บทที่ 100 ยังไม่ขอโทษอาจารย์อาป๋ายของเจ้าอีก
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรู้สึกลำบากใจเข้าไปใหญ่ เขาค้นพบตั้งนานแล้วว่าทุกครั้งที่ตัวเองพยายามอธิบายเรื่องอะไรก็ตาม สุดท้ายมักจะกลายเป็นเข้าเนื้อตัวเองเสมอ
นี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเขาสักหน่อย เขาก็ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้เหมือนกัน…
เป่ยหันเฟิง พี่ชายของเป่ยหันเลี่ยก็โกรธจนไฟโทสะลุกโหมหันทีเพราะคำอธิบายของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก วินาทีนั้นมือขวาของเขาพลันเกิดเป็นแสงสีดำ พริบตาเดียวกลางฝ่ามือของเขาก็มีจันทร์เสี้ยวสีดำปรากฎขึ้นมา!
เหมือนพระจันทร์ดวงที่อยู่หลังภูเขารั่วรื่อ แต่จันทร์สีดำนี้กลับแผ่พลังน่าหวาดกลัวที่ทำให้คนใจสั่นสะท้านออกมา เป่ยหันเฟิงกดลงไปตรงๆ ที่ค่ายกลของป๋ายเสี่ยวฉุน
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ตลอดทั้งถ้ำสั่นไหวอยู่หลายที ค่ายกลนอกถ้ำบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่ว่าหลายจุดมีสัญญาณของการปริแตกเกิดขึ้น แต่สุดท้าย…ก็ไม่ได้พังทลายลงมา พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ
ภาพนี้แม้แต่เป่ยหันเฟิงเองก็ยังสูดลมหายใจเฮือก ความแข็งแกร่งของค่ายกลนี้ทำให้เขารู้สึกปวดหัวอย่างถึงขีดสุด ยามนี้จึงกัดฟันแรงๆ หนึ่งครั้ง กำลังจะลงมือต่อ
แต่เวลานี้เองเสียงฮึดฮัดเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังลอยมาจากท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกล
“เป่ยหันเฟิง เจ้าจะทำอะไร ยังไม่หยุดอีก!” เสียงนี้ราวกับเสียงฟ้าร้องที่มาระเบิดอยู่ข้างหูของเป่ยหันเฟิง ขณะเดียวกันกับที่ดังลั่นไปแปดทิศ ก็ทำเอาเป่ยหันเลี่ยตกใจจนไม่คลั่งอีกต่อไป ถอยหลังกรูดด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น
ลูกศิษย์ฝ่ายในของเขารั่วรื่อที่อยู่รอบทิศ แต่ละคนก็หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน ถอยหลังและหยุดมืออย่างพร้อมเพรียง เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า เห็นแค่ว่ามีรุ้งยาวหกเส้น ห้อทะยานมาจากเขาจ้งเต้า พริบตาเดียวก็มาถึง
ผู้ที่คำรามประโยคนั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีดำ หน้าเหลี่ยมดวงตาดุดัน ตลอดทั้งร่างแผ่กลิ่นอายทำลายล้าง
“ท่านอาจารย์…” เป่ยหันเลี่ยและเป่ยหันเฟิงใจสั่นสะท้านเพราะเสียงคำรามของชายวัยกลางคนผู้นี้ รีบโค้งคารวะ ลูกศิษย์ฝ่ายในของเขารั่วรื่อคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ แต่ละคนล้วนตัวสั่นเทา ก้มหน้าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คารวะท่านผู้นำ”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คืออาจารย์ของเป่ยหันเลี่ย และก็คือท่านผู้นำของเขารั่วรื่อคนที่ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน อุ้มเป่ยหันเลี่ยจากไปตอนศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ
“เจ้าพวกไม่ได้เรื่อง ทำตัวขายขี้หน้า ยังไม่ไสหัวไปอีก หลังจากนี้ข้าค่อยไปจัดการพวกเจ้า!”
“แล้วก็พวกเจ้าด้วย หลังกลับไปให้ทุกคนปิดด่านสามปีเป็นการลงโทษ!” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความเดือดดาล พี่น้องเป่ยหันใจสั่นสะท้าน งุนงงขึ้นมาเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะทำผิดกฎที่มาที่นี่ แต่อาจารย์ผู้เมตตาปราณีกับพวกเขามาโดยตลอดก็ไม่ควรโกรธถึงขนาดนี้นี่นา เพราะยังไงซะวันนั้นท่านอาจารย์ก็โกรธแค้นป๋ายเสี่ยวฉุนมากเช่นกัน
พี่น้องเป่ยหันสองคนรู้สึกได้รางๆ ว่ามีเรื่องบางอย่างที่พวกตนไม่รู้เกิดขึ้นแล้ว ในใจเริ่มเห็นท่าไม่ดี ขณะที่ถอยหลังอย่างกระวนกระวายใจ มองไปยังท่านอาจารย์ที่อยู่บนท้องฟ้า การมองครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้หนังหัวชาหนึบ ข้างกายผู้นำเขารั่วรื่อยังมีท่านผู้นำของภูเขาชายฝั่งทิศเหนืออีกสามท่าน โดยเฉพาะหญิงชราผู้นำของเขายวนเหว่ยที่สีหน้าก็ยิ่งดุร้าย มองลูกศิษย์เหล่านั้นของเขารั่วรื่อด้วยดวงตาเย็นชา
นอกจากผู้นำจากเขาทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือแล้ว เจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงก็อยู่ในนั้นด้วย ยังมีอีกคนหนึ่งสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่สนใจการทะเลาะวิวาทของกลุ่มลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่างพวกนี้สักนิด เขาคือ…ผู้นำของเขาเซียงอวิ๋น หลี่ชิงโหว
สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่เหล่าลูกศิษย์ของเขารั่วรื่อเท่านั้นที่รู้สึกว่าท่าไม่ดี ลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาเซียงอวิ๋นเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ พากันรู้สึกว่าภาพนี้ออกจะแปลกประหลาดเล็กน้อย…ต้องเข้าใจว่าชายฝั่งทิศเหนือนั้นอวดดีอย่างบ้าคลั่งมาโดยตลอด เรื่องอย่างวันนี้ในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งชายฝั่งทิศเหนือจะต้องทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
วันนี้กลับตวาดอย่างโกรธเคือง ถือว่าเห็นได้น้อยนัก
แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำก็ยังอึ้งไปเช่นกัน มองไปยังกลุ่มคนนอกถ้ำด้วยความอยากรู้อยากเห็น
กลางอากาศ ผู้นำทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือหลังจากที่มองกันไปมาแล้ว หญิงชราของเขายวนเหว่ยไอแห้งๆ หนึ่งที มองไปยังหลี่ชิงโหว
“ผู้นำหลี่ ตามที่พวกเราปรึกษากันไว้ก่อนหน้านี้ ท่านว่า…”
“หากไม่มีเหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้นก็ว่าไปอย่าง ตอนนี้ข้าก็ลำบากใจเหมือนกัน พวกท่านคุยกันเองเถอะ” หลี่ชิงโหวส่ายหน้า เอ่ยปากเนิบนาบ สายตากวาดลงไปยังถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านล่าง นัยน์ตาเผยแววขบขัน
“นี่…” หญิงชราเขายวนเหว่ยลังเลเล็กน้อย มองไปยังชายวัยกลางคนของเขารั่วรื่อด้วยความปวดหัวอยู่บ้าง ผู้นำเขารั่วรื่อถอนหายใจยาวอยู่ในใจ รู้ว่าลูกศิษย์ของตนเป็นคนหาความยุ่งยากมาให้ ต้องให้ตนเป็นคนแก้ปัญหาเท่านั้น ดังนั้นใบหน้าจึงเผยรอยยิ้ม มองไปยังถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ศิษย์น้องเสี่ยวฉุน…” หลังจากที่เขาพูดสี่คำนี้ออกจากปาก ตัวเองก็ยังรู้สึกจั๊กจี้พิกล ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด แต่กลับไม่มีทางเลือก หลังจากที่พวกเขาผู้นำสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือปรึกษากันแล้ว ล้วนให้ความสำคัญกับยากระสันซ่านของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยิ่ง และยังถึงขั้นศึกษาสัตว์รบเหล่านั้นแล้ว ผลสรุปที่ได้คือต่อให้เป็นสายเลือดระดับหนึ่งก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย
นี่ทำให้พวกเขาบ้าคลั่งกันทันที ยานี้สำหรับชายฝั่งทิศเหนือแล้วไม่ต่างอะไรไปจากของศักดิ์สิทธิ์ ต้องเข้าใจว่าสัตว์รบที่แข็งแกร่งมากมาย เนื่องจากปัจจัยหลากหลายทำให้ยากที่จะออกลูกออกหลาน ถึงขั้นที่ว่าสัตว์สายเลือดระดับหนึ่งเหล่านั้นมักจะใช้เวลาหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีถึงจะเกิดอารมณ์กำหนัดสักครั้ง นี่ก็คือหนึ่งในหลายๆ ปัญหาที่ทำให้ชายฝั่งทิศเหนือปวดหัวมากที่สุดตลอดหลายปีมานี้
โดยเฉพาะตอนนี้วานรเดือนดับตามรกตซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวของเขารั่วรื่อใกล้จะสิ้นอายุขัยแล้ว แต่กลับไม่มีสายเลือดทิ้งไว้ให้ ซึ่งเป็นเรื่องกระชั้นชิดจวนตัวที่สุด
แต่ตอนนี้ยาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับฝืนหลักสวรรค์ได้ถึงเพียงนี้ ทำให้ผู้นำทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือต้องการครอบครองมันให้ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อค้นหาจากข้อมูลจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วกลับหาคำบรรยายที่เกี่ยวกับยานี้ไม่เจอ สุดท้ายพวกเขาจึงแน่ใจอย่างไร้ทางเลี่ยงว่า ยาเม็ดนี้…เป็นยาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างขึ้นมาเอง!
ถึงได้มาหาเจ้าสำนัก มาหาหลี่ชิงโหว เพราะต้องการครอบครอง
หากเปลี่ยนเป็นลูกศิษย์คนอื่น ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายในก็ตาม แค่พวกเขาเอ่ยปากคำเดียว เรื่องนี้ถือว่าง่ายดายยิ่งนัก ทั้งยังมีวิธีอีกมากมายที่สามารถทำให้ลูกศิษย์มอบตำรับยาให้อย่างว่าง่าย แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นไม่เหมือนกัน…เขาคือลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนัก สถานะนี้ทำให้พวกเขาทำได้เพียงคิดหาวิธีมาแลกเปลี่ยน ไม่สามารถใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อเอามาได้
แถมยังต้องได้ความยินยอมจากป๋ายเสี่ยวฉุนถึงจะได้ ห้ามบีบบังคับเอามา…เดิมทีภายใต้การไกล่เกลี่ยของเจ้าสำนัก ได้บรรลุถึงเงื่อนไขบางอย่างกับหลี่ชิงโหวแล้ว แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะปรึกษากันเสร็จก็ได้ยินว่าลูกศิษย์จากเขารั่วรื่อมาหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุน จึงทำให้ท่านผู้นำทั้งสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือเดือดดาลขึ้นมาทันที
กลัวว่าลูกศิษย์ภูเขารั่วรื่อจะไม่รู้หนักรู้เบา ล่วงเกินป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้การแลกยามายิ่งยากเข้าไปใหญ่
เมื่อครู่ถึงได้มีภาพที่ผู้นำเขารั่วรื่อตวาดด้วยความโมโห
“ศิษย์น้องเสี่ยวฉุน โปรดออกมาพูดคุยกันเถอะ” ผู้นำเขารั่วรื่อพยายามฝืนทำท่าสมานฉันท์สนิทสนม น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงเยอะมาก ประโยคนี้หลุดออกไป ลูกศิษย์เขารั่วรื่อทุกคนที่อยู่รอบด้านพากันตัวสั่นทันที พี่น้องเป่ยหันก็ยิ่งเบิกตากว้างราวกับไก่ไม้
ในถ้ำ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนวน มองภาพด้านนอกด้วยความแปลกใจ เขารู้สึกว่านี่ไม่ถูกต้องเอามากๆ แล้วก็มองเห็นสายตาของหลี่ชิงโหวก่อนหน้านี้จึงคิดอะไรบางอย่างได้ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในใจกลับเกิดความคาดเดามากมายเกินจะนับ
“ลูกศิษย์เหล่านั้นของท่านดุร้ายเกินไป จะตีข้าให้ตาย ชีวิตน้อยๆ ของข้าเกือบจะหายไปแล้ว ข้าไม่กล้าออกไปหรอก…” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ปากก็เอ่ยคำพูดน้อยอกน้อยใจ
คำพูดของเขาฟังแล้วน่าสงสารนัก หลังจากดังลอยมา พี่น้องเป่ยหันรู้สึกแค่ว่าไอเย็นแผ่วาบไปทั่วแผ่นหลัง ลูกศิษย์เขารั่วรื่อคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบก็พากันหน้าถอดสี พวกเขามองออกถึงระดับการให้ความสำคัญต่อป๋ายเสี่ยวฉุนของผู้นำทั้งสี่จากชายฝั่งทิศเหนือ ว่าใกล้เคียงกับคำว่าประจบสอพลอแล้ว ในเวลานี้พอป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเช่นนี้ พวกเขาก็พอจะนึกสภาพจุดจบของตัวเองออก
ขณะที่หลี่ชิงโหวและเจิ้งหย่วนตงสีหน้ากระตุกน้อยๆ นั่นเอง ผู้นำของเขารั่วรื่อพลันหันหน้าขวับ ถลึงตาดุมองลูกศิษย์เขารั่วรื่อเหล่านั้น คำรามเสียงต่ำหนึ่งที
“ยังไม่รีบขอโทษอาจารย์อาป๋ายของพวกเจ้าอีก!”
ลูกศิษย์ของเขารั่วรื่อแต่ละคนหน้าเบ้ รีบกำมือประสานขออภัยไปทางถ้ำ
เป่ยหันเลี่ยเศร้ารันทดและเคียดแค้นปานจะขาดใจ กำลังจะดิ้นรนต่อต้าน แต่พอเห็นสายตาเฉียบคมของอาจารย์ เขาจึงต้องก้มหน้าอย่างกล้ำกลืน กำมือประสานไปทางถ้ำ
“อาจารย์อาป๋าย…ข้า…ข้า…ข้าผิดไปแล้ว!!”
เป่ยหันเฟิงเงียบงัน ดิ้นรนเงยหน้ามองอาจารย์ หลังจากเห็นว่าสายตาของอาจารย์ยิ่งดุดัน ใจเขาก็สะท้านไหว เส้นเอ็นบนหน้าผากปูดโปน แต่กลับจำต้องกำมือประสานขออภัย
เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สายตาที่มองไปยังถ้ำเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่ลุกโชน
“ศิษย์น้องเสี่ยวฉุน แบบนี้เจ้าพอใจหรือยัง?” ผู้นำเขารั่วรื่อรีบเอ่ยปาก พยายามทำตัวให้สนิทสนมมากขึ้นอีกนิด
ผ่านไปครู่ใหญ่ ค่ายกลของถ้ำเกิดรอยปริแยกหนึ่งรอย หัวของป๋ายเสี่ยวฉุนมุดลอดออกมา กวาดตามองไปรอบด้านอย่างรวดเร็วหนึ่งทีถึงได้ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เดินวางมาดเชิดหน้าออกมา ทำท่าทางของผู้สูงส่ง
“ช่างเถอะๆ ตัวข้าเป็นผู้อาวุโส ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับศิษย์หลานพวกนี้หรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างคนใจกว้าง
เป่ยหันเลี่ยที่อยู่เบื้องหน้าเขาดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง อยากจะเดินขึ้นไปต่อยหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนสักครั้งเต็มที แต่กลับไม่กล้าทำเช่นนั้น เป่ยหันเฟิงพี่ชายของเขาก็รู้สึกฟ้าดินหมุนติ้ว ความรู้สึกอัดอั้นเช่นนั้นทำให้เขาอยากจะบ้า
สายตาของคนทั้งสองทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีน้ำโห เขาถลึงตาดุๆ กลับไป ในใจแอบคิดว่าเวลาอย่างนี้ใครจะกลัวเจ้ากัน เรื่องแข่งทางสายตา ตลอดชีวิตนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยกลัวใครมาก่อน
“เสี่ยวฉุน ยาเม็ดนั้นของเจ้าที่สามารถทำให้สัตว์รบเกิด…เกิดอารมณ์กำหนัด เจ้าคิดค้นขึ้นมาเองหรือ?” ผู้นำเขารั่วรื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
พอเขาพูดเช่นนี้ หญิงชรารวมถึงผู้นำอีกสองเขาของชายฝั่งทิศเหนือล้วนหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาฉายแววคาดหวัง พี่น้องเป่ยหันรู้สึกถึงเพียงเสียงตูมที่ดังสนั่นอยู่ในสมอง เข้าใจเหตุผลได้ในที่สุด ทั้งสองคนขมขื่น ยิ่งโกรธเกลียดป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปใหญ่
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ในใจเข้าใจถึงสาเหตุได้ทันควัน ยืดอกตั้ง พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“ถูกต้อง ยายิ่งใหญ่เช่นนั้นก็คือสูตรลับเฉพาะของข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ใครก็หลอมออกมาไม่ได้ มีแต่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่หลอมได้!”
ในใจของผู้นำทั้งสี่ชายฝั่งทิศเหนือเบิกบานกันทันที แต่กลับไม่เผยออกมาทางสีหน้ามากเกินไป ชายวัยกลางคนของเขารั่วรื่อยิ้มน้อยๆ พยักหน้าเอ่ยปาก
“ศิษย์น้องเสี่ยวฉุนอายุน้อยแค่นี้ก็สร้างตำรับยาเฉพาะขึ้นมาเองได้แล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ตำรับยาของยานี้สำคัญต่อสำนักธาราเทพของเรามาก ข้าจะเอาคะแนนคุณความดีหนึ่งแสนคะแนนแลกกับตำรับยานี้ของเจ้า ตกลงไหม? ศิษย์น้องเสี่ยวฉุน หากเจ้าแลกตำรับยานี้กับสำนัก นั่นถือได้ว่าเจ้าสร้างสิริมงคลยิ่งใหญ่ให้กับสำนัก ตัวเจ้าเองก็เป็นศิษย์ผู้ทรงเกียรติ สำนักก็คือบ้านของเจ้านะ” ชายวัยกลางคนของเขารั่วรื่อชักจูงด้วยความจริงใจ
“ได้สิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบรับทันทีด้วยท่าทางที่ว่าข้ายอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อสำนัก แถมยังพูดตำรับยาออกมาตรงๆ ด้วย ผู้นำทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือตะลึงระคนดีใจกันขึ้นมาโดยพลัน
“ตำรับยาก็คือเมล็ดหมิงเจว๋ ดอกผูมู่ ไผ่เหมันต์วิเศษ แล้วก็…เอ๋ ยังมีอะไรอีกน้า คิดยังไงก็คิดไม่ออก หรือว่าเมื่อครู่ถูกคนทำให้ตกใจเลยลืมไปแล้ว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วอีกครั้ง ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก
มุมปากหลี่ชิงโหวเผยรอยยิ้ม เจิ้งหย่วนตงรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจเล็กน้อย ผู้นำทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือแต่ละคนต่างก็ทันคนกันทั้งนั้น จะดูไม่ออกได้อย่างไร ขณะที่พากันยิ้มเจื่อนนั้นเอง ผู้นำเขารั่วรื่อกัดฟัน มองไปทางลูกศิษย์เขารั่วรื่อที่อยู่เบื้องล่างด้วยความดุดัน
ลูกศิษย์เขารั่วรื่อทุกคนรวมถึงพี่น้องเป่ยหัน เมื่อถูกสายตาของเขากวาดผ่านก็ล้วนตัวสั่นเทิ้มกันหมด
———