บทที่ 1098 เทียนจุนคนที่สิบสอง
“นั่นมันสมบัติของผู้บงการเชียวนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังหลั่งเลือด หลายครั้งที่คิดจะทดลองติดต่อไปหาสมบัติชิ้นนั้น แต่กลับฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ก่อนหน้าที่จักรพรรดิเซิ่งยังไม่กลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ว่าตัวเองจะวู่วามไม่ได้
หากติดต่อไม่ได้ก็ยังพอว่า แต่หากติดต่อได้ขึ้นมาแล้วถูกจักรพรรดิเซิ่งจับได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องกลายมาเป็นฝ่ายถูกกระทำเข้าจริงๆ
ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างเสียดมเสียดาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไปยังวิหารเซียนในนครจักรพรรดิเซิ่ง ไม่ว่านักพรตของทั้งราชวงศ์จะป้องกันอย่างไร ไม่ว่าพระยาสวรรค์หลิวจะจับตามองตนเขม็งแค่ไหน ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็ไม่มีอารมณ์ให้ทำอะไรทั้งนั้น วันๆ ได้แต่รออยู่ในวิหารเซียนอย่างร้อนใจ
หลังจากเวลาล่วงผ่านไปครึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่รออยู่ไม่ได้เจอกับจักรพรรดิเซิ่ง แต่กลับสัมผัสได้ถึงความลุ่มลึกบางอย่างที่สะท้อนไปทั่วดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นสะท้าน หูก็มีเสียงพึมพำที่ฟังไม่ชัดนักดังก้องขึ้นมา!
บัดนี้ทุกชีวิตในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งและราชวงศ์จักรพรรดิแสที่เมื่อหลายเดือนก่อนเคยประสบกับเหตุการณ์ครึกโครมตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนก็ได้พบเจอกับความรู้สึกเช่นครานั้นอีกครั้ง!
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ต้นกำเนิดไม่ได้มาจากในนครจักรพรรดิเซิ่ง แต่เป็น…นครจักรพรรดิแส!
“มีคน…เลื่อนขั้นเป็นเทียนจุน!”
“สวรรค์ ภายในหนึ่งปีกลับมีคนเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนติดกันถึงสองคน!!”
หลังจากนักพรตชนชั้นสูงของของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งสัมผัสได้ต่างก็พากันร้องอุทานตกใจ มองไปยังทิศทางของนครจักรพรรดิแส กู่เทียนจวิน ซือหม่าอวิ๋นหัวและเฉินซูสามคนที่เดิมทีต่างก็นั่งเข้าฌานอยู่ในวิหารเซียนของใครของมันบัดนี้ก็พลันลืมตา จิตใจสั่นสะเทือน
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิลมหายใจถี่รัว เสียงพึมพำข้างหูก็คล้ายจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หลังจากที่เขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากดินแดนเซียนนิรันดร์กาลและได้ยินเสียงพึมพำแห่งฟ้าดินยามที่มีคนเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนก็อึ้งงันไปครู่ และวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้า ข้างหูของเขา ข้างหูของพวกกู่เทียนจวินสามคน ข้างหูของนักพรตชนชั้นสูงรวมไปถึงข้างหูของคนทั้งโลก ในที่สุดเสียงนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นชัดเจน!
“เทียนจุนอันดับที่สิบสองแห่งโลกใบนี้ มีนามว่า…นักพรตทงเทียน!”
การดังขึ้นของเสียงนี้ที่ข้างหูทุกคนทำให้คนของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งตัวสั่นเทิ้ม แต่ละคนลมหายใจถี่รัว รู้สึกเหลือเชื่อ ในขณะเดียวกันพวกคนของราชวงศ์จักรพรรดิแสกลับพากันปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง
“มี…มีเทียนจุนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว!!”
“นักพรตทงเทียน ชื่อนี้…ข้าเคยได้ยินมาก่อน เขาเองก็เป็นคนของโลกทงเทียนเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ตายไปแล้วหรอกหรือ!!”
“ไม่นึกเลยว่าในปีเดียวกัน ห่างกันแค่ไหนกี่เดือน โลกทงเทียน…กลับมีเทียนจุนปรากฏขึ้นถึงสองคน!! รากฐานเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ยังดีที่คนทั้งสองไม่ลงรอยกัน!”
ท่ามกลางความครึกโครมของเหล่าผู้คน ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าพรวด ถลันลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาดำมืดอย่างถึงที่สุด นัยน์ตาที่ฉายไอสังหารเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง!
เขาจ้องไปยังทิศทางที่สัมผัสได้ถึงความลุ่มลึกนั้นเขม็ง ดวงตาของเขาค่อยๆ มีเส้นเลือดฝอยปรากฏ ผ่านไปพักใหญ่ถึงจะระงับไอสังหารที่ซัดปั่นป่วนอยู่ในร่างลงไปได้
“โจรเฒ่าทงเทียน เจ้า…ยังไม่ตายจริงๆ!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกดเสียงคำรามเน้นย้ำทุกคำพูด เขาไพล่นึกไปถึงทุกอย่างในโลกทงเทียน นึกถึงสงครามระหว่างคนทั้งสอง นึกถึงป๋ายฮ่าว นึกถึงตู้หลิงเฟย นึกถึงภาพเหตุการณ์มากมายที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด
นักพรตทงเทียนยังไม่ตายจริงๆ!
อันที่จริงตอนที่โลกทงเทียนยังไม่ล่มสลาย แม้ว่าตบะของของนักพรตทงเทียนจะเป็นว่าที่เทียนจุน ทว่าพรสวรรค์อันล้ำเลิศของอีกฝ่าย รวมไปถึงการค้นคว้าที่มีต่อวิชาอมตะมิวางวายก็ทำให้ในร่างของเขามีเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าก่อตัวขึ้นมาได้แล้วส่วนหนึ่ง!
วันนั้นตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นร่างของนักพรตทงเทียนแหลกสลายแล้วมีวัตถุบางอย่างคล้ายเมล็ดพันธ์ที่มีอักขระล้อมวนลอยออกมา นั่นก็คือเมล็ดพันธ์แห่งเต๋า!
เดิมทีหากไม่ผิดไปจากที่คาด เมื่อโลกพังทลาย นักพรตทงเทียนที่บาดเจ็บสาหัสซึ่งต่อให้มีเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าอยู่ส่วนหนึ่งก็ต้องตายแน่นอน ทว่าสถานที่ที่เขาถูกนำส่งมากลับเป็นดินแดนเซียนอันเป็นที่ตั้งของราชวงศ์จักรพรรดิแส และคลื่นเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าของเขาก็ถูกจักรพรรดิแสสัมผัสได้ในทันที
จักรพรรดิแสจึงมาพาตัวนักพรตทงเทียนกลับไปยังราชวงศ์จักรพรรดิแสด้วยตัวเอง ขนาดเทียนจุนหลายคนในราชวงศ์จักรพรรดิแสก็ยังถูกจักรพรรดิแสปิดบัง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย สำหรับจักรพรรดิแสแล้ว นักพรตทงเทียนก็คือสินค้าชั้นดีที่เอาไว้โก่งราคาได้
และเดิมทีเมื่อหลายเดือนก่อนนักพรตทงเทียนก็ทดลองฝ่าทะลุขอบเขตพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาเองก็สัมผัสได้เหมือนกันว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังทำการเลื่อนขั้น เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าการฝ่าขอบเขตจากครึ่งเทพสู่เทียนจุนของตนในครั้งนี้จะยากถึงเพียงนี้ เขาติดอยู่ในทัณฑ์ชั้นที่สาม และเกือบจะคว้าน้ำเหลวในขั้นตอนของการได้รับการยอมรับจากมารดาแห่งนิรันดร์
ยังดีที่แม้ว่าจักรพรรดิแสจะจากไป แต่ก่อนที่นักพรตทงเทียนจะปิดด่าน อีกฝ่ายได้มอบหินสีดำก้อนหนึ่งไว้ให้แก่เขา แม้ว่าจะมีขนาดเท่าแค่ฝ่ามือ
ทว่าตอนที่นักพรตทงเทียนคิดว่าตัวเองจะล้มเหลวนั้น หินก้อนนี้กลับแสดงประสิทธิภาพอันน่าตะลึงออกมา!
ขณะเดียวกันเมื่อตบะของนักพรตทงเทียนฝ่าทะลุ ปราณของการเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนจึงระเบิดออกมา นั่นถึงทำให้ทุกคนในราชวงศ์จักรพรรดิแสรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของนักพรตทงเทียน!
เมื่อเสียงพึมพำที่มาจากมารดาแห่งนิรันดร์ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน คนที่ตื่นตะลึงจึงไม่ได้มีแค่คนของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งเท่านั้น ยังรวมไปถึงนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนของราชวงศ์จักรพรรดิแสด้วย
แต่คนที่ตะลึงลานมากที่สุดกลับเป็น…คนของโลกทงเทียนที่กระจายตัวกันอยู่ทั่วทุกมุมในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล!
บัดนี้ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความซับซ้อนอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้
เพียงแต่ว่าความซับซ้อนของคนทั้งหมดล้วนมิอาจเทียบเคียงได้กับความฮึกเหิมของนักพรตทงเทียนที่อยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งซึ่งพอลืมตาขึ้นก็แหงนหน้าหัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของเขาฉายทิฐิดึงดัน เมื่อลุกขึ้นยืน สิ่งแรกที่หันไปมองก็คือทิศทางที่ตั้งของนครจักรพรรดิเซิ่ง
แม้ว่าจะมีเทือกเขานับพันสายน้ำนับหมื่นกางกั้น แต่วินาทีนั้นก็ราวกับว่าเขาและป๋ายเสี่ยวฉุนต่างสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย ดวงตาของพวกเขาจึงเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร เปี่ยมไปด้วยความเยียบเย็น!
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าเร็วกว่าข้าไปก้าวหนึ่ง แต่แล้วจะอย่างไร!” นักพรตทงเทียนเอ่ยขึ้นเบาๆ ครั้นจึงยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ชุดคลุมยาวสีดำปลอดปกคลุมลงมาบนกาย ชุดคลุมดำนั้นคลุมทับไปถึงศีรษะของเขา ทำให้เขามองดูเหมือนกลายมาเป็นคนชุดดำ
“ข้าชอบเสียงพึมพำจากมารดาแห่งนิรันดร์ที่ดังขึ้นตอนเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุนอย่างมาก เพราะมันเป็นการบอกให้ทุกคนที่รู้จักข้าได้รู้ว่า…ข้า กลับมาแล้ว!” น้ำเสียงของนักพรตทงเทียนแหบพร่า เนิ่นนานเขาถึงถอนสายตากลับคืนมาจากทิศทางที่ตั้งของนครจักรพรรดิเซิ่ง ครั้นจึงสะบัดกายหายวับเข้าไปในความมืด
และเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในนครจักรพรรดิเซิ่งก็ดึงเอาสายตาเย็นชากลับคืนมาเช่นกัน
“ในเมื่อเจ้ายังไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็แค่ต้องฆ่าเจ้าอีกครั้ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างเชื่องช้า เมื่อหลับตาลง เขาก็นั่งขัดสมาธินิ่งๆ อยู่ตรงนั้น
หลังจากเวลาผ่านไปอีกสิบวัน จักรพรรดิเซิ่งก็กลับมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้รับผลเก็บเกี่ยวอะไรหรือไม่ แล้วเขาก็ไม่ได้เรียกขุนนางทั้งราชสำนักมาเข้าพบด้วย ซ้ำหากไม่เป็นเพราะหลายวันต่อมาเขามีพระราชโองการ เกรงว่าก็คงไม่มีใครรู้ถึงการกลับมาของเขา
ในพระราชโองการนั้นมีเพียงคำสั่งเดียว!
เขาออกคำสั่งแต่งตั้งให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปเป็นเซียนผู้พิทักษ์ดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง!
เรียกว่าดินแดนเซียนแห่งที่สอง แต่หากจะพูดให้แน่ชัด พื้นที่ที่เป็นของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งกลับกินอาณาเขตแค่เกินครึ่งเท่านั้น เพราะเขตการปกครองหลายแห่งทางทิศเหนือได้ถูกราชวงศ์จักรพรรดิแสยึดครองไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ก็เหมือนเขตการปกครองหลายแห่งในดินแดนเซียนแห่งที่สามที่จักรพรรดิเซิ่งได้มาเพราะทำการแลกเปลี่ยนกับตัวของกงซุนหว่านเอ๋อร์ ซึ่งในดินแดนเซียนแห่งที่สามที่เป็นของราชวงศ์จักรพรรดิแสก็มีถิ่นฐานของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งอยู่ในขอบเขตที่แน่นอนเช่นกัน
และเนื่องจากดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้ใช้ป้องกันคนของราชวงศ์จักรพรรดิแสมาตลอดเวลา อีกทั้งตรงพื้นที่รอยต่อก็มักจะมีการต่อสู้ขนาดเล็กเกิดขึ้นเป็นประจำ ดังนั้นจึงต้องมีเซียนผู้พิทักษ์คอยเฝ้าบัญชาการณ์อยู่ตลอดทั้งปี ซึ่งเทียนจุนของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งที่เฝ้าอยู่ที่นั่นก็อายุมากแล้ว
มีนามว่าจ้าวหยวนหัน สมญานามว่าวิเศษกาลนาน
เทียนจุนวิเศษกาลนานผู้นี้เฝ้าพิทักษ์ดินแดนเซียนแห่งที่สองมานานหลายปีและแทบจะไม่เคยถูกผลัดเปลี่ยนตัวมาก่อน ซึ่งในพระราชโองการก็ไม่ได้บอกว่าให้เทียนจุนวิเศษกาลนานกลับมา แต่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปเป็นเซียนผู้พิทักษ์ร่วมกันกับอีกฝ่าย!
มองดูแล้วอาจจะเป็นเหมือนการแต่งตั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความหมายที่ต้องการไล่ป๋ายเสี่ยวฉุนให้ไปไกลๆ กลับเด่นชัดมากเป็นพิเศษ
หลังจากได้รับคำสั่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้รู้ว่าจักรพรรดิเซิ่งกลับมาแล้ว เขามองพระราชโองการแล้วก็รู้ดีว่าตนที่ไปอยู่ในดินแดนเซียนแห่งที่สองคงไม่มีสิทธิไม่มีอำนาจอะไร นี่เป็นการบอกกับตนโดยตรงว่าอีกฝ่ายสามารถมอบทรัพยากรในการฝึกตนให้ได้ และฐานะกับตัวตนของเขาก็ได้รับการรับประกันเช่นกัน เพียงว่าสิทธิและอำนาจนั้นกลับ…ไม่มีทางให้เขาแม้แต่นิดเดียว!
“มองดูเหมือนให้ข้าไปเฝ้าพิทักษ์ดินแดนเซียนแห่งหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นการปล่อยให้ข้าไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตามยถากรรม…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ย่อท้อ เขากลับรู้สึกว่านี่คือเรื่องดี โดยเฉพาะดินแดนที่ไปคือดินแดนเซียนแห่งที่สอง ซึ่งราชาผียักษ์ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน พอคิดว่าไม่ได้เจอกับราชาผียักษ์มานานมากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกคิดถึงอีกฝ่ายไม่น้อย
ขณะเดียวกันในใจกลับเกิดความวู่วามอยากติดต่อไปยังซากพัดอยู่หลายครั้ง แต่นิสัยป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนรอบคอบ จึงยังคงอดทนข่มกลั้น เขาจึงคิดจะรอต่ออีกหน่อย อย่างน้อยรอให้ไปจากนครจักรพรรดิเซิ่งแล้วค่อยทดลองดูอีกที
แล้วก็เพราะคิดเช่นนี้ ดังนั้นในเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนจัดเตรียมสัมภาระเรียบร้อย เขาก็ไม่รั้งรออยู่ในจักรพรรดิเซิ่งนานนัก แต่เช้าตรู่วันที่สองก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวแหวกอากาศจากไป!
การจากไปของเขาทำให้นักพรตชนชั้นสูงทุกคนในนครจักรพรรดิเซิ่งผ่อนลมหายใจโล่งอกกันทุกคน
แม้ว่าเช้าวันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปจะไม่มีเสียงตีฆ้องร้องป่าว ทว่าเสียงหัวเราะที่ดังมาให้ได้ยินจากในตระกูลชนชั้นสูงแต่ละแห่งกลับดังสนั่นหวั่นไหว
“ในที่สุดเจ้าตัวหายนะนี่ก็จากไปเสียที!!”
“ฮ่าๆ ปล่อยให้เทียนจุนวิเศษกาลนานปวดหัวไปคนเดียวเถอะ!”
“น่าเสียดายนัก อันที่จริงราชาทงเทียนผู้นี้ก็มีความสามารถไม่น้อย หากเขาไปอยู่ที่นครจักรพรรดิแสก็ดีน่ะสิ ข้าเชื่ออย่างสุดใจเลยว่าหากให้เวลาและเงื่อนไขที่มากพอแก่เขา เขาคนเดียวก็ทำให้ราชวงศ์จักรพรรดิแสพินาศวอดวายได้เลย!”