ตอนพิเศษ
กาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
แสงดาวของโลกวิญญาณนิรันดร์กาลส่องประกายเจิดจ้า กลุ่มชนเผ่าในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบเจริญรุ่งโรจน์ ผู้แข็งแกร่งแต่ละยุคแต่ละสมัยทยอยกันปรากฎตัว บุพกาลก็ดี ผู้บงการก็ช่าง ล้วนเป็นดั่งหน่อไม้ที่แตกหน่อหลังฤดูฝน แต่ละคนต่างเป็นเหมือนแสงดาวที่ส่องแสงพร่างพราวในยุคสมัยของใครของมัน
โดยเฉพาะดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่เป็นดาวดวงที่พิเศษที่สุดและส่องแสงสว่างที่สุดในห้วงจักรวาลกว้างใหญ่อันไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้
เรื่องราวของป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นตำนาน หลังจากที่เขาพาญาติมิตรออกไปจากดินแดนเซียนนิรันดร์กาลได้นานหลายปี เรื่องราวในอดีตของเขาก็กลายมาเป็นเทพนิยายที่ผู้คนพากันบอกเล่าสืบทอดต่อกันไปในโลกวิญญาณนิรันดร์กาลแห่งนี้ ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานหลายปีมากแล้ว แต่ก็ยังมีคนหยิบยกมาพูดถึงอยู่เป็นประจำ เพราะหากจะว่ากันในบางระดับแล้ว ความรุ่งโรจน์ในยุคสมัยนั้นก็เหมือนจะกลายมาเป็นประวัติศาสตร์ที่เฟื่องฟูที่สุดของโลกวิญญาณนิรันดร์กาล
ไม่มีใครรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไปอยู่ที่ไหน ได้แค่พอจะหาเบาะแสบางอย่างเจอจากในตำราที่ราชวงศ์จักรพรรดิขุยในปีนั้นทิ้งไว้เท่านั้น ดูเหมือนว่าผู้ที่บันทึกข้อมูลเหล่านี้จะแอบบอกเป็นนัยแก่คนทั้งโลกว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนรวมถึงญาติและมิตรของเขาต่างก็ไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักและใช้ชีวิตกันอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข
เนื้อหาเหล่านี้ที่อยู่ในตำราต่างก็ได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลก ต่อให้เป็นปัจจุบันนี้ ทุกคนในโลกวิญญาณนิรันดร์กาลก็ยังคิดว่านี่คือเรื่องจริง
ขณะเดียวกันทุกยุคสมัยก็จะต้องมีนักพรตที่พยายามตามหาป๋ายเสี่ยวฉุน พยายามแสวงหา ไล่ตามเพื่อหวังว่าจะได้พบกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคนั้นกับตาตัวเอง
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่อาจพบร่องรอยของป๋ายเสี่ยวฉุนรวมไปถึงญาติมิตรของเขาได้
บัดนี้นอกโลกวิญญาณนิรันดร์กาล ห้วงจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลเต็มไปด้วยไอหมอกแผ่อบอวลจนมองเห็นจุดที่ห่างไปไกลได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงว่าในฝุ่นผงที่ลอยตลบคละคลุ้งคล้ายจะมีเงาร่างหนึ่งที่มีสีหน้าปลงตก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นกำลังห้อทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ในที่สุด…ในที่สุดข้าก็หนีออกมาได้แล้ว!!” เงาร่างนี้มองดูแล้วคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีผิวขาวนวลเนียน เขาสวมชุดยาวสีขาว ท่าทางตื่นเต้นดีใจอย่างมาก ราวกับนกน้อยที่บินออกจากกรง ได้ครอบครองอิสระเสรี…
“พวกนางทำเกินไปแล้ว ข้านี่ก็ช่างเป็นคนดี เป็นคนซื่อเกินไปจริงๆ หาไม่แล้วจะถูกรังแกแบบนี้ได้อย่างไร!” ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียด แม้ผิวที่ขาวนวลจะทำให้เขาจะดูนุ่มนิ่ม แต่แววฉลาดเฉลียวเจ้าเล่ห์ในดวงตาทำให้มองดูแล้วแม้ว่าจะไม่ใช่คนเลวร้าย แต่เขาก็ไม่มีทางเป็นคนซื่อ คนดีได้แน่นอน
คนผู้นี้ ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน
ในตำราที่บันทึกเอาไว้ ปีนั้นหลังจากที่เขาอยู่อาศัยในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลได้พักหนึ่งก็ได้พาญาติและมิตรจากไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แม้ว่าในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ แต่พอเวลานานเข้า ด้วยนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาเริ่มอยู่ไม่นิ่ง เริ่มทนไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มหญิงสาวอย่างซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่ โหวเสี่ยวเม่ย กงซุนหว่านเอ๋อร์และตู้หลิงเฟยต่างก็จับตามองเขาอย่างเข้มงวด เข้มงวดจนถึงระดับที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขนลุกขนชัน…
“พวกนางไม่ให้ผู้หญิงคนไหนมาพูดคุยกับข้า แถมยังไม่ให้ข้าออกไปข้างนอกคนเดียว บอกว่าไม่ว่าข้าไปที่ไหน หายนะก็เกิดขึ้นที่นั่น กังวลว่าข้าจะสร้างความวิบัติจนแม้แต่บ้านก็อาจพังทลาย…นี่ก็ยังพอทำเนา แต่นี่แม้แต่หลอมยา พวกนางก็ยังไม่อนุญาต!”
“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนแบบนั้นหรือไง!”
“ไม่ให้ข้าพูดกับผู้หญิงก็ได้ ไม่ให้ข้าออกไปเที่ยวข้าก็ยังทน ไม่ให้ข้าหลอมยาข้าก็อดกลั้น แต่นี่เป็นผัวเป็นเมียกันมาตั้งนานแล้ว พวกนางยังหาเรื่องมาทะเลาะกันประจำ ยิ่งถ้าโอ๋ไม่ดี งอแงไร้เหตุผลขึ้นมา ทะเลาะครั้งหนึ่งก็นานเป็นพันๆ ปี…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเกรี้ยวกราด ยิ่งนึกถึงว่าพอเรื่องที่พวกซ่งจวินหว่านทะเลาะกันหาข้อสรุปไม่ได้ สายตาของทุกคนก็จะหันมามองตนเพื่อให้ตนเลือกข้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แทบบ้า
“หนีออกมานี่แหละสบายอารมณ์…ฉวยโอกาสที่พวกนางมัวยุ่งอยู่กับการเตรียมงานวันส่งท้ายปีเก่า ข้าต้องรีบหนีออกมาเที่ยวเล่น” ท่ามกลางเสียงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงบินทะยานไปข้างหน้าไม่หยุดพัก เขาคิดมาดีแล้ว ออกมาคราวนี้ต้องหาเรื่องผ่อนคลายให้สบายใจสักหน่อย
ท่ามกลางเสียงพร่ำรำพันอย่างปลงตก ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มพูนต่อเนื่อง ทุกก้าวล้วนข้ามผ่านห้วงมิติ เขาเลือกจุดหมายปลายทางไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือบ้านเกิดของเจ้าเต่าน้อยอย่างโลกแห่งเต๋าเว่ยยางนั่นเอง
ทว่าวินาทีที่เขาจะก้าวเข้าไปในโลกแห่งเต๋าเว่ยยางนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันนิ่วหน้า หันขวับมามองทางขวามือเพราะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจากไอหมอกที่ปกคลุมเป็นวงกว้าง
“ปราณของขั้นที่สี่…ไม่ถูกสิ ด้านบนยังมีท่วงทำนองของขั้นที่ห้าอยู่ด้วย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ยกมือขวาขึ้นคว้าจับไปท่ามกลางความว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีรุ้งยาวเส้นหนึ่งบินออกมาจากในไอหมอก ตรงเข้ามาอยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน
นั่นคือขวดใบหนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือขวดแก้วลอยน้ำใบหนึ่ง
ไม่รู้ว่ามันล่องลอยอยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้มานานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านทางมาแล้วสัมผัสได้ถึงมัน จึงเก็บมันเอามา
“น่าสนใจแหะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองขวดแก้วในมือ หลังจากเปิดจุกขวดออกก็พบว่าด้านในมีกระดาษอยู่ใบหนึ่ง
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงคลี่กระดาษนี้ออกมาอ่าน แล้วเขาก็พลันหัวเราะขำ
“ใครเป็นคนเขียนเนี่ย อยากจะเป็นคนรวยงั้นรึ?” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหัวเราะ จู่ๆ เขาก็ต้องนิ่วหน้า เพราะเห็นว่าบนกระดาษแผ่นนี้มีเส้นแห่งกรรมลอยขึ้นมาทำท่าคล้ายจะเชื่อมโยงเข้ากับตัวเขา
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง รีบยกมือซ้ายขึ้นตัดเส้นแห่งกรรมเหล่านั้นทันที
“ไอ้หมอนี่ชั่วร้ายเกินไปแล้ว นี่มันใครกัน เต๋าของเขาแฝงเร้นไว้ด้วยเหตุและผล ขอแค่สัมผัสโดนกระดาษแผ่นนี้ก็จะเป็นเหมือนการเขียนใบรับรองหนี้สินที่มองไม่เห็นให้กับเขา คือการติดหนี้เขาด้านเหตุและผล!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าปูเลี่ยน หลังจากมองกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง เขาก็แค่นเสียงในลำคอ
“เห็นแก่เงินจนบ้าไปแล้วหรือไง!” หลังจากพึมพำหนึ่งประโยค ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ถือโอกาสใช้เต๋าของตนเพิ่มประโยคหนึ่งตามหลังคำว่าร่ำรวยบนกระดาษ
“ร่ำรวยดีตรงไหน เป็นอมตะต่างหากที่สำคัญที่สุด! ข้าจะเป็นอมตะ!”
พอเขียนจบก็เตรียมจะยัดกระดาษกลับเข้าขวดอีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดลังเล จึงคลี่กระดาษออกใหม่ แล้วก็เติมอีกประโยคหนึ่งเข้าไปด้านหลังประโยคนั้นของตนอีกที
“หาคู่บำเพ็ญเพียรแค่คนเดียว!”
ทำทุกอย่างนี้เสร็จป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้พึงพอใจ พอคิดว่าหากวันหน้ายังจะมีคนเห็นขวดลอยได้ใบนี้แล้วเชื่อฟังคำแนะนำของตน เขาก็รู้สึกว่าตนได้นำประสบการณ์ชีวิตมาบอกเล่าให้แก่คนรุ่นหลังแล้ว หลังจากสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เพื่อโยนขวดแก้วลอยได้ขวดนี้กลับเข้าไปในห้วงจักรวาลดังเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พกพาเอาความลำพองใจก็ขยับร่างทะยานดิ่งเข้าหาโลกแห่งเต๋าเว่ยยาง!
“หากมีโอกาสได้เจอกับเจ้าคนที่ยากแค้นจนเป็นบ้าผู้นั้น จะต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย! บังอาจกล้ามาทำให้ข้าติดหนี้เขางั้นหรือ? เดี๋ยวข้าก็ยัดยากระสันซ่านแล้วก็ยาประสาทหลอนเข้าปากเสียเลย!”
(จบบริบูรณ์)
………………………………………….
สารจากผู้แต่ง
1314 หนึ่งชาติหนึ่งภพ หนึ่งความคิด นิจนิรันดร์! (1314 อ่านว่า อีซานอีซื่อ ใกล้เคียงกับคำว่าหนึ่งชาติหนึ่งภพที่อ่านว่า อีเซิงอีซื่อ)
บนโลกใบนี้ไม่มีรถคันใดที่ขับไปโดยไม่มีวันจอดพัก เพราะคนขับจำเป็นต้องพักผ่อน และรถของป๋ายเสี่ยวฉุนคันนี้ก็ได้แล่นมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
ผมชอบป๋ายเสี่ยวฉุนมาก ต่อให้เขาจะเป็นคนตลกโปกฮา ต่อให้เขาจะเป็นคนกลัวตาย แตกต่างกับพระเอกในนิยายทุกเรื่องที่ผมเคยแต่งก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็เป็นคนจริงมาก จริงจนผมอิจฉาชีวิตของเขา
นิยายเรื่องนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นเรื่องแรกที่ผมแทบจะไม่ขอให้นักอ่านช่วยโหวต แล้วก็น้อยครั้งที่จะโฆษณา ต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ เพราะตลอดสองปีมานี้เกิดเรื่องใหญ่ๆ กับผมหลายเรื่อง เมื่อลองมาย้อนนึกดูก็ให้ปลงอนิจจังต่อชีวิตของคนเรา ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนและอยู่เคียงข้างกันมาตลอด อดีตเป็นดั่งสายลมที่พัดโชยผ่าน ผมรู้สึกโชคดีที่ตัวเองยังคงรักในการเขียนนิยาย