บทที่ 1015 เต่านิรันดร์กาล
“เนื่องจากการผสานรวมของพวกเจ้าอยู่ในระดับที่แน่นอน…ต่อให้พลังชีวิตในร่างของเจ้าตอนนี้แทบไม่มีเหลือ แต่ก็ยังมีปราณของบทอมตะอยู่ดี!”
ในดวงตาทั้งคู่ที่ขุ่นมัวของคนเฝ้าสานมีประกายแสงคมกริบวาบผ่านคล้ายมองทะลุร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปเห็นว่าในเลือดเนื้อที่แห้งเหี่ยวของเขา มี…ปราณของบทอมตะอยู่เสี้ยวหนึ่ง…
“นี่…ก็คือเมล็ดพันธ์! และสิ่งที่ข้าผู้อาวุโสต้องทำก็คือกระตุ้นให้เมล็ดพันธ์นี้แตกหน่อ เติบโตจนสูงเทียมฟ้า!” คนเฝ้าสุสานกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ความขุ่นมัวในดวงตาของเขาหายไปไม่มีเหลือ บัดนี้บนร่างของเขาได้ระเบิดพลังอำนาจสะเทือนฟ้าดินออกมา!
“ทุกอย่างที่ข้าผู้อาวุโสทำลงไป ไม่ผิดต่อฟ้าดิน ไม่ผิดต่อสรรพชีวิตบนโลก ไม่ผิดต่อตัวข้าผู้เป็น…จักรพรรดิขุยรุ่นที่หนึ่ง!”
“และยิ่งไม่ผิดต่อนิรันดร์กาล…คนเดียวที่ข้าทำผิดด้วย ก็คือเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุน…ดังนั้นจงให้ข้าได้มอบโชควาสนาค้ำฟ้าที่นับแต่นี้ไปจะทำให้เจ้าเดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียวเถิด!”
“ทั้งหมดทั้งมวลนี้ รอให้เจ้าได้ออกไปจากโลกใบนี้เมื่อไหร่ เจ้าก็จะมีคำตอบเอง!”
คนเฝ้าสุสานยิ้ม รอยยิ้มนั้นมีความคาดหวัง ทั้งยิ่งมากด้วยความยึดมั่นอย่างน่าตกใจ!
ปราณของเขายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในร่างพลันระเบิดพลังชีวิตเข้มข้นที่อยู่เหนือทุกจินตนาการ ราวกับว่านี่คือความสดใสสุดท้ายก่อนตายของเขา เขาต้องการเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างในร่างกายแล้วระเบิดมันออกมาทั้งหมด
เมื่อปราณของคนเฝ้าสุสานผงาดขึ้น ซากปรักหักพังของสามนครใต้ดินก็มีลมพายุก่อตัวแล้วพัดหอบเอาสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่อยู่รอบด้านให้พังทลาย แผ่นดินแปดทิศกลายมาเป็นความว่างเปล่าท่ามกลางเสียงอึกทึก
อีกทั้งโลกของสามนครใต้ล่างนี้ยังเกิดลางว่าจะปริแตก ไม่เพียงแต่นครทั้งสาม แม้แต่สมบัติล้ำค่าของราชวงศ์จักรพรรดิขุยชิ้นนี้ก็ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงถึงที่สุด
“พลังของข้าผู้อาวุโสไม่มากพอให้ประคับประคองอีกต่อไปแล้ว และแม้ว่าข้าจะมิอาจสั่นคลอนสมบัติล้ำค่าที่ตัวข้าทิ้งเอาไว้ชิ้นนี้ได้ แต่หากจะให้ดึงพลังอาคมที่เกิดจากการสั่งสมมายาวนานหลายปีของมันออกมา ข้ากลับยังพอทำได้!”
เมื่อคนเฝ้าสุสานเอ่ยประโยคนี้ มือขวาของเขาก็ยกขึ้นชี้ไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่ชีวิตถูกปิดผนึก
วินาทีที่พลังชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อคนเฝ้าสุสานชี้มา ฟ้าดินพลันสะเทือนเลือนลั่น นครจักรพรรดิขุยสั่นไหวดุเดือด ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเทิ้มขึ้นมาเช่นกัน
ต่อให้ตอนนี้หัวใจของเขาจะตายไปแล้ว ทว่าบัดนี้มันกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหัวใจเต้น ถุงเก็บของของเขาก็เปิดออกด้วยตัวเอง โครงกระดูกที่ผสานรวมเข้าด้วยกันซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเอามาจากเรือรบของมารดาแห่งผีในปีนั้นพลันบินออกมา!
เมื่อโครงกระดูกสีทองและโครงกระดูกผลึกใสบินออกมาก็ทำให้ความว่างเปล่ารอบด้านทอประกายแสงสีทองและสีผลึกใสทันที วินาทีที่พวกมันเผยกาย คนเฝ้าสุสานที่หายใจถี่กระชั้นก็หันไปมองถุงเก็บของของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วคำรามกร้าว
“เต่านิรันดร์กาลรุ่นปัจจุบันที่เป็นของวิเศษคู่กายมารดาแห่งนิรันดร์กาล ยังไม่เผยตัวอีกรึ!”
เสียงของคนเฝ้าสุสานดังเกินฟ้าผ่าที่ระเบิดเปรี้ยงกังวานไปทั่วฟ้าดิน ครั้นเจ้าเต่าน้อยก็บินออกมาจากในถุงเก็บของของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไม่เต็มใจสุดๆ
“สมควรตายนัก เจ้าแก่ผู้นี้ ก่อนหน้านี้นายท่านอย่างข้าก็รู้สึกได้แล้วว่าท่าไม่ดี ช่วงที่ผ่านมาเลยไปจำศีลซ่อนตัว แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า…เจ้าจะยังจำข้าได้อีก!”
เจ้าเต่าน้อยหันมาคำรามใส่คนเฝ้าสุสานอย่างหงุดหงิด ตอนที่เบนหน้าไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของมันฉายแววละอายใจ
ไม่ได้ถือสาว่าเจ้าเต่าน้อยจะพูดอะไร มือขวาของคนเฝ้าสุสานพลันยกขึ้นแล้วคว้าจับผ่านอากาศ เจ้าเต่าน้อยร้องโหวกเหวก หมายจะเบี่ยงหลบ แต่ประกายแสงในดวงตาของคนเฝ้าสุสานกลับเปล่งวาบ คำรามเดือดดาล
“ไม่มีริมฝีปาก ฟันย่อมต้องหนาว เต่านิรันดร์กาล อย่าบอกข้านะว่าจนป่านนี้เจ้าก็ยังตระหนักไม่ได้ ยังไม่มานี่อีก!”
ร่างของเจ้าเต่าน้อยสั่นสะท้าน นัยน์ตาฉายแววดิ้นรน แต่ไม่นานมันก็ถอนหายใจยาวเหยียดคล้ายยอมรับชะตากรรม ไม่จำเป็นต้องให้คนเฝ้าสุสานมาจับ มันกลับตะเบ็งเสียงถามแทน
“ก็ได้ๆ เจ้าต้องการอะไร!”
“เลือดของเจ้า!” ดวงตาของคนเฝ้าสุสานคมกริบน่ากลัว เจ้าเต่าน้อยกัดฟันกรอด ก่อนจะยืดคอตัวเองออกมายาวเหยียด ครั้นจึงหันหัวกลับไปกัดลำคอของตัวเองดังกร้วมอย่างแรง
คำเดียวหัวของมันก็ขาดกระเด็น เลือดสดจำนวนมากสาดพุ่งพลั่กๆ ออกมาจากบาดแผล เมื่อเลือดสดพวกนี้ไหลออกมา ประกายแสงบนร่างของมันก็พลันหม่นมัวอย่างถึงที่สุด จนกระทั่งเหมือนจะถึงขีดจำกัดของมันแล้ว หัวของเจ้าเต่าน้อยจึงขยับเข้าไปเชื่อมกับลำคอของตัวเองอีกครั้ง พริบตาเดียวหัวกับคอก็ประสาน ไม่เหลือบาดแผลแม้แต่เสี้ยวเดียว
“ตาแก่ สิ่งที่เจ้าต้องการข้าให้เจ้าหมดแล้ว!” เจ้าเต่าน้อยที่อ่อนแรงเต็มทีรีบกลายร่างเป็นแสงสีขาวเส้นหนึ่งบินพรวดกลับเข้าไปในถุงเก็บของของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่สนใจคนเฝ้าสุสานอีก แต่แปบเดียวมันก็โผล่หัวออกมาอีกครั้ง
“ข้าจะบอกให้นะตาแก่ เท่าที่ข้ารู้จักเจ้าเด็กป๋ายนี่มา เขาไม่เคยเกลียดใครมาก่อน แต่หากเกลียดขึ้นมาก็ไม่มีทางหายไปตลอดกาล…”
คนเฝ้าสุสานมองเจ้าเต่าน้อยด้วยสายตาเย็นชาครู่หนึ่ง พอถอนสายตากลับมาก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเลือดสดของเจ้าเต่าน้อยก็มารวมตัวกันแล้วกลายมาเป็นลูกเลือดขนาดมหึมาลูกหนึ่งที่ตรงเข้าหาโครงกระดูกทั้งสอง พริบตาเดียวก็ละลายหายเข้าไป ทำให้โครงกระดูกทั้งสองยิ่งส่องแสงสีทองและสีใสเจิดจ้ามากกว่าเก่า
ปราณของบทมิวางวายและบทอมตะที่เข้มข้นก็ระเบิดออกอย่างไม่หยุดยั้ง!
โครงกระดูกทั้งสองนี้มีที่มาไม่ธรรมดา ปีนั้นตอนที่มารดาแห่งผีเยื้องกรายลงมาในโลกใบนี้แล้วถูกกักตัวอยู่ในเขตพื้นที่ต้องห้ามแห่งชีวิต คนเฝ้าสุสานก็เคยมีข้อตกลงร่วมกับนางมาก่อน
ข้อตกลงนั้นก็คือในอนาคตวันใดวันหนึ่ง เขาจะช่วยให้มารดาแห่งผีออกไปจากโลกใบนี้!
ภายใต้ข้อตกลงนี้ มารดาแห่งผีจึงยินยอมให้คนเฝ้าสุสานเอาโครงกระดูกทั้งสองมาวางไว้ที่ชั้นสองของเรือผี ปล่อยให้พวกมันดูดซับเอาปราณนอกโลกที่มีอยู่ในเรือผีไป
เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยปราณนอกโลก ปราณของโครงกระดูกทั้งสองจึงยิ่งแข็งแกร่งเหมือนถูกชุบหลอม ขณะเดียวกันตามข้อตกลงที่มีร่วมกับคนเฝ้าสุสาน มารดาแห่งผีเองก็ได้ลงมือด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง โดยการอาศัยตบะของนางที่เคยเป็นขอบเขตเทียนจุนมาหล่อหลอมให้โครงกระดูกทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!
และภายใต้การชุบหลอมอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลานานหลายปี แม้มองจากภายนอกโครงกระดูกทั้งสองจะเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรนัก ทว่าในความเป็นจริง การผสานรวมนี้ได้ทำให้พวกมันเกือบจะกลายมาเป็น…โอสถล้ำโลกเม็ดใหญ่เม็ดหนึ่งแล้ว!
และที่คนเฝ้าสุสานทำเช่นนี้ก็เพราะเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากแผนการของเทียนจุน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเทียนจุนแล้ว คนเฝ้าสุสานได้ทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขยาอมตะมิวางวายนี้บางจุด
ขณะเดียวกันการเลือกโครงกระดูกของเขาก็ได้เปรียบมากกว่าเทียนจุน เพราะเท่าที่เขาจำได้ อีกทั้งเทียนจุนเองก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน โครงกระดูกสองโครงนี้คือโครงกระดูกที่มีต้นกำเนิดเดียวกันกับโครงกระดูกของจักรพรรดิขุยแต่ละรุ่น!
เพียงแต่ว่ากระดูกอมตะที่แม้จะมีปราณแห่งอมตะเข้มข้น แต่กระนั้นในความเป็นจริงแล้วมันกลับเป็นปราณที่ไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นคนเฝ้าสุสานจึงจำเป็นต้องใช้พลังจากนอกโลกของเรือกระดูก บวกกับตบะของมารดาแห่งผีมาชุบหลอมพวกมันไปพร้อมๆ กัน
ยามนี้เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่เลือดสดของเจ้าเต่าน้อยหลอมละลายเข้าไปในโครงกระดูกทั้งสองแล้ว มือทั้งคู่ของคนเฝ้าสุสานก็ทำมุทรา ดวงตาของเขาที่มองไปยังโครงกระดูกทั้งสองโชนแสงคมกล้า ครั้นจึงกดมือลงไปอย่างแรง!
“ผสาน!!”
เมื่อเสียงคำรามกร้าวของเขาดังขึ้นมา เลือดสดของเจ้าเต่าน้อยก็พลันลุกไหม้แล้วผสานรวมเข้าไปในโครงกระดูกทั้งสองอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากที่กลั่นกรองเอากากที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าโครงกระดูกทั้งสองเริ่มละลายกลายเป็นฝุ่นผง…
และสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงพลังชีวิตมากไพศาลของบทอมตะมิวางวาย!
พลังชีวิตขุมนี้กลายมาเป็นควันเส้นสีทองและสีผลึกใสที่ผสานรวมกันอยู่ในเลือดสดอย่างต่อเนื่องไม่ต่างจากลักษณะของการหลอมยา เมื่อการเผาไหม้ของเลือดสดเริ่มลดน้อยลง ควันเส้นสีทองและสีผลึกใสก็ได้รัดพันเป็นหนึ่งเดียวกัน …จนกระทั่งเลือดสดหายไปอย่างสมบูรณ์แบบ มันก็กลายมาเป็น…ยาเม็ดหนึ่งที่เหมือนเป็นเพียงภาพมายา มิอาจจับต้องได้จริง!
ยาเม็ดนั้นมองปราดๆ เป็นสีทอง แต่หากเพ่งมองอย่างละเอียดกลับเป็นเหมือนผลึกใสที่มองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง วินาทีที่มันเผยกาย ปราณที่แผ่ออกมาจากด้านในก็ทั้งคล้ายมิวางวาย และคล้ายอมตะ!
ยาเม็ดนี้…ก็คือยาอมตะมิวางวายที่เทียนจุนปรารถนาจะได้ครอบครอง!
เพียงแต่ว่ามันไม่เคยเป็นรูปเป็นร่างได้สำเร็จในมือของเทียนจุน ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้แผนการและการเตรียมการต่างๆ นานาของคนเฝ้าสุสาน เขากลับหล่อหลอมมันได้สำเร็จก่อนเทียนจุน
มองยาเม็ดนั้น คนเฝ้าสุสานก็หัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาแหบเครือ ฟังดูแล้วเหมือนแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของกาลเวลาอันยาวนาน ทั้งยังมีความหมายของการบอกลาโลกใบนี้ซ่อนอยู่ ก่อนที่เขาจะยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง พัดให้โอสถล้ำโลกเม็ดใหญ่…ตรงดิ่งเข้าไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
ไม่ยอมให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปฏิเสธ พริบตาเดียวโอสถใหญ่ล้ำโลกเม็ดนี้ก็พุ่งไปปะทะกลางหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วหลอมละลายเข้าไปในร่างของเขาทันตาเห็น ครั้นจึงกลายมาเป็นเสียงกัมปนาทสะเทือนฟ้าที่ระเบิดออกมาในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน!
ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง พลังชีวิตขุมหนึ่งอันเป็นต้นกำเนิดเดียวกันที่มาจากวิชาอมตะมิวางวายซึ่งมากจนเกินบรรยายได้ระเบิดพวยพุ่งอยู่ในร่างของเขา!
พลังชีวิตนี้แกร่งกร้าวดุดัน มันตรงเข้าพังทลายผนึกน้ำแข็งที่ผนึกร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ทำให้เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้น หอบหายใจฮักๆ มองคนเฝ้าสุสานด้วยสายตาคมกริบ
“ทำไม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าจะเกลียดข้าผู้อาวุโสก็ได้ แต่หลังจากที่เจ้าไปจากโลกใบนี้ เจ้าจะรู้ว่าเพราะอะไร…ในใจของข้าผู้อาวุโสถึงได้เห็นภารกิจนี้ยิ่งใหญ่เหนือเกินกว่าทุกสิ่ง!”
คนเฝ้าสุสานเอ่ยเนิบช้า เขาเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วยกมือขวาขึ้นกดลงบนกระหม่อมของอีกฝ่าย
ตบะในร่างระเบิดออกทุกด้าน พลังชีวิตที่ยังหลงเหลือ พลังแฝงทั้งหมดล้วนไหลบ่าทะลักทลาย เมื่อนครจักรพรรดิขุยสั่นสะเทือนรุนแรง เขาก็พลัน…สละเรือนกายตัวเอง สละทิ้งทุกสิ่งที่มี แล้วมอบทั้งหมด…ให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน!
ช่วยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟื้นตัว ขณะเดียวกันก็ใช้พลังชีวิตทั้งหมดมากระตุ้นเมล็ดพันธ์ของบทอมตะให้เจริญเติบโตไปอย่างบ้าคลั่ง!