Skip to content

A Will Eternal 1097

บทที่ 1097 ป๋ายเสี่ยวฉุน ต้องเป็นฝีมือเจ้าแน่นอน

ยังดีที่อาการสติหลุดของเทียนจุนจักษุไพศาลเกิดขึ้นเพียงแค่ครู่เดียวเขาก็กลับคืนมาเป็นปกติ เมื่อเขาลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาแดงก่ำ กวาดตามองผ่านร่างทุกคนที่อยู่รอบกายตัวเอง

หยวนเยาจื่อและซื่อหลิงซ่างเหรินก็เป็นเช่นนี้ สายตาที่แฝงเร้นไว้ด้วยความบ้าคลั่งและความเคียดแค้นไร้ที่สิ้นสุดของพวกเขาก็คล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง และพอหาพบ ต่อให้ต้องตายกันเป็นข้างหนึ่งพวกเขาก็ต้องระเบิดความเดือดดาลคลั่งแค้นสุดชีวิตออกมาให้ได้

ผ่านความทรมานมาตลอดสองเดือน ในความเจ็บปวดที่พวกเขาแทบจะอยากให้ตัวเองตายๆ ไปนับครั้งไม่ถ้วนทำให้พวกเขามองเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่งแล้ว พวกเขามั่นใจว่าที่พวกตนสามคนเจอจุดจบเช่นนี้ต้องเป็นเพราะมีคนจงใจเล่นงานพวกเขาแน่นอน

ไม่ว่าคนผู้นี้จะใช้วิธีการอะไร แต่ความจริงก็เกิดขึ้นแล้ว ข้อนี้ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมาพวกเขาสามคนมั่นใจอย่างถึงที่สุด

หลังจากที่ความตกตะลึงของคนรอบด้านผ่านพ้นไป ทุกคนก็มองออกถึงความผิดปกติของพวกเทียนจุนจักษุไพศาลสามคน แต่ละคนพากันขบคิดใคร่ครวญ ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนตัวขึ้นมาทันที ครุ่นคิดว่าสามคนนี้รอดชีวิตกลับออกมาได้ ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก

“จะปล่อยให้พวกเขารู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเป็นฝีมือข้า หาไม่แล้ว พวกเขาคงคลั่งกันแน่ๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รีบแสร้งทำท่าครุ่นคิดเหมือนทุกคนที่อยู่รอบด้าน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ต้องเป็นฝีมือเจ้าแน่นอน!” ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเสแสร้งอยู่นั้น เทียนจุนจักษุไพศาลกลับคำรามดังลั่น ดวงตาแดงฉานจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ ทว่ากลับขมวดคิ้วมุ่น จ้องเทียนจุนจักษุไพศาลด้วยสายตาเย็นชา

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนช้าๆ ดวงตาฉายความสงสัยออกมาได้อย่างพอเหมาะพอดี ลมหายใจของเทียนจุนจักษุไพศาลถี่กระชั้น กำลังจะเดินออกไป แต่กลับถูกหยวนเยาจื่อที่อยู่ข้างกายคว้าเอาไว้ได้ทัน

สายตาของหยวนเยาจื่อก็จ้องนิ่งอยู่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพักใหญ่ จากนั้นก็หันไปมองทุกคนที่อยู่รอบกาย

“ทุกท่าน ในพื้นที่การประลองครั้งนี้ คิดว่าทุกท่านคงเจอกับเรื่องประหลาดมามากมาย บันใดที่ทั้งๆ ที่เห็นว่ามีเก้าขั้น กลับเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยขั้น ทั้งๆ ที่มีหุ่นเชิดแค่ตัวเดียว แต่กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกสิบตัว หนึ่งร้อยตัว!”

“บอกทุกท่านตามตรง พวกข้าสามารถร่วมมือกันฝ่าด่านที่สิบแปด ด่านที่สิบเก้าไปได้ ทว่าตอนอยู่ในด่านที่ยี่สิบ พวกเรากลับเจอวัวประหลาดมากมายจนนับไม่หมด ซ้ำการนำส่งยังเสียประสิทธิผล นั่นก็ยังพอทำเนา ทว่าเมื่อฝ่าด่านไปได้สองชั่วยาม พวกเรากลับมิอาจกลับออกมา แล้วก็ถูกขังอยู่ในนั้นมาจนถึงตอนนี้!”

“เรื่องแบบนี้ไม่ปกติอย่างยิ่ง มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย!”

“หากเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว!” คำพูดของหยวนเยาจื่อทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนสูดลมหายใจหอบกระชั้น โดยเฉพาะกู่เทียนจวินกับหม่าซืออวิ๋นหัวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

นั่นเป็นเพราะว่าหลายเดือนมานี้ ทุกคนสงสัยเรื่องประหลาดของที่นี่กันอยู่นานแล้ว แต่กลับไม่มีหลักฐาน แล้วก็หาคำตอบไม่ได้ด้วย

พอเห็นว่าหยวนเยาจื่อเอ่ยเช่นนี้ ทุกคนก็ล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด คอยหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นระยะ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายความตื่นตะลึง มองไปรอบด้านด้วยสีหน้าเครียดขรึมโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

หยวนเยาจื่อสังเกตป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตลอดเวลา นัยน์ตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความอำมหิต ครั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า

“ในบรรดาพวกเรามีคนบางคนที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดถึงได้กลายมาเป็นนายของซากพัดเล่มนี้ หรือไม่ก็แอบฝ่าด่านไปได้ครบยี่สิบด่าน!”

“มีเพียงคำตอบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้เล่นงานพวกเราสามคน ทำไมต้องกักตัวพวกข้าไว้ในด่านที่ยี่สิบ!”

พอเขาเอ่ยเช่นนั้น รอบด้านก็พลันเงียบงัน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฮือฮา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันสูดลมหายใจ กู่เทียนจวินก็ยิ่งสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พลันเอ่ยขึ้นมา

“ในบรรดาพวกเรา คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้มากที่สุดก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!”

“ข้าน้อยไม่รู้ว่าเป็นเพราะสหายนักพรตป๋ายหรือไม่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าบอกได้ก็คือก่อนหน้านี้ข้ากับสหายนักพรตกู่เชื้อเชิญให้สหายนักพรตป๋ายไปฝ่าด่านด้วยกัน ทว่าตอนที่เขาอยู่ในนั้น ยักษ์ทรายในด่านที่สิบแปดกลับมองเมินเขาไปอย่างสิ้นเชิง!”

ซือหม่าอวิ๋นหัวเอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงอึมครึมชวนขนหัวลุก

คำพูดของเขากับกู่เทียนจวินทำเอาจิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน พร้อมใจกันแยกตัวโอบล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ในวงล้อมโดยไม่ได้นัดหมาย

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เขารู้ดีว่าในเวลาอย่างนี้ หากไม่ระวังก็ต้องเผชิญกับหายนะอย่างที่มิอาจหวนคืน เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าฉายความเสียใจ แต่ยิ่งมากด้วยความโกรธแค้น ทว่ากลับทำให้คนมองรู้สึกได้ว่าเขาพยายามฝืนข่มกลั้นอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้ามาจากโลกทงเทียนอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะข้าคือเทียนจุนจากโลกทงเทียน!”

“กู่เทียนจวิน ซือหม่าอวิ๋นหัว ตอนอยู่ในด่านที่สิบแปด พวกเจ้าคิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย เรื่องนี้ทำไมพวกเขาถึงไม่พูด ยักษ์ทรายพวกนั้นไม่ได้โจมตีข้า แต่ก็ไม่ได้โจมตีเจ้าซือหม่าอวิ๋นหัวด้วยเช่นกัน!”

“ยังมีเจ้าอีกคนเทียนจุนจักษุไพศาล เจ้าหมายหัวจะเล่นงานข้ามาตั้งแต่แรกเริ่ม คนอื่นคิดจะเอาเรื่องนี้มาอ้างก็ไม่ใช่เรื่องยาก!”

“และที่พวกเจ้าบอกว่าข้าผ่านด่านที่ยี่สิบไปได้แล้วนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนเห็นว่าข้าผ่านไปได้ถึงด่านที่สิบเจ็ดเท่านั้น!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ ซื่อหลิงซ่างเหรินที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอดกลับหรี่ตาลงแล้วพลันเอ่ยขึ้นว่า

“จะใช่เจ้าหรือไม่นั่น อีกไม่นานก็ได้รู้กันแล้ว ระยะเวลาการประลองของซากพัดสิ้นสุดลงแล้ว คาดว่าอีกไม่นานมันก็คงยอมรับนายคนที่ผ่านด่านได้มากที่สุด!”

“เมื่อถึงเวลานั้น ทุกเรื่องก็จะมีคำตอบ!” ดวงตาซื่อหลิงซ่างเหรินฉายความอำมหิต หลังจากเอ่ยเน้นย้ำออกมาทีละคำ คำพูดของเขาก็ได้รับการยอมรับจากทุกคนทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรนอยู่ในใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เขาถูกล้อมเอาไว้แล้ว ซึ่งวินาทีที่พัดเล่มนี้ตกเป็นของเขา ทุกคนคงระเบิดความเกรี้ยวกราดออกมาเป็นแน่

และเวลานี้เขาก็ยิ่งไม่สามารถติดต่อไปหาซากพัดได้ นั่นเป็นเพราะว่าอำนาจจิตของที่แห่งนี้ถูกคลายผนึกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าหากตนมีการกระทำใดๆ ขึ้นมา พวกจักษุไพศาลย่อมจับได้ในทันที

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังร้อนใจ ไอสังหารในดวงตาของจักษุไพศาลก็พลันอบอวล ซือหม่าอวิ๋นหัวเองก็หัวเราะหยัน ทันใดนั้นตลอดทั้งซากพัดก็เกิดสั่นสะเทือน แรงสั่นสะเทือนตามมาด้วยพลังการผลักดันที่แผ่กระจายออกมา ผลักให้ทุกคนกระเด็นออกไปจากลานกว้างบนซากพัด

จนกระทั่งผลักทุกคนลงไปบนยังทิศทางของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล และเวลานี้เอง จักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแสที่รออยู่ด้านนอกมานานมากแล้วก็พลันลงมือ ด้านหนึ่งก็เพื่อรับตัวทุกคน ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เตรียมจะฉวยโอกาสที่หมอกควันบนซากพัดสลายหายขยับเข้าไปใกล้พัดเล่มนี้

ซากพัดที่ใหญ่โตมโหฬารสั่นสะเทือนอยู่หลายที แรงสั่นสะเทือนทำให้พัดยิ่งโยกไหวรุนแรง ไม่นาน ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน มันก็หลุดพ้นออกมาจากมือใหญ่ของยักษ์ผู้บงการ ไม่ได้บินเข้าหาใคร แต่กลับไปล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ามากหมู่ดาว ทะยานหายไปไกลอีกครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบถอนหายใจโล่งอก ลึกๆ ในใจก็ให้แปลกใจ ตามการวิเคราะห์ของเขา พัดเล่มนี้ควรจะกลับคืนมาหาเขาสิถึงจะถูก แต่ตอนนี้มันกลับจากไปไกลเสียนี่

ใจเขาไม่ยินยอม แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมาชัดเจนนัก

เพราะว่าเวลานี้จักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแสกำลังไล่ตามไปอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าคนทั้งสองใช้วิธีการใดถึงต้านทานพยานุภาพสยบเหยียบเข้าไปในซากพัดได้ จากนั้นก็จากไปไกลพร้อมกับพัดเล่มนั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ทว่าเมื่อมีจักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแสอยู่ด้วย อีกทั้งก่อนหน้านี้ทุกคนยังสงสัยในตัวเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าติดต่อไปหาซากพัด

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ในใจกำลังคลั่งแค้นหันขวับไปมองเทียนจุนจักษุไพศาล หยวนเยาจื่อและซื่อหลิงซ่างเหรินทันควัน

“พวกเจ้าเห็นกันแล้วหรือยัง!!”

“ตลอดขั้นตอนนี้ หนึ่งข้าไม่ได้ทำมุทรา สองไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารอะไร สามไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น แต่พัดนี่…กลับไม่ได้บินมาหาข้า!”

“คนที่เล่นตุกติกในการประลองครั้งนี้ไม่ใช่ข้า! แล้วข้าเองก็ไม่ได้ผ่านด่านที่ยี่สิบ ทั้งไม่ได้เป็นเจ้านายของพัดเล่มนี้ด้วย!”

“สิ่งที่พวกเจ้าเจอ ข้าเองก็เจอมาเหมือนกัน และคนที่ทำเรื่องทุกอย่างนี้ก็ไม่ใช่ข้าเช่นกัน!”

“เทียนจุนจักษุไพศาลเจ้าถูกหลอกใช้แล้ว!!”

“หยวนเยาจื่อ การวิเคราะห์ของเจ้านั้นผิดไปแล้ว!”

“ซื่อหลิงซ่างเหริน ตอนนี้เจ้ายังมีอะไรให้พูดอีก แล้วก็เจ้าอีกคน ซือหม่าอวิ๋นหัว เรื่องนี้เจ้ากับข้าไม่จบกันง่ายๆ แน่!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันพูดทุกคำด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเป็นการคำราม ทุกคนที่อยู่รอบด้านพากันเงียบงัน พวกซือหม่าอวิ๋นหัวและเทียนจุนจักษุไพศาลเองก็ถูกคำถามของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้พูดไม่ออก

พวกเขาเงียบงัน ดวงตาที่มองไปยังซากพัดซึ่งห่างไปไกลเป็นประกายแวววาว และตอนนี้บนซากพัดยังพอจะมองเห็นเงาร่างของจักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแสได้รำไร ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เอ่ยถึงสองคนนี้แม้แต่คำเดียว ทว่าเมื่อทุกคนหันไปมองก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมี…คำตอบแล้ว

ทว่าคำตอบนี้ พวกเขามิอาจซักถามได้ ท่ามกลางความเงียบงัน เทียนจุนจักษุไพศาลไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงหมุนกายจากไป ในใจของหยวนเยาจื่อซับซ้อนยิ่ง สีหน้าของซื่อหลิงซ่างเหรินเองก็ดำมืดอย่างถึงที่สุด ครั้นจึงหมุนกายจากไปเช่นกัน

ซือหม่าอวิ๋นหัว กู่เทียนจวินสองคนที่พอมองหน้ากัน ต่างคนก็ต่างถอนหายใจ ส่ายหัวจากไป ไม่นานทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็อาศัยแสงอาคมที่จักรพรรดิเซิ่งและจักรพรรดิแสทิ้งไว้ค่อยๆ ลดตัวลงไปเบื้องล่าง กลับไปยังนครในดินแดนเซียนของใครของมัน

เมื่อกลับมาถึงนครจักรพรรดิเซิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้โล่งใจอย่างแท้จริง พอวิกฤตแรกคลี่คลายลงไปได้ ปัญหาเรื่องซากพัดจะตกไปเป็นของใครจึงกลายมาเป็นเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจมากที่สุด

“ทำไมมันถึงไม่มาหาข้านะ หรือว่าเป็นเพราะตอนนั้นข้าไม่ได้ส่งความคิดออกไป?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!