บทที่ 1099 กุญแจดอกหนึ่ง
นอกนครจักรพรรดิเซิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง เมื่อหันหน้ากลับไปมองยังนครจักรพรรดิเซิ่ง ด้วยตบะของเขาในเวลานี้ แม้จะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างฮึกเหิมของเหล่าชนชั้นสูงในนครได้อย่างชัดเจน แต่ก็พอจะฟังออกได้คร่าวๆ
“เป็นความรู้สึกที่ห่างหายไปนานแล้วนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหลายทีอย่างห้ามไม่อยู่ แม้ในใจจะรู้ดีว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้เพราะอะไร แต่ก็แค่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย และสำหรับวิธีการแก้ไขความกระอักกระอ่วนนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนถนัดอย่างยิ่ง
“นี่เป็นความผิดของข้าเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำสีหน้าระอาใจ ก่อนจะค่อยๆ ดึงสายตากลับคืนมาจากนครจักรพรรดิเซิ่ง ในใจปลงตก อันที่จริงเขาค้นพบมานานแล้วว่า นี่เหมือนจะเป็นข้อดีชั่วชีวิตที่ตนคุ้นชินมานานมากแล้ว นั่นก็คือการเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเกินไป
“หากไม่เป็นเพราะข้ายอดเยี่ยมเกินไป ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่ข้าอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ แล้วต้องจากมา อารมณ์ของพวกคนที่นั่นจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร”
“เขาเม่าเอ๋อร์ สำนักธาราเทพ สำนักธาราโลหิต สำนักสยบธาร สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราและแดนทุรกันดาร…มาจนถึงตอนนี้ แม้แต่คนของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ยังรู้ถึงความยอดเยี่ยมของข้า”
หลังจากทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดปลายแขนเสื้อแล้วทะยานจากไปไกล
“ช่างเถอะๆ ครั้งนี้หลังจากข้าไปถึงดินแดนเซียนแห่งที่สองแล้วคงต้องถ่อมตัวสักหน่อยจะดีกว่า”
ท่ามกลางการห้อทะยานไปเบื้องหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญถึงพระราชโองการของจักรพรรดิเซิ่งอย่างละเอียด การที่อีกฝ่ายไล่ตนออกมาอย่างนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ความรู้สึกเหมือนตนถูกริบทรัพย์จนหมด แล้วโดนจับโยนออกมาจากบ้านอยู่ดี
“หากว่าข้าไปปรากฏตัวในดินแดนเซียนแห่งที่สอง เกรงว่าข้าก็คงต้องแสดงความยอดเยี่ยมของตัวเองออกมาอยู่ดี แล้วทางฝ่ายของจักรพรรดิเซิ่งก็ต้องหาวิธีอื่นมากำราบข้า”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระจ่างชัดอยู่แก่ใจ
“แถมในดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้ก็มีเทียนจุนอยู่แล้ว หากข้าไป…แล้วไม่ลงรอยกับเทียนจุนของที่นั่น จักรพรรดิเซิ่งไม่มีทางเข้าข้างข้าแน่”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนควรจะถ่อมตัวไว้ให้มากๆ จริงๆ
“ยอดเยี่ยมเกินไปไม่ใช่เรื่องดีเลย มีประโยคหนึ่งเขาพูดว่าอย่างไรนะ ไม้เด่นเกินไพรใช่ไหม”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงภาพที่ทุกคนเตรียมจะเล่นงานตนตอนอยู่บนซากพัด ในใจก็ให้คลั่งแค้น
ขณะเดียวกันเมื่อความคิดของเขาไพล่นึกไปถึงซากพัด หัวใจก็เต้นรัวเร็วขึ้นจากเดิมอีกเล็กน้อย แต่กลับยังคงฝืนข่มกลั้นความต้องการแล้วทะยานไปเบื้องหน้าต่อ
ไม่นานเวลาก็ล่วงผ่านไปได้ครึ่งเดือน ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เร็วมากนัก เขาทะยานไปข้างหน้าพลางมองภาพทิวทัศน์ที่อยู่รอบด้าน และด้วยตบะเทียนจุนของเขาก็สามารถพูดได้ว่า บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้แทบไม่มีที่ใดที่เขาไปไม่ได้อีกแล้ว
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาสังหาร เพราะคนที่มีคุณสมบัติจะเอาชีวิตเขาได้ในเวลานี้ ทอดสายตามองไปทั่วดินแดนนิรันดร์กาลก็มีเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้อีกเจ็ดแปดวัน ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหยียบลงบนเขตพื้นที่ของดินแดนเซียนแห่งที่สอง
เมื่อมาถึงเวลานี้ ไฟเร่าร้อนในใจของเขาก็มิอาจระงับไว้ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะจากการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทำให้เขารู้สึกว่า แม้ตอนนี้ตนจะติดต่อไปหาซากพัด แต่ก็ยังเสี่ยงเกินไป ทว่าจะไม่สนใจมันเสียเลยก็ทำไม่ได้
หากเป็นเพราะความไม่ใยดีของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้เขาเสียการครอบครองซากพัดเล่มนี้ไปจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมต้องเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“รอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว!” เมื่อตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดแล้ว เวลาก็ผ่านไปอีกสามวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด ก่อนจะเริ่มทดลองติดต่อไปหาซากพัด
และลึกๆ ในใจของเขาก็กระวนกระวายอยู่ไม่น้อย คำนึงถึงผลได้ผลเสียตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อทดลองดู สีหน้าของเขากลับค่อยๆ แปรเปลี่ยน พอหลายครั้งเข้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มลนลาน
“ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย!”
“หรือว่าเป็นเพราะพัดเล่มนั้นบินไปไกลแล้ว? หรือเป็นเพราะจักรพรรดิเซิ่งหรือไม่ก็จักรพรรดิแสได้มันไปครอง?”
“สมควรตายนัก นั่นมันพัดวิเศษที่ข้าต้องลำบากยากแค้นกว่าจะรักษาเอาไว้ได้เชียวนะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจครามครัน ยังไม่ยอมแพ้จึงเริ่มทดลองติดต่อไปอีกครั้ง แล้วก็เป็นเช่นนี้ ระยะทางที่เดิมทีเหลืออีกครึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับโอ้เอ้จนหมดเวลาไปหนึ่งเดือน และทุกวันก็ต้องทดลองอยู่หลายครั้ง พยายามจะเรียกซากพัดให้ได้
ยังดีที่หาใช่จะไม่ได้ผลเสียเลย เพราะวันที่ยี่สิบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบด้วยความตะลึงระคนยินดี เขาพอจะสัมผัสได้ว่าในสถานที่ที่ห่างไปไกลแสนไกล ดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงระหว่างซากพัดกับตนอยู่เสี้ยวหนึ่ง ซึ่งอาจถูกตัดขาดไปได้ทุกเมื่อ
“ยังไม่สายเกินไป!” สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคัก เพิ่มอำนาจจิตเข้าไปให้มากขึ้น เพิ่มเวลาให้นานขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างตนกับพัดเล่มนั้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ขณะเดียวกันระยะห่างระหว่างเขากับเขตการปกครองหลักของดินแดนเซียนแห่งที่สอง ก็ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
ภูเขาลูกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน แม่น้ำเส้นใหญ่หลายสายรวมไปถึงสัตว์ร้ายมากมายที่ซ่อนตัวอยู่บนพื้นดิน สำนักและอำเภอแต่ละแห่งตลอดทางที่ผ่านมาก็คล้ายผ้าคลุมหน้าบางๆ ที่ปกคลุมดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเอาไว้ ซึ่งค่อยๆ ถูกเปิดออกต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
แล้วก็เป็นอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจก่อนหน้านี้ ในความเป็นจริงแล้วดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้แบ่งออกเป็นสองฝั่งคือเหนือกับใต้ ดินแดนเซียนแห่งที่หนึ่งที่อยู่ติดกับนครจักรพรรดิเซิ่งนั้นอยู่ทางทิศใต้ของดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้
และตลอดทั้งดินแดนเซียนแห่งที่สอง เดิมทีมีเขตการปกครองทั้งหมดสิบหกแห่ง เพียงแต่ว่าเขตการปกครองที่อยู่ในการครอบครองของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งตอนนี้มีแค่สิบเอ็ดแห่งเท่านั้น ห้าเขตการปกครองที่เหลือพื้นที่กว้างขวาง แต่ประชากรมีน้อย ล้วนอยู่ทางทิศเหนือ หรือจะพูดให้แม่นยำยิ่งกว่านั้นก็คือดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้ ก็เหมือนถูกคนใช้กระบี่คมกริบที่มองไม่เห็นฟันจนขาดออกจากกัน
ทางทิศเหนือมีห้าเขต ส่วนทางทิศใต้มีสิบเอ็ดเขต!
สภาพภูมิประเทศของเขตการปกครองแต่ละแห่งล้วนไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ไม่มีอารมณ์มาชมทัศนียภาพอะไรอีกแล้ว มองดูเหมือนเขาเร่งเดินทาง แต่ในความเป็นจริงกลับทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไว้บนซากพัด และในที่สุดเมื่อติดต่อไปหาซากพัดอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ห่างจากนครหลักของดินแดนเซียนแห่งที่สองอีกแค่สามวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ถึงอำนาจจิตที่ตนทิ้งไว้บนซากพัด!
วินาทีที่สมองของเขาสัมผัสได้ถึงซากพัดก็เหมือนมีอสนีบาตผ่าเปรี้ยงลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างที่อยู่กลางอากาศชะงักค้าง ลมหายใจพลันถี่รัว ดูเหมือนว่าเบื้องหน้าของเขาจะมีภาพหนึ่งลอยขึ้นมา
ในภาพนั้นก็คือท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตสิ้นสุดที่เป็นสีดำสนิท
ซากพัดที่มีขนาดพอๆ กับผืนแผ่นดินกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศอย่างเนิบช้า ได้แต่ล่องลอยไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีวันหยุดนิ่ง แล้วก็ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน!
“พัดวิเศษของข้า…” จิตใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือน ภาพในสมองเพิ่งจะชัดเจนก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นบิดเบือน เพราะเหมือนจะอยู่ห่างเกินไป ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนรีบเพิ่มอำนาจจิตให้มากขึ้น พยายามจะเรียกให้ซากพัดเล่มนั้นหยุดลอย
เพียงแต่ว่าอำนาจที่เขาได้ครอบครองยังน้อยเกินไป เดิมทีนึกว่าเมื่อการสืบทอดสิ้นสุดลงแล้ว ด้วยผลความสำเร็จที่เทียบเคียงกับการผ่านด่านยี่สิบด่านของตน จะทำให้เขาได้รับการยอมรับจากซากพัด
แต่ตอนนี้มาลองดูแล้วทุกอย่างคงจะเป็นเพียงแค่จินตนาการของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว พัดเล่มนี้ยังคงไม่ยอมรับใครเป็นนาย และจากการที่รับสัมผัสดู อำนาจที่อยู่ในครอบครองของเขาก็เหลือเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ราวกับว่าหากช้าไปอีกแค่ไม่กี่เดือน เกรงว่าอำนาจส่วนเดียวนี้ก็จะหายไปเหมือนกัน
“ต้องเป็นฝีมือของปณิธานในพัดเล่มนี้แน่นอน ไอ้หมอนี่มันฉวยโอกาสตอนที่ข้าจากมา หมายจะลบเลือนอำนาจของข้าทิ้ง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจขึ้นมาทันที ขณะที่เขาเพิ่มการอำนาจจิตให้มากขึ้น พัดที่เดิมทีล่องลอยไปเรื่อยๆ กลับพลันสั่นสะเทือนและมีแสงสว่างเปล่งวาบขึ้นมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ทันให้เขาได้ทำอะไรต่อ จู่ๆ ข้างหูก็มีเสียงคำรามเดือดดาลดังลอยมา เสียงนี้คล้ายจะดังออกมาจากในพัด ซึ่งก็มาจากปณิธานที่อยู่ในพัด!
เห็นได้ชัดว่า ปณิธานนี้ฟื้นตื่นจากการหลับสนิทหลังปะทะกับป๋ายเสี่ยวฉุนไปคราวก่อน และก่อนหน้านี้มันก็ลบเลือนตราประทับของป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปทีละนิดจนได้ถึงครึ่งหนึ่ง และตอนนี้ก็เหลืออีกแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ทว่าการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนจะมาดับความหวังของมัน แล้วมันจะยอมได้อย่างไร
มันจึงเข้าขัดขวางเต็มกำลัง แม้จะไม่สามารถลบตราประทับของป๋ายเสี่ยวฉุนไปได้อย่างสิ้นเชิง แต่กลับห้ามไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาควบคุมพัดเล่มนี้ได้!
“สมควรตายนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหเสียแล้ว จึงเริ่มทำการปะทะกับปณิธานนี้ผ่านระยะห่างยาวไกลอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย แต่ขอแค่มีความเชื่อมโยงอยู่กับพัดเล่มนั้น ตราประทับของเขาที่ทิ้งไว้บนพัดก็ไม่มีทางถูกลบออกไปได้ง่ายๆ แน่นอน!
เสียงสะเทือนเลือนลั่นดังอยู่ในสมองไม่หยุด ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมเวลาไปแล้ว เขาหาสถานที่แห่งหนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิลงไปง่ายๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เมื่อท้องฟ้ามืดมัว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ร่างโชกไปด้วยเหงื่อก็ลืมตาขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นเส้นเลือดฝอยเต็มดวงตาและความเหนื่อยล้าที่ปกปิดไม่มิด ทั้งลมหายใจยังหอบหนักอย่างยิ่ง ตอนที่ก้มหน้าลง
สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จับจ้องไปบนมือขวาของตัวเอง ตรงนั้นกำลังมีแสงกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา และตอนนี้กำลังรวมตัวกันช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ กลายมาเป็นป้ายสีดำป้ายหนึ่ง
ป้ายนี้ก็คือภาพมายาที่ปรากฏขึ้นมาในมือป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากที่เขาปะทะกับปณิธานของซากพัดแล้ว อีกฝ่ายจมสู่อาการหลับลึกอีกครั้ง
“เจ้าปณิธานของซากพัดนี่รับมือได้ยากยิ่งนัก หรือข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่มีคุณสมบัติได้เป็นนายของมันจริงๆ!”
“หากไม่เป็นเพราะโดนมันขัดขวาง ครั้งนี้ข้าต้องสามารถเรียกพัดกลับมาได้แน่นอน ตอนนี้พัดยังไม่กลับคืนมาหาข้า แค่ได้ป้ายนี้มาครอบครองเท่านั้น”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่ยอมแพ้ เขาไม่เข้าใจป้ายนี้แม้แต่น้อย เพียงแต่มีความรู้สึกบางอย่างว่า ป้ายนี้คล้ายจะเป็นกุญแจดอกหนึ่ง…
กุญแจดอกหนึ่งที่เป็นตัวแทนอำนาจของเขา!
ครู่ใหญ่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจ เตรียมจะเก็บกุญแจนี้ลงไปและกะว่าจะพักผ่อนสักครู่แล้วค่อยศึกษามันอย่างละเอียด
ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันนิ่วหน้า หันขวับมามองป้ายที่อยู่ในมือตัวเอง
“ปราณนี้…”