการถูกล่วงรู้ความลับอยู่แล้ว เมื่อได้พบผู้บุกรุกเขตหวงห้ามยามวิกาลจึงได้โอกาสระบายโทสะอย่างเต็มที่ เธอประยุกต์เอากังฟูและมวยไทยขึ้น มาโจมตีผู้บุกรุกไม่หยุดยั้ง ทั้ง ปราดเปรียวและรุนแรงจนผู้บุกรุกถอยร่นและหาโอกาสตอบโต้ได้ยากอาจเป็นเพราะกำลังงงงวยต่อวิธีการต่อสู่อันแปลกประหลาด ในที่สุดก็ไม่อาจต้านทานได้ถูกถีบลิ้นปี่โดยแรงจนกระเด็นออกมากลิ้ง ตลบกับพื้น

“แกเป็นใคร!” โสมตวาดถาม คาดว่าอีกไม่นานทหารตรวจยามก็จะแห่กันเข้ามาเพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ร่างนั้น ลุกขึ้น อย่างรวดเร็วราวกับไม่ได้รับความเจ็บปวดเลยพร้อมเดินปรี่เข้ามาหาเธอ “ดี! รนหาที่ดีนัก!”

หญิงสาวเตรียมตั้งท่าเพื่อโจมตีครานี้เปลี่ยนจากวิธีรุกดุดันกลายเป็นการรุกโดยอาศัยแรงอีกฝ่ายเป็นแรงโจมตี เพราะคาดว่าอีกฝ่ายคงมีโทสะขึ้น มาบ้างแล้วและต้องโจมตีเธอด้วยวิธีรุนแรงแน่นอน แล้วก็เป็นดังคาด ฉะนั้นไม่ว่าจะถูกโจมตีด้วยความรุนแรงเพียงไหนเธอก็สามารถเปลี่ยนเป็นแรงโจมตีกลับได้ทุกครั้ง

“มีปัญญาแค่นี้ริอาจมาบุกเขตต้องห้าม รนหาที่ตายแท้ๆ” โสมพูดจากวนโทสะอีกฝ่าย ได้กวนโมโหคนอื่นก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน “เอ้า… จะทำยังไงดีน้า จู่โจมเท่าไหร่ก็ไม่เห็นฉันจะเจ็บตัวกลับเป็นตัวแกเองที่เจ็บแทนทุกครั้ง หรือว่าฝีมือแกจะต่ำต้อยเสียจนเอาชนะคนตัวบางๆ อย่างฉันไม่ได้ ถ้ายังไงกลับบ้านไปกินนมนอนก่อนแล้วค่อย

ตื่นมาฝึกปรือฝีมือใหม่ดีไหม”

ก่อนที่โสมจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายโมโหเพราะคำพูดเธอหรือไม่ เสียงฝีเท้าหลายคู่ที่กำลังตรงมายังจุดเกิดเหตุก็ทำให้การเคลื่อนไหวของผู้บุกรุกชะงักไปชั่วครู่แล้วหันหลังจะวิ่งหนี แต่มีหรือราชองครักษ์โสมจะยอมให้ผู้บุกรุกหนีไปได้ง่ายๆ จึงพยายามจะยื้อ ยุดด้วยการสกัดขาเอาไว้แต่เธอเกือบหลบท่อนขาที่วาดเตะมาหาแทบไม่ทัน อาการดีดตัวไปข้างหลังทำ

ให้เสียจังหวะในการโจมตี เป็นโอกาสให้ร่างสูงใหญ่กำยำของผู้บุกรุกสามารถวิ่งห่างออกไปได้ เธอรีบลุกขึ้น วิ่งไล่กวดไม่ลดละ ฝีเท้าของเธอไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว ฉะนั้น ไม่นานก็ตามทัน เธอใช้ลูกบ้าผสมความหงุดหงิดกระโดดตัวลอยถีบเป้าหมายจนถลาเซซังไปข้างหน้า

“คิดว่าจะหนีไปง่ายๆ เรอะ ไม่รู้จักไอ้โสมเสียแล้ว ฉันจะตามราวีจนแกเหนื่อยไม่มีแรงหนีเลยคอยดู” โสมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางย่างสามขุมเข้าหา พอผู้บุกรุกตั้ง หลักได้ก็หันมาส่งเสียงหัวเราะหึๆ ให้ราวกับทั้ง ฉุนทั้งขันแล้วเป็นฝ่ายโจมตีก่อน หญิงสาวสบจังหวะเหมาะคว้ามืออีกฝ่ายบิดแล้วยกขึ้นสูงก่อนจะเหวี่ยงให้ร่างกำยำนั้น เสียหลักล้มคว่ำลงบนพื้น เธอลงไปนอนหงายทับเขาเอาไว้ ใช้ขาหนีบคอแข็งแกร่งให้หายใจไม่สะดวกแล้วจับแขนข้างที่เธอบิดมือเขาดึงให้สูงขึ้น เท่ากับว่าขณะนี้เขาไม่อาจหลุดพ้นไปจากเธอได้แน่นอน

“แกโชคร้ายเองที่มาเจอฉันตอนอารมณ์เสียสุดๆ แบบนี้” หญิงสาวบอกอย่างพาลๆ “เข้ามาในเขตนี้เป้าหมายแกคงเป็นราชันสินะ ถ้าอย่างนั้น ฉันควรหักแขนและขาแกอย่างละข้าง ฉันจะได้มั่นใจว่าแกจะทำร้ายพระองค์ไม่ได้”

“เจ้าจะปล่อยข้าได้รึยัง ท่านราชองครักษ์โสม” เสียงอู้อี้ขึ้งเครียดคุ้นๆ ทำให้เธอแปลกใจแต่ไม่ยอมปล่อยการจับกุม ตอนนั้น เองก็แว่วเสียงฝี เท้าทหารเวรยามใกล้เข้ามา “ข้ายอมรับล่ะว่าสู้เจ้าไปไม่ได้เพราะวิชาการต่อสู้อันพิสดารของเจ้า แต่ไม่จำเป็นเลยที่เจ้าจะหักแขนหักขาข้าเพื่อไม่ให้ข้าทำร้ายตัวเอง”

“อ๊าว! นี่ตาราชันหัวถั่วงอกหรอกรึนี่” โสมอุทาน พระสุรเสียงแบบนี้ รับสั่งกวนประสาทไม่แพ้เธอแบบนี้รวมทั้ง พระวรกายสูงใหญ่กำยำแบบนี้ คงเป็นใครอีกไม่ได้นอกจากคนที่ไม่สมควรมาทำตัวลับๆ ล่อๆ เวลากลางคํ่ากลางคืนมากที่สุดอย่างราชันไพรสัณฑ์

หญิงสาวรีบปล่อยให้พระองค์เป็นอิสระ ช่วยดึงให้พระองค์ลุกขึ้นยืนก่อนไล่ “รีบเสด็จกลับพระตำหนักสุริยันไปซะ ต้องไม่มีทหารคนไหนรู้ว่าราชันของพวกเขามาแพ้เชิงให้ราชองครักษ์คนใหม่อย่างไอ้โสมคนนี้”

ท้ายประโยคหญิงสาวอดที่จะพูดจากวนประสาทอีกฝ่ายไม่ได้ก่อนผลักให้ราชันหนุ่มรีบเสด็จหลบหนีไป ส่วนตัวเองจะอยู่รับมือกับทหารเวรอยู่ทางนี้ เธอมองพระวรกายสูงใหญ่กำยำหายไปในความมืดพร้อมรอยยิ้มขบขันเพราะพอจะคาดการณ์ได้ว่าข้อพระกรและพระดัชนีจะต้องเคล็ดระบมสักหน่อย บริเวณลำพระศอก็จะเจ็บไปสักพักเนื่องจากเธอออก

แรงหนีบแรงมากทีเดียว

ก็ใครใช้ให้ทำตัวลับๆ ล่อๆ ล่ะ ช่วยไม่ได้ งานนี้ไอ้โสมได้กำไร ฮ่าๆๆ

“ท่านราชองครักษ์” หัวหมู่ที่เร่งมาถึงที่เกิดเหตุมองทรงผมประหลาดก็ทราบดีว่าเป็นท่านราชองรักษ์คนใหม่ในราชันไพรสัณฑ์จึงยืนระวังตรงแล้วก้มหัวลงให้เล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ พร้อมกันนั้น ลูกหมู่ก็เดินตามมาสมทบทัน

โสมไม่รีรอที่จะออกคำสั่งทันที “รีบวิ่งตามไป มันหนีไปทางนั้น ฉันจะไปเฝ้าอารักขาราชันเอง ได้เรื่องเช่นไรให้ไปรายงานที่พระตำหนักสุริยัน”

โสมชี้ไปทิศตรงกันข้ามกับที่ราชันไพรสัณฑ์เสด็จไปเมื่อครู่

เหล่าทหารรับคำสั่งทันทีแล้วพากันกระจายกำลังออกเป็นรูปครึ่งวงกลมวิ่งต้อนกันไปตามทิศนั้น

หญิงสาวมองจนเหล่าทหารหายลับไปจึงเร่งรุดกลับเรือนพักของตนอย่างเงียบเชียบ รื้อค้นหาผ้าผืนยาวที่หามาเก็บตุนไว้ขึ้นมา เธอปลดผ้าขาวม้าที่ใช้พันอกไว้อย่างลวกๆ หยิบผ้าแถบที่นางสุวิมลปลดให้ออกมาวาง พันอกตัวเองอย่างแน่นหนา แม้จะอึดอัดบ้างแต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเองก็ต้องทำ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็รีบจรดฝีเท้าออกจากเรือนมุ่งไปพระตำหนักสุริยันอย่างเร็วรี่

มหาดเล็กหน้าประตูเห็นท่านราชองครักษ์โสมมาขอเฝ้าฯ ยามวิกาลจึงขอให้หยุดรอเพื่อไปกราบทูลราชันก่อน ไม่

นานนักก็ได้เฝ้าฯ

โสมแสร้งเดินเอ้อระเหยชมผ้าม่าน ชมแสงเทียน ชมโต๊ะ ชมตู้ที่อยู่ตามรายทางนานๆ สังเกตว่าไม่มีเครื่องเรือนใดที่บ่งบอกถึงความหรูหราโอ่อ่า นับว่าเด็กที่นลวรรณและคุณหมอกณวรรธน์ขัดเกลามาคนนี้เป็นคนติดดินมากทีเดียว

“มีใครบางคนกำลังปวดนิ้ว เคล็ดข้อมือแล้วก็เจ็บคอเพราะดันนึกสนุกทำตัวลับๆ ล่อๆ ยามวิกาลจนไปเจอท่านราชองครักษ์คนเก่งเข้าให้เลยหงายเก๋งรึเปล่า ไม่รู้ท่านราชองครักษ์คนนี้จะพอช่วยอะไรได้บ้าง” โสมส่งเสียงกวนประสาทไปก่อนตัว

แสงเทียนในห้องพระบรรทมทำให้รู้ว่าเจ้าของพระตำหนักยังไม่เข้าบรรทมหรือความจริงแล้วอาจกำลังรอให้โสม

มาหาก็ได้

“รีบลาไปตายเสีย จะช่วยข้าได้มาก” พระสุรเสียงเรียบและกดหนักบ่งบอกสภาพพระอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนักทำให้โสมค่อยๆ เยี่ยมหน้าเข้าไปเพียงนิด ถอดหน้ากากออกแล้วส่งยิ้มประจบไปให้

“ถ้าท่านราชองครักษ์โสมลาไปตาย แล้วใครจะเอาเรื่องสำคัญมาบอกราชันได้ล่ะ” โสมลอยหน้าลอยตาพูด

เห็นพระวรกายสูงใหญ่กำยำที่เพิ่งปะทะกำลังกับเธอเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมานั่งอยู่บนพระแท่น ทรงฉลองพระองค์พระกัปปาสิกพัสตร์ตัวบางและพระสนับเพลาสีน้ำตาลเข้ม ปล่อยพระเกศายาวเหยียดตรงสยายคล้ายกำลังจะเข้าบรรทม พระพักตร์ถูกบดบังด้วยหน้ากากภูตครึ่งหน้าจึงทำให้เห็นพระโอษฐ์บางเฉียบเม้มสนิท

“เรื่องอะไร” รับสั่งถามพระสุรเสียงห้วนห้าว

โสมหลบเข้าไปในมุมเสาอีกนิด โผล่ออกมาเพียงแค่ใบหน้าที่แสร้ งส่งยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ไร้ เดียงสา

ออกมาเท่านั้น

“เรื่องการผจญภัยของราชองครักษ์โสม” หญิงสาวกระพริบตาใสปิ๊ง

ทำให้ทรงเม้มพระโอษฐ์แน่นขึ้น มากกว่าเดิม

“คืนนี้ท่านราชองครักษ์โสมออกไปผจญภัยในป่าใหญ่ มีอะไรดีๆ มาเล่าให้ฟังตั้งเยอะแยะ ล้วนแล้วแต่สนุกสนานและน่าตื่นเต้น แต่ไม่รู้ว่าราชันจะมีอารมณ์ฟังรึเปล่า”

“หากท่านมิใช่พระสหายของทูลกระหม่อมแม่ ข้าจะไม่ปล่อยให้มาลอยหน้าลอยตาพูดจากวนประสาทเช่นนี้แน่!”

“แต่พอดีว่าฉันเป็น” โสมเดินยืดกายออกมาอย่างสง่างาม ซึ่งหากใครมีตาดูก็รู้แล้วว่าแสร้งทำเพื่อกวนประสาท

หญิงสาวเดินเลี่ยงไปนั่งที่แท่นนั่งเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างจากรัศมีเท้าของราชันหนุ่มเพื่อความปลอดภัยของ

ตัวเอง ก่อนหันไปเลิกคิ้วให้ข้างหนึ่ง

จะทำไม… ให้รู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร

“เจ็บไหมล่ะนิ้วกับมือน่ะ ต้องบีบนวดนะ ส่วนคอนั่นช่วยไม่ได้ ต้องปล่อยให้หายเจ็บเอง หรือจะให้ฉันช่วยบีบให้ก็ได้” แม้ต้นประโยคจะแสดงความห่วงใยอยู่บ้าง แต่ท้ายประโยคกลับไม่พ้นการกวนประสาท

“มานวดให้ข้า” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งเอาดื้อ ๆ โสมยังนั่งนิ่ง “หรือท่านกลัวข้า จึงไม่กล้าเข้าใกล้”

“ฉันกำลังคิดว่าถ้านวดผิดจุด จับเส้นผิดพลาดสักเล็กน้อยจะเป็นยังไงบ้างเท่านั้น เอง” หญิงสาวยิ้ม นิดๆ เดินเอื่อยๆ เข้าไปยืนซ้อนพระปฤษฎางค์กำยำ หักนิ้ว ตนเองดังกร๊อบแกร๊บอย่างพยายามข่มขวัญทั้งที่เรื่องการนวดกดจุดเธอรํ่าเรียนมาบ้างเพราะเป็นประโยชน์ในการนวดคลายรักษากล้ามเนื้อ หลังการออกกำลังกาย “เอาล่ะนะ บางท่าอาจจะ

เจ็บหน่อย ร้องออกมาก็ได้ไม่ว่าอะไร”

“จะพูดโดยไม่กวนประสาทข้าสักประโยคหนึ่งไม่ได้เลยหรือ” ราชันหนุ่มไม่ได้เกรงกลัวว่าจะเป็นง่อยเพราะนวดผิดท่าแต่อย่างใด

“อ้าว… ไม่รู้นะนี่ ว่าราชันไพรสัณฑ์ต้องการฟังคำหวานจากฉัน” โสมแกล้งทำเสียงอ่อนเสียงหวานพูด ขณะจับพระพาหากำยำยืดออกเพื่อนวดคลายกล้ามพระมังสาเล็กน้อยก่อนคลึงบริเวณข้อพระหัตถ์และพระ

ดัชนีแล้วออกแรงดึงให้เข้าที่จนเกิดเสียงดังกร๊อบ “ราชันจะทรงมีพระประสงค์ให้ถวายการนวดทั้ง พระวรกายเลยหรือไม่พระเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้อง!” ราชันไพสัณฑ์รับสั่งพระสุรเสียงห้วนแต่ท้ายเสียงเจือความขบขัน

แต่ไรมาท่านโสมไม่เคยใช้คำราชาศัพท์กับพระองค์ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พระองค์พอพระทัย หนนี้ท่านโสมดัดเสียงอ่อนเสียงหวานพูดราชาศัพท์ จงใจกวนประสาทกันแท้ๆ แต่พระองค์กลับเห็นเป็นเรื่องตลก ไม่ได้ถือสาโกรธเคืองเจ้าโสมสักนิด

“แหม… ทรงแข็งแกร่งไปทั่วพระวรกาย จับตรงไหนก็มีแต่เหล็กไหล” หญิงสาวจีบปากจีบคอพูด ลงมือบีบนวดไปยังพระพาหาอีกข้างด้วยวิธีเดียวกัน

“ฟังแล้วขนลุก”

พอพูดหวานๆ ก็ดันบอกว่าขนลุก เอาใจไม่ถูกแล้วนะ!

“วันนี้ฉันออกไปข้างนอก ไปพบนางสุวิมลแล้วรู้สึกว่านางมีความเกี่ยวข้องกับกองกำลังลึกลับนั่น แต่ไม่รู้เพราะเหตุผลอะไรนางถึงไม่ต้องการให้ฉันมีอันเป็นไป เลยช่วยป้อนยาแก้พิษสลบ…” โสมหยุดเล็กน้อยเมื่อคิดว่านางคนนั้นป้อนยาเธอยังไง อยู่ๆ ขนก็ลุกชันขึ้นมาจนต้องรวบรวมสติเล่าต่อไม่ให้ขาดตอน

“ทำให้ฉันไม่ต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากตอนถูกรมยาสลบในป่า ที่นั่นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ดูท่าทางมีอำนาจอยู่ในกองกำลัง เขาบอกกับฉันว่าต้องเอาชีวิตฉันไปให้ได้เพราะฉันไปทำให้คนสำคัญของเขาไม่พอใจ เราสู้กัน ฉันชนะ แล้วเขาก็นัดเจอฉันอย่างมิตร ซึ่งเรื่องนี้ฉันขอไม่บอกว่ารายละเอียดเป็นยังไง”

“เขาเป็นมิตรกับท่านงั้น หรือ”

“อย่างน้อยเขาก็พูดอย่างนั้น ล่ะนะ” โสมตอบอย่างลังเลเพราะไม่แน่ใจเช่นกันว่าชายคนนั้นจะเอายังไงกับเธอกันแน่ บางทีสิ่งที่เขาทำอาจจะแค่ทำให้เธอตายใจก่อนหักหลังก็ได้

“แล้วเขาก็บอกว่าต้องการอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องการฆ่าท่าน ไม่ต้องการไปเกี่ยวข้องเรื่องการเมืองสักเรื่อง ที่เขาฆ่าคนพวกนั้น ก็เพราะเข้าไปรบกวนเขา”

“แผ่นดินกณวรรธน์เป็นของชาวกณวรรธน์ทุกคน มีที่แห่งใดบ้างหรือที่ชาวกณวรรธน์ไม่อาจไปได้” ราชันหน้ากากภูตรับสั่งช้าๆ ด้วยพระสุรเสียงเรียบเย็นจนทำให้บรรยากาศรอบด้านเย็นยะเยือก

“หากคิดอยากอยู่อย่างสงบชนิดที่ชาวกณวรรธน์ไม่อาจก้าวล่วงไปได้ก็สมควรอพยพไปที่อื่น มิใช่เข่นฆ่าผู้ที่อาศัยอยู่ก่อน ข้าจะไม่ละเว้นมันที่เข่นฆ่าคนของข้าและคำพูดของเขาก็ใช่ว่าจะเชื่อได้ทุกคำ”

“สรุปคือหากเจ้าพวกนั้น ยังมีพฤติกรรมแบบนี้ท่านก็จะไม่ปล่อยเขาแน่นอน” หญิงสาวสรุป “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะพยายามตีสนิทกับเขา หารังของพวกเขาให้เจอ แล้วค่อย ‘ขับไล่’ พวกเขาออกจากกณวรรธน์นคร แต่รั้งตัวคนทำผิดเอาไว้รับโทษ ตกลงไหม”

“ข้าไม่รับปาก ท่านต้องเป็นผู้เลือกเองว่าอยากจะให้ชาวกณวรรธน์นครตายเสียให้หมดเมืองเพราะไม่อาจเหยียบแผ่นดินเกิดของตนได้ หรือจะฆ่าคนบางกลุ่มที่ระรานชีวิตคนด้วยวิธีการทารุณเพื่อรักษาขวัญกำลังใจและเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของชาวกณวรรธน์”

โสมถอนหายใจดังเฮือก ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งเพื่อโยนความรู้สึกผิดมาให้อย่างนี้เธอคงต้องยอมทำตามเหตุผลของพระองค์ ตีสนิทกับผู้ชายคนนั้น เพื่อให้เขาพาไปที่รัง แล้วพากำลังพลไปเข่นฆ่าให้ตายให้หมด แต่ถ้าหากเธอสร้างความสนิทสนมกับเขาแล้วเกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ จะสามารถรักษาชีวิตใครได้อีกหลายคน ความคิดของเธอถูกขัดจังหวะด้วยมหาดเล็กที่มารายงานว่าหัวหมู่นายหนึ่งขอเฝ้าฯ เพื่อถวายรายงานราชันเรื่องผู้บุกรุกเขตต้องห้าม

ราชันหน้ากากภูตทรงอนุญาต

ไม่นานนักหัวหมู่ก็เข้ามาก้มหัวทำความเคารพ สองตามองราชันและท่านราชองครักษ์ที่นั่งอยู่เสมอกันที่พระแท่นด้วยความประหลาดใจเพราะท่าทางราชันเองมิได้กริ้วแม้แต่น้อยที่มีคนตีตนเสมอ ยากจะคาดเดาได้ว่าสนิทสนมกันพียงไร

“เจอไหม” โสมเป็นคนเอ่ยถามเพราะราชันไพรสัณฑ์เงียบเอาเฉยๆ และผู้มาก็ไม่กล้าพูดหากราชันไม่ประทานอนุญาต

“ไม่เจอ เอ่อ… ขอรับ” หัวหมู่รู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าจะรายงานใคร ผู้มีอำนาจสูงสุดหรือผู้ที่ถือวิสาสะเอ่ยถามตน แต่ก็คิดอย่างง่ายๆ ว่าใครถามก็ตอบคนนั้น

“งั้นหรือ ไม่เป็นไร ป่านนี้มันคงหลบหนีและสะดุดตอไม้หัวปักขี้โคลนตายไปแล้วก็ได้” โสมลอยหน้าลอยตาพูด

หัวหมู่ไม่แน่ใจว่ากำลังถูกประชดประชันใส่ที่หละหลวมจนทำให้มีผู้บุกรุกยามวิกาลได้รึไม่ หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วโสมกำลังกวนประสาทคนที่ประทับอยู่ข้างๆ มากกว่า

“ท่านจะจัดการยังไงกับคนของท่านล่ะ” โสมโยนกลองไปให้หน้าตาเฉย

“กลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถอะ ครั้งนี้ข้าไม่เอาความ” ราชันหนุ่มรับสั่ง

หัวหมู่รีบจากไปทันทีเพราะกลัวจะทรงเปลี่ยนพระทัย

“ฉันยังไม่ได้ถามท่านเลยว่านึกยังไงถึงได้ไปทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนั้น ” หญิงสาวเอ่ยถาม

ราชันหน้ากากภูตลุกขึ้น ยืนบิดพระวรกายอย่างเมื่อยขบก่อนรับสั่งตอบ “ก็ไม่นึกยังไง ก็แค่อยากไปเดินเตร่ในเมือง อยากรู้อยากเห็นว่าข้างนอกนั่นเป็นยังไง เผื่อจะได้เอาตัวเข้าไปแส่หาเรื่องเจ็บตัวมาได้บ้าง”

ฮึ่ม! นี่ว่ากระทบเธอที่ทะลึ่งไปเดินเตร่ในคืนเดือนมืดจนไปเจอกับคนกลุ่มนั้นรึเปล่า

“ก็เลยมาเจอกับฉันงั้น สิ” หญิงสาวมองหน้าราชันหนุ่ม เลิกคิ้ว ยวนโทสะให้อย่างโจ่งแจ้ง แล้วเธอก็ได้เห็นพระโอษฐ์แย้มเป็นรอยยิ้มนิดหนึ่งแต่เท่านั้น ก็มากพอที่จะทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ร้าย

“นั่นสิ ไม่เช่นนั้น ข้าก็คงไม่รู้ว่าท่านมีวิธีการต่อสู้อันพิสดารและมีประสิทธิภาพเช่นนี้”

ราชันหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ราชองครักษ์โสมจนกระทั่งใบหน้าอยู่เสมอกัน “เพราะฉะนั้นคืนนี้ท่านต้องสอนข้าจนกว่าข้าจะสามารถเข้าใจทักษะพื้น ฐานของการต่อสู้ชนิดนี้ได้และท่านต้องเป็นครูฝึกทหารภูตให้สามารถใช้การต่อสู้อย่างท่านทุกคน”

“หา! คืนนี้เนี่ยนะ! เอ่อ… เอาเป็นตอนเช้าดีไหม”

“ท่านทำให้ข้าฮึกเหิมเสียแล้ว เห็นทีคืนนี้ไม่อาจนอนหลับได้หากไม่ได้ออกแรงตามต้องการและถ้าหากข้าไม่ได้นอน ไฉนท่านจะใจร้ายนอนหลับไปก่อนได้”

คุณพระ… นี่เธอกำลังเห็นรอยยิ้มปีศาจใช่ไหมนี่

“ได้สิ หนังตาเราไม่ได้อยู่ติดกันนี่”

“ข้าไม่ได้หมายถึงความใกล้ชิดถึงขั้น นั้น แต่ในเมื่อท่านพูดถึงความใกล้ชิดแล้ว ข้าว่ามันจะเป็นการดีมากหากข้ามีท่านคอยติดตามใกล้ชิดเราจะได้เข้าใจกันมากขึ้น ไม่ใช่พูดเพียงคำก็ขัดใจกัน”

เฮ้ยๆๆ ไม่นะ… ไม่!

“นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ท่านจะเป็นเหมือนเงาติดตามตัวข้า ข้าไปที่ไหนท่านไปที่นั่น ข้าได้กินท่านก็ได้กิน ข้าได้นอนท่านก็ได้นอน ท่านต้องถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้ข้าและเป็นอาจารย์ของเหล่าทหารภูต”

“เอามีดมาดีกว่า เอามีดมาเลย” โสมยกมือขึ้น ขยุ้มผมซอยสั้น ของตัวเองตัวเองจนยุ่งเหยิง “หากท่านคิดจะฆ่าฉันก็แค่ไปหยิบมีดมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันจะฆ่าตัวตายเอง”

“ข้าจะปล่อยให้ ท่านทำ เช่นนั้นได้ ยังไงกัน ในเมื่อท่านยังมีความสามารถอีกมากมายที่จะสามารถถ่ายทอดให้ข้าและเหล่าทหารภูตได้” ราชันไพรสัณฑ์ประทับเคียงแล้วตบไหล่บางแรงๆ สองทีจนไหล่หญิงสาวแทบทรุด “ข้าต้องดูแลท่านอย่างดีแน่นอน เอาเช่นนี้… ท่านไม่ต้องไปพักรวมอยู่กับเหล่าทหารภูตแล้ว พรุ่งนี้จงมาพักที่นี่ ข้าจะนำเตียงหลังใหม่

มาให้ท่าน ตั้ง อยู่ใกล้ๆ พระแท่นบรรทมของข้า”

ไม่ๆๆ ฉันไม่เอาแบบนี้! โสมอยากจะพูดเหลือเกิน แต่ไม่รู้ทำไมทำได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ไร้เสียง

“เป็นอันตกลงตามนี้!”

ไม่อ๊าวววววววววววววว!!

รุ่งเช้าเมื่อท่านราชองครักษ์หิรัญรีบมาเฝ้าฯ ถึงในห้องพระบรรทมจึงพบท่านราชองครักษ์โสมนอนแผ่หลาอยู่บนพระแท่นบรรทมของราชัน ส่วนราชันไพรสัณฑ์กำลังยืนยืดเส้นยืดสายด้วยความเมื่อยขบอยู่ใกล้ๆ

ราชองครักษ์หนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยความคิดอันอลวนสับสนแต่ก็ยังไม่ลืมทำความเคารพ ชายหนุ่มเห็นหัวยุ่งๆ ของท่านราชองครักษ์โสมยกขึ้นมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำและท่าทางอิดโรย ก่อนจะกระเสือกกระสนยันตัวลุกขึ้น พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองระคนอยากจะร้องไห้

“ท่านจำไว้นะท่านหิรัญ อย่าให้ฉันฟื้นแรง ฟื้นกำลัง ไม่อย่างนั้น ฉันจะทำให้ราชันของท่านหมดแรงจนลุกไม่ขึ้น เป็นการแก้แค้นอย่างแน่นอน!”

“ได้ยินแล้วนะหิรัญ อย่าได้ทำให้ท่านราชองครักษ์โสมฟื้นแรง ฟื้นกำลังเป็นอันขาด” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งเรียบๆ

หิรัญยังไม่ทราบว่าจะพูดอะไรต่อดี คนที่นอนแผ่หลาหมดแรงอยู่บนพระแท่นก็ลงมือขยุ้มหัวตัวเองพร้อมร้องว่า

“เอามีดมา!”

“ถ่ายทอดคำสั่ง เก็บมีดและของมีคมอย่าให้ตกอยู่ในมือท่านราชองครักษ์โสมโดยเด็ดขาด!”

ราชองครักษ์หิรัญไม่ทราบจะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์พิลึกเช่นนี้ดี จึงได้แต่ทำตามแล้วกลับมาถวายคำรายงานอย่างเคร่งขรึม พยายามไม่สนใจเสียงครางกระซิกของราชองครักษ์โสมและท่าทางเกษมสำราญของราชัน

“ครั้งนี้อยู่ที่ลานประหารพระเจ้าค่ะ” สิ้นเสียงของหิรัญ บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไปฉับพลัน แสงตะวันเหมือนจะถูกเมฆบดบังจนมืดมัวอากาศอบอ้าวไม่มีลม แต่กลับมีเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันราวกับเกิดพายุคลั่ง

โสมรู้ทันทีว่าเรื่องที่หิรัญพูดจะต้องไม่ดีงามและทำให้กริ้วมาก

“โสม… ท่านไปกับข้าด้วย” รับสั่งเสียงเย็นยะเยียบจนหนาวไปถึงกระดูก “ข้าจะให้ท่านได้ดูว่าอะไรคือความโหดเหี้ยมที่มนุษย์สามารถทำแก่กันได้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!