Skip to content

A Will Eternal 1055

บทที่ 1055 เปิดตัวอย่างงดงาม

ราชาผียักษ์ไม่ได้ชื่อว่าผียักษ์

แต่เห็นได้ชัดว่าในสายตาของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง พวกเขาไม่คิดจะเอ่ยคําว่าราชาออกมา แล้วก็ยิ่งไม่ให้การยอมรับ อีกทั้งชื่อจริงของราชาผียักษ์ที่ต่อให้เป็นคนในแดนทุรกันดารก็มีคนที่รู้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น เรื่องนี้ราชาผียักษ์มีการเตรียมใจมาก่อนแล้ว ทว่าก็ยังอดพึมพําในใจไม่ได้

“ข้าผู้อาวุโสแซ่โจว!”

เมื่อพระราชโองการของจักรพรรดิเซิ่งถูกป่าวประกาศ กู่เทียนจวินจึงหยุดชะงักฝีเท้า ยืนอยู่กลางอากาศ เมื่อหันกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน เขาที่ปิดปากเงียบมาตลอดทางก็พลันเอ่ยเสียงเนิบนาบ

“สหายนักพรตป๋าย เรือรบเอาเข้าไปข้างในไม่ได้ …เชิญ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองนครจักรพรรดิเซิ่ง แล้วก็เงยหน้ามองวังหลวงที่ตั้งอยู่บนดอกบัวขนาดมหึมา สัมผัสได้ว่าตอนนี้มีอํานาจจิตของคนหลายพันคนกวาดมาประเมินตนจากในนั้น

สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเองอีกเล็กน้อย จากนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที เก็บเอากงซุนหว่านเอ๋อร์มาไว้ในถุงเก็บของ ครั้นจึงเดินออกไปหนึ่งก้าว มีราชาผียักษ์ติดตามมาด้านหลัง คนทั้งสองตรงดิ่งสู่พระราชวังปทุมมา

กู่เทียนจวินหัวเราะหยันอยู่ในใจ เดินไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะชายตามามอง ไม่นานคนทั้งสามก็มาปรากฏตัวอยู่นอกวังหลวงของนครจักรพรรดิเซิ่ง เพิ่งจะขยับเข้ามาใกล้ พลานุภาพสยบขุมหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากตัววังหลวง กลายมาเป็นแรงโจมตีที่สกัดกันป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์ได้ทันที

แรงโจมตีนี้ไม่มีพลังแห่งการทําลายล้าง ทว่าปราณอันน่าหวาดกลัวที่แผ่ออกมาจากด้านใน คล้ายจะสามารถบดขยายป๋ายเสี่ยวฉุนได้ในชั่วพริบตา

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณวัตถุ คล้ายกับของบุรพาจารย์หันเหมินจากในปราณนี้ได้ทันที

“สมบัติแห่งโลก” ป๋ายเสี่ยวฉุนซะงักฝีเท้า ปราณนั้นโชยมาปะทะใบหน้า พร้อมกับอํานาจจิตที่เปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามกวาดผ่านมา คล้ายต้องการยืนยันตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนกับราชาผียักษ์ ก่อนที่อํานาจจิตนั้นจะจางหายไป พลังขัดขวางก็หายตามไปด้วย

ลําพังแค่ถูกสกัดเอาไว้เพียงชั่วพริบตาก็ทําเอาเหงื่อไหลรินไปตามไขสันหลังของราชาผียักษ์ ภายใต้พลานุภาพสยบเช่นนี้ ลมหายใจของเขาเปลี่ยนมาเป็นหอบหนัก และพอคนทั้งสองก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ของวังหลวง สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็คือแท่นบันได ที่ใหญ่โตราวกับสันเขา!

ขั้นบันไดนี้มีเกือบหมื่นขั้น ด้านบนสุดของมันก็คือที่ตั้งของตําหนักหลักแห่งวังหลวงอันยิ่งใหญ่โอ่อ่า!

สามารถมองเห็นได้ว่าตรงนั้นมีคนไม่น้อยกําลังยืนอยู่สองข้างฝั่งหันหลังให้คนทั้งสอง และเบื้องหน้าของพวกเขา จุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไม่เห็นก็มีปราณเกรียงไกรขุมหนึ่งซึ่งเหนือกว่าทวยเทพ คล้ายเป็นนายของปวงประชาแผ่กําจายออกมา!

“จักรพรรดิเซิ่ง…ไม่สิ จักรพรรดิหอยกาบ!” ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มถี่กระชั้น หัวใจบีบรัดตั้งเขม็ง หลังจากพึมพําอยู่ในใจตัวเองสองสามครั้ง ความตื่นเต้นก็จางหายลงไปไม่น้อย เขาถึงได้สงบจิตสงบใจก้าวเดินขึ้นไปบนขั้นบันได

หน้าผากของราชาผียักษ์เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเขาไม่มีตบะอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็ไม่มีวิธี บรรเทาความกดดันเฉกเช่นป๋ายเสี่ยวฉุน แต่จะอย่างไรซะเขาก็คือราชาผียักษ์ ผู้ที่เคยเป็นหนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ของแดนทุรกันดาร

แม้ว่าการบีบคั้นด้านตบะจะทําให้เหงื่อแตกพลั่ก ทว่าพอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายที เขาก็สามารถปรับสภาพจิตใจของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

ครั้นจึงก้าวเดินขึ้นไปบนบันไดพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน ยิ่งเดินไปข้างหน้า ตําหนักหลักของวังหลวงก็ยิ่งเผยเด่นชัด เงาร่างของนักพรตสองข้างทางที่ยืนหันหลังให้พวกเขาก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

จนกระทั่งคนทั้งสองเหยียบลงบนบันไดขั้นสุดท้าย และมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตําหนักอย่างแท้จริง พวกเขาถึงมองเห็นว่าเหนือบันไดขั้นนี้มีลานกว้างขนาดมหึมา ซึ่งสุดปลายทางของลานกว้างมีเสาใหญ่ยักษ์เก้าต้น เสาทุกต้นล้วนสลักภาพหงส์ ภาพมังกรที่มีชีวิตชีวาเหมือนมีตัวตนอยู่จริง

และใจกลางของเสาทั้งเก้าต้นนี้ก็วางกระถางสีเขียวขนาดมโหฬารอยู่ใบหนึ่ง! มีควันสีเขียวลอยกรุ่นจากในเตา ผสานเข้าไปในชั้นเมฆเป็นระลอก…

คนที่ยืนอยู่สองฝั่งของลานกว้างมีหลายพันคน พวกเขายืนนิ่งไม่ขยับ หันหน้าไปมองยังตําหนักใหญ่โอฬาร ที่อยู่สุดปลายของลานกว้างอย่างนอบน้อม!

หน้าประตูของตําหนักใหญ่มีผู้เฒ่าผมขาวสองคนที่หลังค่อมๆ น้อยยืนอยู่ มือทั้งสองข้างของคนทั้งคู่ประสานเก็บซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ กําลังก้มหน้าหันไปหาตําหนักด้วยท่าทางพินอบพิเทา และด้านในตําหนักใหญ่อันเป็นจุดรวมสายตาของคนทุกคนก็มีคนอยู่แค่…คนเดียว!

ไม่ได้สวมชุดจักรพรรดิ แต่สวมเสื้อสีเขียวเข้าชุด คล้ายถูกเลือกมาตามแต่ใจ เขานั่งอยู่บน เก้าอี้ใหญ่กลางตําหนัก กําลังก้มหน้าก้มตาอ่านคัมภีร์โบราณม้วนหนึ่งที่อยู่ในมือ คนผู้นี้น่าจะเป็นวัยกลางคน หน้าตาที่หล่อเหลาแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน ราวกับว่าหากคลี่ยิ้ม ย่อมต้องปานประหนึ่งลมวสันตฤดูที่พัดโชยมา ทําให้คนมัวเมาอยู่ในความสนิทสนมชิดเชื้อ ยอมทุ่มเทหมดตัวหมดใจเพื่อเขา

รอบด้านเงียบสงัด ราวกับว่าหากเขาไม่เปิดปาก ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าพูด ท่ามกลางความเงียบงันนี้ แม้แต่กู่เทียนจวินก็ยังคารวะเพียงหนึ่งครั้งแล้วมายืนก้มหน้า ก้มตา ไม่เอ่ยอะไรอยู่ตรงตําแหน่งหน้าสุดของกลุ่มคนฝั่งขวา

ตลอดทั้งตําหนักใหญ่นิ่งสงบมีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนและราชาผียักษ์ที่ยืนอยู่ตรงกลาง ทว่ากลับไม่มีใครสนใจจะมองพวกเขา ทุกคนต่างก็กําลังรอให้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเขียว เงยหน้าขึ้นมา

“ท่าเยอะจริงๆ!” ท่ามกลางความเงียบงันและความกดดันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวใจเต้นกระหน่ำ แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองจะขี้ขลาดไม่ได้ จึงพยายามปลอบใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในหัวใจ เพราะว่าท่วงท่าของจักรพรรดิเซิ่งผู้นี้ ทําให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่าย งามสง่าน่าจับตามองมากเกินไป ยังดีที่จักรพรรดิเซิ่งไม่ได้ให้ทุกคนรอนาน คล้ายสัมผัสได้ถึงการมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาของเขาจึงย้ายออกจากคัมภีร์โบราณที่อยู่ในมือ ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งยืนอยู่บนลานกว้าง ใบหน้าของเขาก็ยกยิ้ม

พอรอยยิ้มนี้ปรากฏก็ราวกับร้อยบุปผาเบ่งบาน ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยชื่นฉ่ำ ตลอดทั้งวังหลวงพลันสว่างไสว แม้แต่เกลียวเมฆที่อยู่รอบด้านก็คล้ายจะเริงระบําอย่างลิงโลดมีชีวิตชีวา ขนาดดอกบัวก็เหมือนจะบานสะพรั่งกว่าเก่า ท่ามกลางกลิ่นหอมที่โชยมา ปลามังกรในบ่อสวรรค์ก็ยิ่งพากันแหวกว่ายเบิกบาน

“สหายนักพรตป๋าย ข้าผู้เป็นจักรพรรดิได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานมากแล้ว”

เสียงของ จักรพรรดิเซิ่งที่ดังก้องท่ามกลางรอยยิ้มงดงามนั้นฟังดูแล้วอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด เป็นเสียงที่ทําให้คนฟังรู้สึกสนิทใจ ขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็ยิ่งเผยความจริงใจที่ใครก็มิอาจกังขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลั้นหายใจ ในสมองมีภาพเหตุการณ์ตอนที่พบเจอกับจักรพรรดิขุยในแดน ทุรกันดารลอยขึ้นมา จากนั้นจึงรีบก้าวขึ้นหน้าไปสองสามก้าว แล้วคารวะโค้งตัวลงต่ำให้แก่จักรพรรดิเซิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัด

“นักพรตแห่งโลกทงเทียน ป๋ายเสี่ยวฉุน คารวะจักรพรรดิเซิ่ง!”

“ขอบพระคุณในพระกรุณาธิคุณของจักรพรรดิเซิ่ง ที่ทําให้คนของโลกทงเทียนข้าได้อยู่อาศัยบนแผ่นดินของจักรพรรดิเซิ่งได้อย่างปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ได้ปรับตัวเข้ากับฟ้าดินของโลกนิรันดร์กาล”

“ข้าผู้แซ่ป๋ายไม่รู้จะตอบแทนด้วยสิ่งใดจึงถือโอกาสไปเยือนราชวงศ์จักรพรรดิแส พร้อมกับสหายนักพรตผียักษ์มารอบหนึ่ง เดิมทีคิดจะจับตัวจักรพรรดิแสมาส่งมอบให้แก่จักรพรรดิเซิ่ง แต่น่าเสียดายที่ข้าผู้แซ่ป๋ายไม่คุ้นเคยกับดินแดนเซียนนิรันดร์กาล จึงไม่สามารถช่วงชิงโอกาสมาได้ สุดท้ายจึงได้แต่จับเอาเทียนจุนคนหนึ่งมา แม้ว่าของขวัญชิ้นนี้จะเล็กน้อยไปบ้าง แต่ก็มาจากความตั้งใจที่แท้จริง ขอจักรพรรดิเซิ่งโปรดอย่ารังเกียจ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย ราวกับว่าสะท้อนใจไปกับความโชคดีของจักรพรรดิแสอย่างยิ่ง

จบประโยคของป๋ายเสี่ยวฉุน จักรพรรดิเซิ่งที่เดิมที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าก็ถึงกับยิ้มค้าง เห็นได้ชัดว่าต่อให้เขาจะเป็นถึงจักรพรรดิผู้สูงส่ง ทว่าพอเจอเข้ากับคําพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน ก็ยังอึ้งงันไปไม่ถูกเหมือนกัน

ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องพูดถึงเหล่าชนชั้นสูงหลายพันคน ที่ยืนอยู่บนสองฝากฝั่งของลานกว้างเลย คนเหล่านี้ต่างก็พากันเหลือบมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอดไม่ได้ สีหน้าที่แปลกประหลาดนั้นมากด้วยความดูแคลน ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่เผยแววระแวดระวังอย่างหนัก

นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยเจอใครที่ไร้ยางอายมาก่อน เพราะในฐานะที่เป็นคนของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง เดิมทีการวางมาดภูมิฐานก็เป็นสัญชาตญาณการเข้าสังคมอย่างหนึ่ง คนอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนที่คุยโวต่อหน้าจักรพรรดิเซิ่งได้หน้าตาเฉย ซ้ำยังกล้าคุยโม้จนฟ้าแทบทะลุ…ความสามารถเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อนเลยจริงๆ

“เขาจะไปจับจักรพรรดิแส?!”

“เพราะว่าไม่ชินทางเลยหาจักรพรรดิแสไม่เจอ?”

“หน้าด้านเกินไปแล้ว แค่คุยโวก็ไม่เท่าไหร่ แต่คุยอย่างไม่มีขอบเขตเช่นนี้ ถือว่าเขาทําไม่ถูก!”

ราชาผียักษ์กะพริบตาปริบๆ เขาที่เดิมทียังตื่นเต้น

พอได้ยินประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว หันไปเห็นสีหน้าเสียดายของอีกฝ่าย เขาก็เลิกตื่นเต้นทันที บนใบหน้าเผยความผ่อนคลายได้อย่างน่าแปลกใจ จากนั้นพอหันไปมองทุกคนที่อยู่รอบด้าน ราชาผียักษ์ก็พลันรู้สึกเหมือนตัวเองตาฝาดราวกับว่าที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินหย่งเหิง แต่เป็นนครจักรพรรดิขุยของแดนทุรกันดาร…

“ดูท่า….หลังจากนี้ไม่นาน คนทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลคงรู้ถึงความหน้าด้านและความสามารถในการสร้างความวอดวายของไอ้หมอนี่แล้วกระมัง…”

มองสีหน้าของผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบด้าน แล้ว ก็เห็นรอยยิ้มที่แข็งทื่อของจักรพรรดิเซิ่ง ลึกๆ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเกิดความลําพอง ตามความคิดของเขา บรรยากาศก่อนหน้านี้เขาเป็นฝ่ายถูกกระทํามากเกินไป มีเพียงทําให้ตัวเองกลายมาเป็นฝ่ายกระทําได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ในมือถึงจะมีเบี้ยที่ใหญ่กว่าเดิมสําหรับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้

ขณะที่กําลังใคร่ครวญว่าอันดับต่อไปเขาควรจะพูดเช่นไร จู่ๆ ท่ามกลางกลุ่มนักพรตนับพัน คนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือของเขากลับมีเสียงแหลมดังที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยดังขึ้นมา

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ที่นี่คือวังหลวงแห่งราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง อย่าได้หวังว่าจะพูดจาเหลวไหล!”

พอประโยคนี้ดังจบก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนแล้วหันมาคารวะให้แก่จักรพรรดิเซิ่ง

“ฝ่าบาทพะยะค่ะ จากคําพูดก่อนหน้านี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน กระหม่อมสามารถร่ายโทษมหันต์ได้สามร้อยข้อ ทว่าโทษที่ร้ายแรงที่สุดก็คือเขาหลอกลวงเบื้องสูง โปรดลงโทษป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้หนักๆ ด้วยโทษฐานที่โกหกองค์จักรพรรดิ!”

“หลิวหย่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ตอนที่หันไปมองแล้วจําคนผู้นี้ได้ ลูกตาของเขาก็เบิกกว้าง สถานที่แห่งนี้มีคนอยู่มากมาย ก่อนหน้านั้นเขาไม่ทันมองอย่างละเอียด ตอนนี้พอเห็นพระยาสวรรค์หลิวที่เคยตั้งข้อหาหนึ่งร้อยข้อให้แก่ตนตอนอยู่แดนทุรกันดาร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงค้างไปทันที!

พระยาสวรรค์หลิวไม่แม้แต่จะปรายตามอง ป๋ายเสี่ยวฉุนยามนี้ในใจกําลังฮึกเหิมและลําพอง เขาโชคดีเพราะสถานที่ที่ถูกนําส่งมาก็คือในนครจักรพรรดิเซิ่งแห่งนี้ สามารถพูดได้ว่าเขาคือคนแรกที่สวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง อีกทั้งยังเล่าเรื่องทั้งหมดที่ตนรู้ให้จักรพรรดิเซิ่งฟังอย่างไม่มีหมกเม็ด เพื่อแลกเปลี่ยนมาด้วยตําแหน่งขุนนาง

ต่อให้ตําแหน่งนี้จะไม่ใหญ่นัก ทว่าเขาก็พอใจ ตอนนี้พอได้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ครานั้นบีบให้ตนจําต้องไปเฝ้าด้านหน้ากําแพงเมือง แถมภายหลังต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญผวากลัวว่า จะถูกอีกฝ่ายแก้แค้น แน่นอนว่าเขาย่อมต้องรีบปรี่ออกมาจ้วงมีดแทงอีกฝ่ายแรงๆ เพื่อทําตามความปรารถนาในปีนั้นที่ไม่สําเร็จให้กลายเป็นจริง

“ลูกผู้ชาย แก้แค้นพันปีก็ยังไม่สาย ป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนอยู่แดนทุรกันดารข้าเล่นงานเจ้าไม่ได้ มาอยู่ที่นี่ ข้าจะต้องทําให้เจ้าได้เห็นดีกัน ข้าจะต้องกล่าวโทษเจ้าให้ถึงพันข้อให้ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!