Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 23

ตอนที่ ๒๓

แสง

คืนจันทร์เพ็ญนี้เงียบเหงาและปวดร้าวมากกว่าทุกคืน บนผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มมีเพียงดวงจันทร์สีซีดสาดแสงเยือกเย็นลงอาบทุกสรรพสิ่งราวกับภาพวิญญาณ พระตำหนักจันทราสะท้อนแสงเย็นออกเป็นรัศมีสีขาวนวลราวกับจันทราอีกดวงบนผืนดิน อีกทั้งยังยอแสงมรกตจากบ่อจันทราให้เรืองรองขึ้น เป็นภาพความงดงามอันเยือกเย็นราวกับภาพศิลป์ ที่หายสาบสูญไปจากพื้น พิภพ

เหล่าทหารภูตกระจายกันยืนรายรอบพระตำหนักจันทราอยู่ห่างๆ ตามพระกระแสรับสั่งของราชัน ดวงตาทุกคู่ส่ายสอดไปในความมืดที่เร้นลับอย่างระแวดระวังด้วยสถานการณ์ในตอนนี้มีแนวโน้มว่าจะมีมือสังหารพ้นจากการตรวจตราอันเข้มงวดมารบกวนพระอารมณ์ของราชันให้ขุ่นมัวและผลที่ตามมาไม่ใช่เพียงความตายของมือสังหารเท่านั้น อาจหมายถึงความตายของพวกเขาที่ยังทำงานสำคัญในการตามหาร่องรอยของท่านราชองครักษ์โสมไม่สำเร็จ!

ต่อให้ต้องตาย พวกเขาก็จะไม่ปล่อยให้มือสังหารคนใดเล็ดรอดเข้าถึงพระตำหนักจันทราได้!

สายลมหอบหนึ่งนำพากลิ่นและมวลอากาศผิดปกติเข้ามา เหล่าทหารภูตทุกคนสัมผัสได้แต่ยังคงยืนนิ่งสงบประหนึ่งรูปปั้นภูตอารักษ์ ทั้งที่เปี่ยมไปด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้นกว่าเดิม ต่างพากันคาดการณ์ว่ามือสังหารชุดนี้จะมาในรูปแบบไหน แต่คำถามไม่ต้องรอคำตอบนานเมื่อมีหลายร่างปรากฏตัวขึ้น ในความมืด พวกมันสกปรกโสมมไปด้วยเลือด น้ำหนองและอยู่ในสภาพที่ไม่สมประกอบอย่างยิ่ง บางตนถูกควักลูกตา บางตนถูกตัดลิ้น ควักหัวใจ ผ่าท้อง แขนขาด ขาขาด ปากฉีกถึงรูหู ทหารทุกนายยืนตะลึงเนื่องจากไม่เคยเห็นผีรับใช้ที่น่าสงสารมากถึงเพียงนี้มาก่อน

จึงเป็นเหตุให้โหงพรายหลายสิบตนแหวกว่ายมาหาพวกเขาด้วยความเร็วที่น่ากลัว

ครั้นภัยใกล้ถึงตัว เหล่าทหารภูตจึงรู้สติรวบรวมสมาธิได้อย่างรวดเร็วตามที่ได้รับการฝึกฝนมาให้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือได้ทุกสถานการณ์

โหงพรายร้ายที่มุ่งหมายเอาชีวิตจึงได้พบคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจพอกัน บรรดากุมารน้อยที่ถูกเรียกออกมาให้ปกป้องคุ้มครองภัยต่างพากันเข้ารุมกลุ้มโหงพรายผู้หิวโหยและดุร้าย เล็บน้อยๆ ฉีกกระชากซากร่างของโหงพรายราวกับฉีกกระดาษ แต่ความดุร้ายเกรี้ยวกราดของโหงพรายเหล่านั้น ก็ทำให้กุมารต้องกระเด็นบาดเจ็บสาหัสออกมาหลายครั้ง ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยินยอมปราชัย การต่อสู้พันตูจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความโหดร้ายอย่างที่คนธรรมดาไม่อาจทนมองได้

โหงพรายกัดกระชากกุมารน้อยจนเนื้อฉีกได้เช่นเดียวกัน พละกำลังของมันมีมากกว่ากุมารเพราะความหิวโหย และแรงจิตอาฆาตของเจ้านายของพวกมัน เมื่อเห็นว่ากุมารหลายตัวต้องแตกดับไป เหล่าทหารภูตจึงร่วมแรงจิตหนุนพลังของกุมารที่ใกล้เพลี่ยงพล้ำ ให้สามารถต้านทานพลังอันกล้าแกร่งของโหงพรายได้ พวกเขาไม่อาจจะวอกแวกได้

แม้ขณะจิต

‘พี่จ๋า… หนูเจ็บ’

เสียงโอดครวญของเหล่ากุมารน้อยที่บาดเจ็บสะบักสะบอมโหยหวนอยู่ในอากาศ ทหารภูตทุกนายได้ยินแต่กลั้น ใจเมินไปแม้จะผูกพันกับเหล่ากุมารด้วยเลี้ยงมานานปีก็ตาม เพราะพวกเขาจะเห็นแก่วิญญาณเหล่านี้มากไปกว่าราชันไม่ได้ โหงพรายเจ้าเล่ห์รู้ว่าตนแกร่งกล้ากว่าก็ไร้ความยำเกรง ฉีกกระชากฟัดเหวี่ยงผู้ขัดขวางอย่างเหิมเกริมและย่ามใจ

นัก ในยามนี้ทหารทุกนายคาดการณ์ได้แล้วว่าพวกเขาจะต้านทานความแข็งแกร่งของเจ้านายโหงพรายไว้ได้อีกไม่นาน บางนายจึงถอนจิตออกเพื่อส่งพรายกระซิบไปเรียกทหารภูตนายอื่นมาหนุนโดยด่วน

เมื่อผีสู้กับผีไม่ได้ คนก็ต้องสู้กับผีแทน!

ทหารภูตบางนายถอนจิตก่อนควักมีดลงยันต์ของตนออกมาแล้วออกคำสั่งให้กุมารล่อโหงพรายลงมาให้ฟัน เหล่ากุมารน้อยใจสู้พยายามช่วยกันล่อหลอกศัตรูให้แล่นตามลงมาหาเจ้านาย แต่กลับกลายเป็นว่าทันทีที่กุมารน้อยออกห่างมันก็ปรี่มุ่งหน้าไปพระตำหนักจันทราทันทีจนแทบจะออกคำสั่งให้กุมารน้อยขัดขวางไม่ทัน เป้าหมายของพวกมันคือราชัน ดังนั้นพวกมันจึงไม่สนใจกลอุบายใดทั้งสิ้น!

ท่ามกลางสถานการณ์อันย่ำแย่นี้มีเงาดำหลายเงาพุ่งปราดมาจากเบื้องหลังของพวกเขา ท่ามกลางความตระหนกของเหล่าทหารภูตนั้น กุมารที่เหลือบเห็นเงามฤตยูก็พากันแตกกระเจิงออกห่างกลับไปหาเจ้านายทันที เงาดำพวกนั้น เคลื่อนไหวรวดเร็วเห็นเป็นเพียงความมืดสนิทพาดผ่านตัวโหงพรายที่ได้แต่ตัวแข็งดิ้น อึกอักและกรีดร้องด้วยความกลัวสุดขีด เพียงชั่วพริบตาเดียวโหงพรายทุกตัวก็ถูกจัดการจนอยู่ภายใต้การควบคุมของราชันหมดสิ้น

เมื่อเหล่าทหารภูตมองเห็นว่าเงาดำเหล่านั้นเป็นใครก็เกิดความรู้สึกปั่นป่วนพิกล

เหล่าทหารร่วมรบที่สิ้น ชีพไปในหน้าที่ปรากฏตัวขึ้น แล้ว! ทุกนายยืนพรั่นพรึงอยู่กับที่ เบิกตามองวิญญาณทหารภูตทุกตนที่เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ร่างวิญญาณทหารภูตเหล่านั้นเหมือนจะกลืนหายไปกับความมืดมิดของราตรี ในขณะที่หน้ากากภูตสีขาวที่เปรอะเปื้อนเลือดลอยเด่นออกมาชวนให้สยองขวัญนัก

ภูตเหล่านี้ยินยอมพร้อมใจที่จะติดตามรับใช้เป็นข้าทาสของราชันหน้ากากภูตแม้ยามสิ้นชีพ ดังนั้น พวกเขาจึงทั้ง ยำเกรงและให้ความเคารพเหล่าภูตเสมือนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

“พวกเจ้าเล่นอะไรกันอยู่” พระสุรเสียงเรียบนิ่งเรียกสติของทุกนายให้กลับมา พวกเขารีบหันไปทำความเคารพแล้วยืนสงบด้วยไม่ทราบจะตอบเช่นไร

พวกเขาหลายนายช่วยกันยังไม่อาจเอาชนะได้

ราชันหน้ากากภูตพระองค์เดียวกลับควบคุมวิญญาณภูตหลายตนให้จัดการกับโหงพรายได้ภายในเวลาเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก ฝีมือช่างต่างชั้นนักจนไม่อาจเปรียบเทียบได้!

“______________กุมารพวกนั้น ส่งเสียงเจ็บปวดหนวกหูนัก เอามันมาให้ข้าจัดการบัดเดี๋ยวนี้” รับสั่งเฉียบขาด เหล่าทหารภูตย่อมต้องปฏิบัติตามแม้จะเห็นสายตาเว้าวอนของพวกมันก็ตามที ราชันทรงกำกับคาถาให้เหล่ากุมาร

กลับเข้าสิงรูปตนดังเดิมแล้วส่งให้ทหารภูตนายหนึ่งถือไว้ ก่อนจะหันมาหาเหล่าทหารภูตที่ยืนสำรวมอยู่เบื้องหน้า “พวกเจ้าทำงานพลาดบ่อยครั้งเกินไปแล้ว ยังสามารถรักษาศักดิ์ศรีทหารภูตไว้ได้กี่มากน้อยกัน”

สำหรับทหารภูตแล้ว รับสั่งของราชันไพรสัณฑ์ครั้งนี้ถือเป็นการตำหนิที่ร้ายแรงที่สุด พวกเขายอมรับอย่างเคร่งเครียดและอดสูว่าพวกตนไร้ความสามารถ จนต้องระคายเบื้องพระยุคลบาทลงมาจัดการด้วยพระองค์เอง เช่นนี้พวกเขายังสมควรเรียกตนว่าเป็นทหารภูตได้อีกหรือไม่

“ราชัน” เสียงดังขึ้น พร้อมร่างของราชองครักษ์หิรัญเดินผ่านทุกคนมายืนทำความเคารพอยู่ต่อหน้าราชันไพรสัณฑ์ที่ประทับนิ่งเป็นการให้เวลาราชองครักษ์คนสนิทได้พินิจดูทั่วพระวรกายว่าทรงปลอดภัยดี

“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปลอบนำยาออกจากร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในย่าน เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ” ทรงรับสั่งถามอย่างไม่รอฟังคำตอบ “ถ้ามีอะไรจะรายงานก็รอก่อน ข้าจะสอบปากคำเจ้าโหงพรายพวกนี้เสียหน่อย”

ราชองครักษ์หิรัญก้าวเข้ามายืนเกือบชิดพระวรกายราวกับจะไม่ยอมห่างไปไหนอีกแล้ว เหล่าวิญญาณภูตคุมเจ้าโหงพรายที่สิ้นฤทธิ์ลงมาคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์ บางตนที่มีตาแล้วเผลอสบจ้องดวงตาที่มองผ่านหน้ากากภูตสีดำทมิฬ (ข้างบนสีขาว—หนูอธิบายไม่ละเอียดเองค่ะข้างบนนั่นเป็นหน้ากากสีขาวของวิญญาณทหารภูตค่ะ) เข้าถึงกับกรีดร้อง

ราวกับปวดแสบปวดร้อนดวงตานัก จิตที่ยังยึดติดของมันทำให้ความเจ็บปวดเป็นจริงเช่นเดียวกับเลือดที่ไหลออกจากเบ้าตานั้น

“นายของพวกเจ้าเป็นใคร”

‘ทะ… ท่านโสม’ แม้พวกมันไม่อยากตอบแต่ก็ตอบออกไปราวกับถูกสะกด

“เหลวไหล!” สิ้น พระสุรเสียงเกรี้ยวกราดตวาดกร้าว วิญญาณภูตต่างก็ลงมือกระชากคอหอยเหยื่อในเงื้อมมือโดยพร้อมกัน เหล่าโหงพรายดิ้น ทุรนทุรายแต่ไม่อาจรอดจากการควบคุมของวิญญาณภูตได้ “ในเมื่อข้าให้โอกาสพวกเจ้าพูด แต่พวกเจ้ากลับพูดใส่ร้ายราชองครักษ์ของข้าก็จงอย่าได้พูดอีกเลย!”

ทรงพระสรวลอย่างเหี้ยมเกรียม ตวัดพระหัตถ์ครั้ง หนึ่งเสมือนเป็นสัญญาณ ทันใดนั้นเหล่าวิญญาณภูตก็ปล่อยโหงพรายออกจากการควบคุม พวกมันรีบกระเสือกกระสนหนีแตกกระเจิงกันไปในทันที โดยที่หลังจากนั้น เหล่าวิญญาณภูตก็ติดตามสะกดรอยไปอย่างเงียบเชียบ

เวลานี้ราชันไพรสัณฑ์ทรงรู้สึกเหมือนคนทุบโลกทั้งใบของพระองค์จนแตกสลาย ความระแวงแคลงใจในตัวของโสมแล่นขึ้น มาวูบหนึ่ง เพราะผู้มีอำนาจจิตแข็งกล้าแต่อ่อนประสบการณ์จนพระองค์จัดการได้อย่างง่ายดายเห็นจะมีเพียงโสมของพระองค์เท่านั้น แต่อีกส่วนหนึ่งของพระองค์ยังคงดื้อรั้นที่จะเชื่อว่านี่ไม่น่าจะใช่ฝีมือของโสม ทรงย้ำกับ

พระองค์เองว่าเหตุการณ์นี้ต้องเป็นฝีมือของธรรม์ที่ส่งมาเล่นตลกกับพระองค์เท่านั้น คืนนี้พระองค์จึงจะไปเยือนถึงที่เพื่อร่วมเล่นสนุกจึงแสร้งปล่อยโหงพรายแล้วสั่งให้วิญญาณภูตติดตามไปเพราะรู้ว่าพวกมันต้องกลับไปหาเจ้านายมันอย่างแน่นอน

“เราจะไปดูกันว่าใครเป็นเจ้านายที่แท้จริงของพวกมัน” ราชันหนุ่มหัวเราะเยือกเย็นฟังแล้วชวนให้ร้อนหนาวราวสะบัดไข้ “พวกเจ้าไปกำชับให้เวรยามตรึงกำลังในวังให้แน่นหนากว่าเดิม แล้วตามข้าออกไปสนุกในราตรีนี้ด้วยกัน!”

ชายผู้วิกลจริตแทบอยากจะกวาดข้าวของบนหิ้ง อันเต็มไปด้วยเครื่องไสยเวทย์ให้พังพินาศเมื่อรับรู้ได้จากทางจิตว่าโหงพรายที่ส่งไปนั้นพลาดท่าให้แก่ผู้ทรงฤทธิ์ เขามั่นใจมาเสมอว่าตนเก่งกล้าในคาถาอาคมแต่คนที่สยบโหงพรายกลับลงมืออย่างรวดเร็ว เด็ดขาดและทรงพลังดั่งผู้ชาญอาคมมาหลายศตวรรษ ผลของการต่อสู้นี้ไม่คุ้มค่าแก่การที่เขายอม

สละเวลาผละออกจากเจ้าราชองครักษ์โสมที่กำลังทุกข์ทรมานเอาเสียเลย!

คิดดังนั้น ชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้น ออกจากกระท่อมแห่งนี้เพื่อเดินตัดลัดเลาะไปยังกระท่อมที่เหยื่ออยู่ เขาหวังว่าเหยื่อจะไม่ใจเสาะชิงตายไปเสียก่อนที่เขาจะได้เห็นวาระสุดท้ายของมัน เขาถือเชิงเทียนปรี่ไปยังเตียงลึกสุดของกระท่อมด้วยความตื่นเต้นและมีความสุข ภาพที่ชายหนุ่มเห็นคือ ร่างที่เคยแข็งแรงอย่างชายชาตรีบัดนี้ถูกทารุณจนผอมบาง ผิวที่เคยมีชีวิตชีวากลับซีดเซียว หน้าตาหมองคล้ำซูบตอบ เหงื่อกาฬไหลชุ่มโชกเสื้อผ้า แต่สิ่งที่บันเทิงเริงใจเขามากก็คือความทุรนทุรายที่แสดงออกมาอย่างไม่อาจปิดบังได้ของเหยื่อและท่าทางที่เหมือนจะกรีดร้องแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา!

“ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นสภาพตัวเองในตอนนี้เสียจริงโสม เจ้ากำลังจะตายอย่างงดงามที่สุดเลยรู้หรือไม่” ชายหนุ่มยิ้มหวาน วางเชิงเทียนลงแล้วลูบใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดอย่างแผ่วเบา “เจ้าเป็นเหยื่อที่ทำให้ข้าสนุกมากที่สุด และเป็นเหยื่อคนแรกที่ข้าจะไม่แยกชิ้นส่วนใดของเจ้าเก็บไว้นอกจากสมองเพราะข้าสงสัยเหลือเกินว่าสมองของเจ้า

แตกต่างจากพวกโง่ๆ ที่เคยจับมาได้อย่างไรบ้าง เป็นเพราะขนาดรอยหยัก หรือความลึก”

ชายหนุ่มหัวเราะด้วยความเบิกบานใจยิ่งขึ้น เมื่อร่างที่สั่นสะท้านกลับดิ้นชักอีกครั้ง ยาพิษสาปจันทราร้ายแรงถูกใจจริงๆ เพราะตั้งแต่หัวค่ำที่ดวงจันทร์เพ็ญขึ้นสู่ขอบฟ้านั้น ยาก็ออกฤทธิ์มาโดยตลอดและยังไม่หยุดจนเวลาล่วงเลยมาดึกดื่นถึงเพียงนี้ รอยลิ่มเลือดและน้ำใสๆ ที่ดมจากกลิ่นแล้วก็คือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเปรอะเปื้อนอยู่บนเตียง คลุกอยู่กับกายเหยื่อ แต่เขากลับไม่รู้สึกขยะแขยงเลยสักนิด

ในขณะที่กำลังโสมกำลังดิ้นรนหนีความเจ็บปวดที่กำลังกัดกินวิญญาณ มือผอมบางที่ซีดเซียวก็คว้ามาจับมือของชายหนุ่มเอาไว้อย่างแนบแน่นเสมือนหนึ่งไว้วางใจฝากชีวิตไว้ในกำมือ ในใจของเขากระตุกวาบอย่างประหลาดกับความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากคนรอบข้าง หรี่ตามองคนที่กำลังหลับตากัดฟันทุกข์ทรมานสาหัสอย่างครุ่นคิด จิตใจอันวิกลจริตเริ่มค้นหาเหตุผลแห่งความรู้สึกที่ก่อกวนใจตนอยู่โดยพยายามระลึกเสมอว่าตนมีภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนมากเพียงใดจึงควรยึดความคิดขณะมีสติดีอยู่ ซึ่งก็คือปล่อยให้เหยื่อตายไปเสีย

“พ่อจ๋า แม่จ๋า พ่อพฤกษ์ เอาหนูไปด้วย หนูเจ็บ หนูทรมาน ไม่อยากอยู่แล้ว”

เขาชะงักงันไปเมื่อได้ยินเสียงเพ้อแหบแห้งของเหยื่อ พลันในหัวก็ปรากฏภาพของตัวเองเรียกร้องหาความรักของพ่อแม่ที่ไม่เคยมีให้ จนกระทั่งสิ่งที่อยู่เป็นเพื่อนของเขาตลอดเวลาก็คือความโดดเดี่ยว เขารู้แล้วว่าสิ่งที่รบกวนใจเขาอยู่คือตัวตนที่แสนโดดเดี่ยวซึ่งสะท้อนจากเหยื่อนั่นเอง ฉับพลันที่คิดเช่นนั้น ชายหนุ่มได้จ้องมองความตายที่ลอยอวลอยู่

รอบกายเหยื่อด้วยความกระวนกระวายผุดลุกขึ้น เพื่อจะเร่งไปทดลองหายาที่จะมาพยุงต้านพิษเอาไว้เป็นการยื้อเวลาก่อนที่เขาจะคิดยาสลายพิษได้สำเร็จ

ข้าจะให้เจ้าอยู่… ข้าจะให้เจ้าอยู่!

โสมดีดดิ้น ทุรนทุรายด้วยความปวดแสบปวดร้อนจนเหมือนมีขุมนรกอยู่ในท้อง ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ ทั้งยังอาเจียนออกมาอย่างทุกข์ทรมานที่สุด เธอจำไม่ได้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ในความรู้สึกของเธอมันดำเนินมาแสนยาวนาน เธออยากกรีดร้องออกมาแต่ก็เจ็บปวดเกินกว่าจะทำได้ สิ่งที่เห็นคือภาพเหตุการณ์ที่เธอเคยฆ่าคนตายมาหลายชีวิตหมุนวนเวียนสลับให้ดู จนกระทั่งใบหน้าของพวกเขาชะโงกเงื้อมอยู่เหนือร่างเธอแล้วคำรามทวงถามถึงการแก้แค้นทวงคืน เธออ้าปากกรีดร้องอย่างไร้เสียงแล้วพยายามดิ้น รนหนีด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้นเองพวกเขาก็ถูกผลักห่างออกไปและเธอเห็นบุคคลสามคนที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอีก

“พ่อจ๋า แม่จ๋า พ่อพฤกษ์ เอาหนูไปด้วย หนูเจ็บ หนูทรมาน ไม่อยากอยู่แล้ว” เธอคว้ามือของพวกท่านที่ยื่นมากุมอย่างให้กำลังใจพลางหลั่งน้ำตาจนสายตาพร่ามัว แล้วทุกอย่างก็กลับมาสับสนอีกครั้งจนเธอหัวหมุนและลำดับเหตุการณ์ไม่ถูก

‘อย่าเข้ามานะ แกเป็นพี่ฉันนะ อย่าทำฉัน!’

‘หิว… หิวเหลือเกิน ใครก็ได้ช่วยหนูด้วย อย่าตีหนู หนูแค่หิว หนูไม่มีเงิน’

‘หนูสัญญาจ้ะพ่อพฤกษ์ หนูจะไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น จะไม่ให้ใครรู้เมื่อหนูเจ็บปวด เป็นลูกทหารต้องเข้มแข็งใช่ไหมจ๊ะพ่อ’

‘พ่อพฤกษ์ตายแล้ว ฉันจะไม่ร้องไห้ ฉันจะไม่ให้พ่อพฤกษ์ผิดหวัง ฉันจะแข็งแกร่ง ใครก็มาข่มเหงรังแกฉันไม่ได้’

“กลืนเข้าไปให้หมด!” เสียงแหบห้าวสั่ง พลางยัดยาลูกกลอนที่เขาคิดว่าน่าจะช่วยบรรเทาความร้ายแรงของพิษสาปจันทราใส่ปากคนที่เพ้อเอาเรื่องต่างๆ ออกมาอย่างไร้สติ เขาได้ฟังแล้วเกิดความรู้สึกประหนึ่งเจอพวกเดียวกัน จึงยิ่งอยากให้อีกฝ่ายรอดชีวิต

หญิงสาวทรมานอยู่กับอาการปวดแสบปวดร้อนภายในร่างกายราวกับอวัยวะต่างๆ โดนเผาไหม้และอาการคลื่นเหียนชวนอาเจียนก็เป็นๆหายๆ อยู่ตลอดเวลา กระนั้น เธอก็ได้ยินเสียงตัวเองดังก้องในจิตใจ

‘ทำไมถึงทรยศฉัน ทำไมถึงสั่งให้ทำกับฉันอย่างนี้ ทำไมท่านไม่มาช่วยฉัน รักฉันจริงๆ หรือเปล่า’

ภาพพร่ามัวของใครบางคนวูบผ่านเข้ามา แม้จะเห็นไม่ชัด แต่ความอบอุ่นและบรรยากาศรอบตัวเขาแสนจะคุ้นเคย

‘ในที่สุดท่านมาช่วยฉันแล้วหรือ ทำไมถึงปล่อยให้ฉันต้องทนทุกข์นานถึงเพียงนี้’

แต่แล้วภาพของเขาก็ห่างออกไปสู่ความมืดอันน่ากลัวที่กำลังกัดกินเธอให้หายไป

‘อย่าไป! กลับมานะ ช่วยฉันที’

เธอเต็มไปด้วยความเลอะเลือนและสับสนวุ่นวาย เธอพยายามนึกว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร ดูเหมือนว่าเขาจะสำคัญกับเธอมาก แต่สำคัญอย่างไรเธอก็นึกไม่ออก ความจริงแล้วเธอรู้จักเขาด้วยหรือ เธอคงไม่รู้จักเขาหรอกและเขาคงไม่รู้จักเธอด้วย ไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะช่วยเธอแล้ว

ในห้วงเวลาแห่งความว่างเปล่านี้เธอได้ยินเสียงคำรามคล้ายการต่อสู้ดังแว่วมาจากที่ไกล เสียงคนพูดร้อนรน เหมือนมีใครพยายามจะดึงตัวเธอไป เธอพยายามปรือตาขึ้น อย่างยากลำบากเพื่อหาสาเหตุของความวุ่นวายอลหม่านนี้ในภาพเลือนรางที่เธอพอจะมองเห็นนั้น ห้องที่เคยมืดอยู่เป็นนิจกลับสว่างขึ้น ด้วยแสงจากคบไฟจำนวนหนึ่ง ใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้เธอที่สุดกำลังถูกคนกลุ่มหนึ่งพยายามนำตัวออกไป ขณะเดียวกันเสียงเอ็ดอึงก็ดังขึ้น เรื่อยๆ ดูเหมือนมีใครกำลังทะเลาะกันใหญ่โตที่ด้านนอก แสงสว่างเมื่อครู่หายไปแล้ว เธอถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเช่นเคย อาการ

ปวดแสบปวดร้อนภายในร่างกายรุนแรงขึ้นอีก สติล่องลอยวูบวาบ

โสมรู้สึกเหมือนความมืดและเงามรณะก็เริ่มกรายเข้ามาในดวงตา หญิงสาวกำลังคิดว่าจะยอมจำนนต่อลิขิต แต่แล้วแสงสว่างสีทองอ่อนๆ ก็บังเกิดขึ้นในคลอจักษุ มีเงาร่างใหญ่โตทะมึนมืดยืนอยู่คับช่องแสงสว่างนั้น ก่อนที่เงาทะมึนมืดจะปราดเข้ามาหา เธอคิดว่ากำลังเห็นมัจจุราช เขาดึงตัวเธอขึ้นมาประทับอก นี่แปลว่ามัจจุราชมารับเธอแล้วหรือ เธอตายและกำลังตกนรกใช่ไหม

“เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว ข้าขอสั่งไม่ให้เจ้าตาย!”

ร่างอันปวดร้าวและบอบช้ำไปทุกรูขุมขนถูกอุ้มขึ้น จนหญิงสาวต้องเบ้หน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด มัจจุราชตนเดิมกระซิบปลอบเธอด้วยน้ำเสียงเหมือนกับเจ็บปวดไปด้วย

โสมรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ลอยสูงขึ้นเหมือนกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าที่โอบล้อมด้วยปุยเมฆนุ่มนวล

อา… ท้องฟ้า ปุยเมฆ อากาศบริสุทธิ์ สรรพเสียงสิงห์สาราสัตว์ ต้นไม้เขียวชอุ่ม กลิ่นผืนดิน สายลมเย็นชื่นฉ่ำ มันคงจะดีกว่านี้หากไม่มีกลิ่นแปลกๆ คล้ายกลิ่นสนิมฉุนมาตามลมด้วย แต่เธอไม่ได้เห็นความสดชื่นแจ่มใสมานานแล้ว และจะไม่มีอะไรมาทำให้เธออารมณ์ไม่ดีในตอนนี้ได้

หญิงสาวยิ้ม อีกเมื่อเห็นเงานกตัวหนึ่งกางปีกออกกว้างบินถลาอย่างอิสระเสรีบนท้องฟ้า จิตใจของเธอวูบโหวงเหมือนจะโผตามปลายปีกของมันไปไกลจนลับตา ความเจ็บปวดของร่างกายกลายเป็นความด้านชาแล้วค่อยๆ รู้สึกเบาเหมือนไม่ใช่ร่างของตัวเอง ดวงตาหรี่ปรือจะหลับลงด้วยความเหนื่อยล้า และเธอคงจะหลับสบายไปแล้วหากมัจจุราชไม่ชะโงกหน้ามาแผดเสียงใส่จนเธอสะดุ้งตกใจตื่น

“ลองเจ้ากล้าตายดูสิ ข้าจะพังนรกให้ย่อยยับเพื่อชิงเจ้ากลับมา!”

“ฉันจะขึ้น สวรรค์ต่างหากล่ะ” เธอเอ่ยเสียงแหบแห้งจนแทบเป็นเสียงลม แล้วก็ฝืนร่างกายไม่ไหว เปลือกตาค่อยๆ หลุบลง แต่ก่อนที่จะสลบไปก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเสียงแว่วมาว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขึ้น ไปพังสวรรค์ให้พินาศ จงจำไว้ว่าที่ของเจ้าคือข้างกายข้าเท่านั้น!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!