Skip to content

A Will Eternal 1101

บทที่ 1101 รังแกข้า?

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองผู้เฒ่าคนฟ้าท่านนั้นด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครนึกถึงตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ แล้วก็ไม่มีใครมองออกว่าคนที่เดินผ่านข้างกายของพวกเขาไปผู้นี้ก็คือหนึ่งในเทียนจุนห้าท่านของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันรู้สึกชื่นชอบการถ่อมตัวเช่นนี้ของตน ครุ่นคิดว่าการทำแบบนี้เหมือนจะดีกว่า

“มิน่าเล่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายถึงได้ชอบปลอมตัวไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ที่แท้ความรู้สึกมันก็ดีอย่างนี้นี่เอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนชอบใจอยู่กับตัวเอง แต่ไรไหนมาเขาก็ชื่นชอบเรื่องที่ไม่มีอันตรายใดๆ แบบนี้ที่สุดอยู่แล้ว

แม้แต่รอยยิ้มของเขาก็ยังแฝงความปิติยินดีล้นเหลือ เมื่อคำพูดของเขาดังออกมา หัวใจของผู้เฒ่าคนฟ้าคนนั้นก็พลันกระตุกวาบอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่กลับไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงเอ่ยเนิบช้า

“คนผู้นี้ตัวตนน่าสงสัย บุกเข้ามาในนครของเขตการปกครองหลัก ทหาร จงมาจับตัวคนผู้นี้ไปตรวจสอบอย่างละเอียด หากตัวตนของเขาปกติค่อยปล่อยตัวไปก็ยังไม่สาย แต่หากเขาขัดขืนก็จงจัดการตามกฎระเบียบได้เลย!” จบคำพูดของผู้เฒ่าคนฟ้า ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็ถอยกรูดออกห่างทันที ตอนที่แต่ละคนหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนทำสีหน้าเห็นใจ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ทำท่าเยาะเย้ย

“ไอ้หมอนี่มันโง่ไปแล้วหรือไง ถึงได้กล้ามาทำตัวโอหังที่นี่?”

“จะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกัน นั่นคือพระยาจื่อหลินเชียวนะ ก็แค่หลีกทางไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ต้องกรีดเนื้อตัวเองเสียหน่อย”

“คนผู้นี้จบเห่แน่แล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้ คนที่ถูกตั้งข้อหาว่ามีตัวตนน่าสงสัย ไม่เคยมีใครรอดชีวิตออกมาจากคุกหลวงได้แม้แต่คนเดียว!”

ขณะที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ดวงตาของทหารยามคนอื่นๆ ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมืองพลันเป็นประกายเย็นเยียบ นอกจากคนที่ก่อนหน้านี้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเขย่าคลอนจิตใจจนยืนอึ้งอยู่กับที่แล้ว คนอื่นๆ ล้วนย่างสามขุมเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่านักพรตคนฟ้าที่เฝ้าประตูเมืองจะลงมือกับตนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นนี้ สีหน้าของเขาเหยเกเล็กน้อย ครั้นจึงถอนหายใจเบาๆ

“จะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไรกัน ข้าก็แค่อยากเข้าเมืองเท่านั้น…เดิมทีข้าคิดว่าจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมแล้วเชียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหน้า ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ไม่ได้แผ่ตบะเทียนจุนออกมา เพียงแค่เผยพลังก่อกำเนิดที่เหนือกว่าพวกทหารรวมโอสถเล็กน้อยเท่านั้น และทันใดนั้นรอบกายเขาก็มีลมพายุก่อตัว ท่ามกลางเสียงเสียงอึกทึกกึกก้อง หลังจากที่พวกทหารยามรวมโอสถขยับเข้ามาใกล้ แรงผลักดันมหาศาลก็ทำเอาพวกทหารยามเหล่านั้นถอยกรูด ทั้งยังกระอักเลือดกันทุกคน

“บังอาจ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” ผู้เฒ่าคนฟ้าตวาด ทั้งยังดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน พอยกมือขวาขึ้น ตบะคนฟ้าของเขาก็ระเบิดออกพร้อมกับฝ่ามือที่ตบเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรง!

ในสายตาเขา หากถูกเขาตบ ต่อให้คนตรงหน้านี้ไม่ตาย แต่นับจากนี้ไปก็ย่อมได้แต่คุกเข่ามิอาจหยัดยืนขึ้นมาได้อีก!

และในใจเขาก็มีความดูแคลน แอบพูดกับตัวเองว่าหากไอ้หมอนี่ไม่ต่อต้าน อย่างมากที่สุดตนก็แค่สั่งลงโทษอีกฝ่ายเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายเลือกจะขัดขืน นั่นก็เท่ากับหลับหูหลับตารนหาที่ตาย และไม่ว่าในเวลานี้เขาจะทำเช่นไรก็ล้วนสอดคล้องกับกฎระเบียบของนครเขตการปกครองหลักทั้งสิ้น!

ทว่าวินาทีที่ผู้เฒ่าคนฟ้าลงมือนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับถอนหายใจ มือขวายกขึ้นฉับไว แล้วชิงตบฉาดใส่อีกฝ่ายตัดหน้าผู้เฒ่าเสียก่อน

“เจ้านั่นแหละที่ต้องคุกเข่า” ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยออกมา เสียงแห่งการปะทะก็ดังกัมปนาท ผู้เฒ่าคนฟ้าผู้นั้นรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าลาย พละกำลังมหาศาลพุ่งมาปะทะใบหน้า ตนมิอาจหลบเลี่ยงได้เลย อีกทั้งในสมองยังขาวโพลน หูทั้งคู่มีเสียงอื้ออึงดังก้อง เลือดสดพุ่งทะลักออกจากปาก ร่างที่อยู่กลางอากาศถูกพลังมหาศาลขุมหนึ่งตบจนร่วงลงมาดังปัง เข่าทั้งคู่ที่กระแทกลงบนพื้นแตกยับเลือดไหลซึม กลายเป็นเขาเองที่ต้องคุกเข่าต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน!

ความเจ็บปวดร้าวระบมรุนแรงทำให้ผู้เฒ่าคนฟ้าร้องโหยหวน เขาคิดจะลุกขึ้นยืน แต่ไม่เพียงหัวเข่าที่แหลกลาญ แม้แต่ตบะก็ยังแตกทลาย มิอาจหยัดยืนขึ้นมาได้อีก

ภาพนี้ทำเอาทุกคนอึ้งค้าง แต่ละคนสูดลมหายใจดังเฮือก อ้าปากหวอ

“เจ้าไม่ใช่ก่อกำเนิด แต่ต่อให้เจ้าเป็นคนฟ้า เจ้าก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!!” ผู้เฒ่าคนฟ้าข่มกลั้นความเจ็บปวดจนสีหน้าบิดเบี้ยว ขณะที่ร้องคำรามก็หยิบเอาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาบีบจนแหลกละเอียด

แผ่นหยกชิ้นนี้ไว้ใช้ในการแจ้งเตือน พอถูกเขาบีบจนแหลกสลาย ในนครของเขตการปกครองหลักแห่งนี้ก็มีรุ้งยาวหลายเส้นพวยพุ่งขึ้นมาแล้วห้อตะบึงมาที่แห่งนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเอือมระอาเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะเดิมทีเขาแค่อยากจะเข้าไปในเมืองเท่านั้น พอเห็นว่าตัวเองดึงดูดความสนใจจากคนมากมาย เขาก็ส่ายหน้า หมุนกายเดินเข้าไปในประตูเมือง เตรียมจะลอดผ่านม่านแสงเข้าเมืองไปโดยตรง

ทว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะจากไปนั้นเอง พระยาจื่อหลินที่ยืนอยู่ไม่ห่างและไม่เคยเปิดปากมาตั้งแต่ต้นกลับเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“หยุดเขาเอาไว้”

ทันใดนั้นดวงตาของลูกน้องแต่ละคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเยียบเย็น ครั้นคนฟ้าห้าคน ก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบสิบกว่าคนจึงตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน การลงไม้ลงมือของพวกเขาทำให้พลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดินผุดพุ่ง

หลายคนที่อยู่รอบด้านตื่นตะลึงกันไปอีกครั้ง ทั้งยังมีคนบางส่วนที่เกิดความคาดหวัง แต่ละคนรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ รอชมเรื่องสนุกที่วันปกติหาดูไม่ได้ง่ายๆ

“น่าเสียดาย แต่ในเมื่อเขามีตบะเป็นคนฟ้า แล้วทำไมไม่เปิดเผยออกมาตั้งแต่แรกเล่า”

“เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะโอ้อวดตนอย่างไรล่ะ ทีนี้เป็นไง จบเห่แล้วไหม พวกลูกน้องของพระยาจื่อหลินมีแต่พวกที่อยู่ในสนามรบมานานปี มือแต่ละคนอาบเลือดคนมาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว!”

และขณะที่ทุกคนรอบด้านพากันสะท้อนใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ไปหาเรื่องพระยาจื่อหลินนี่เสียหน่อย แต่อีกฝ่ายกลับมาหาเรื่องตนเสียนี่

“คิดจะรังแกข้ารึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา ชั่วขณะที่คนสิบกว่าคนพุ่งมาใกล้ เขาพลันยกมือขวาขึ้นแล้วโบกหนึ่งที ครั้งนี้เขาจงใจเปิดเผยตบะคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ พริบตาเดียว ลูกน้องของพระยาจื่อหลินทั้งหลายก็ใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ตะลึงพรึงเพริดเกินจะเปรียบ

เสียงตูมตามกลายมาเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ข้างหูพวกเขา เบื้องหน้าของทุกคนพร่ามัว รู้สึกเพียงว่ามีพละกำลังมหาศาลขุมหนึ่งตรงเข้ามาโจมตีราวกับพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร พวกเขามิอาจต้านทานได้เลย คนฟ้าห้าคนเป็นหนังหน้าไฟที่โดนก่อนใคร ร่างทั้งร่างของพวกเขาสั่นสะเทือนรุนแรง แต่ละคนกระอักเลือด ถูกพลังมหาศาลขุมนั้นตบฉาดลงมาจนทรุดลงไปนั่งคุกเข่า

นักพรตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบสิบกว่าคนก็เป็นเช่นเดียวกัน

เมื่อเจอกับพลังมหาศาลขุมนั้นก็ถูกตบจนลงไปนั่งกองกับพื้นเรียงตัว ในสมองของพวกเขายังหนักอึ้ง ทว่าอาการเจ็บปวดรุนแรงทางกายกลับเป็นเหตุให้เสียงร้องโหยหวนของพวกเขาดังก้องกังวานไม่หยุด

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เร็วเพียงแค่กะพริบตาเท่านั้น เหตุการณ์พลิกผันทั้งหมดทำให้ทุกคนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่รอบด้านพากันอึ้งค้าง แต่ละคนกลั้นลมหายใจ มองพวกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเมือง นัยน์ตาก็ค่อยๆ เผยความเหลือเชื่อออกมา

“น่าสนใจไม่เบา”

ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของทุกคน ดวงตาของพระยาจื่อหลินฉายแสงคมกริบ มุมปากของเขายกยิ้มดูแคลน เดินออกมาหนึ่งก้าว ความเร็วนั้นมีมากจนเกิดพายุพัดกระโชกรุนแรง หากมองจากพลังอำนาจแล้วก็ดูออกว่าพายุลูกนี้คล้ายจะรุนแรงยิ่งกว่า น่ากลัวยิ่งกว่าของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ ซ้ำฟ้าดินยังหม่นมัว ความว่างเปล่ารอบด้านบิดเบือน พอจะรู้ได้ว่าพระยาจื่อหลินคนนี้ไม่ใช่ครึ่งเทพช่วงต้นธรรมดา แต่เป็นครึ่งเทพขั้นสมบูรณ์แบบ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเป็นปกติ แค่ยกมือขวาขึ้นตบไปยังพระยาจื่อหลินอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

“เจ้าก็คุกเข่าด้วยเถอะ”

เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนราบเรียบ มือขวาของเขาเหมือนกลายมาเป็นภูเขาไร้รูปลักษณ์ลูกหนึ่งที่บดขยี้ทุกอย่างให้พังภินท์ ความเร็วของพระยาจื่อหลิน เมื่อมาอยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ต่างไปจากเต่าคลาน พายุจากเขาก็เหมือนลมที่เป่าออกมาจากปากของเด็ก ความคมกริบ ความน่าครั่นคร้ามของเขา รวมไปถึงความว่างเปล่าที่บิดเบือน ทั้งหมดทั้งมวลนี้เมื่อมาอยู่ในสายตาป๋ายเสี่ยวฉุนกลับอ่อนแอและเปราะบางไม่อาจทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว!

นี่คือความต่างระหว่างเทียนจุนและครึ่งเทพ นี่คือการบดขยี้ทางด้านขอบเขต อีกทั้งยังเป็นความสูงส่งเหนือล้ำของเมล็ดพันธ์แห่งเต๋า!

เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นกึกก้องไปทั้งชั้นฟ้า ฝ่ามือนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ตบลงบนร่างของพระยาจื่อหลิน แต่ตบลงไปบนความว่างเปล่าด้านหลังเขา!

ทันใดนั้นความว่างเปล่าก็บิดเบือนแล้วถูกฉีกกระชาก

ก่อนที่ด้านในจะมีพระยาจื่อหลินคนที่สองเดินออกมา

นี่ก็คือแผนการของพระยาจื่อหลิน เขาไม่เคยเผยร่างจริงของตัวเองมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าทุกคนเป็นแค่ร่างจำแลงของอีกฝ่ายเท่านั้น ครึ่งเทพของโลกทงเทียนไม่มีร่างจำแลง แต่ไม่ได้หมายความว่าครึ่งเทพของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลจะไม่มีร่างจำแลงตามไปด้วย!

และที่เมื่อครู่นี้เขาลงมือ จุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการใช้ร่างจำแลงของตนมาหยั่งเชิงป๋ายเสี่ยวฉุนดูสักหน่อย!

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า การหยั่งเชิงครั้งนี้จะเท่ากับพาตัวเองพุ่งชนเข้ากับภูเขาที่แข็งแกร่งจนมิอาจทำลาย!

ท่ามกลางเสียงครืนครั่น ร่างจริงและร่างจำแลงของพระยาจื่อหลินสีหน้าบิดเบี้ยวไปพร้อมๆ กัน ตบะในร่างแทบจะแหลกสลาย เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลเฉกเช่นพวกคนที่คุกเข่าก่อนหน้านี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ร่างของเขาสั่นเทิ้ม ดวงตาฉายความเหลือเชื่อ ทั้งยังมากด้วยความตะลึงพรึงเพริดและความเลื่อนลอย ดูเหมือนเขาจะคิดได้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองคือใคร แต่เขายังไม่ทันเปิดปาก พลังมหาศาลขุมนั้นก็กลบทับลงมา เสียงกัมปนาทรุนแรงมาพร้อมๆ กับการกระอักเลือดจากร่างจริงและร่างจำแลงของพระยาจื่อหลิน เขากรีดร้องโหยหวน ถูกกำลังมหาศาลขุมนั้นตบจนลงไปกองกับพื้น

ปัง! ฝุ่นตลบคละคลุ้งขึ้นมาจากพื้นดิน

ทุกคนที่จับตามองอยู่รอบด้านพากันมองตาค้าง แม้แต่ลูกน้องของพระยาจื่อหลินก็ยังอึ้งตะลึง และคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นเทิ้มก็คือผู้เฒ่าคนฟ้าที่เฝ้าพิทักษ์ประตูเมืองแห่งนี้ เขารู้สึกเพียงว่าการหายใจเป็นไปอย่างยากลำบาก ในใจมีคลื่นลูกยักษ์โถมกระหน่ำ เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน คำตอบที่ก่อนหน้านี้เขาคาดการณ์ไม่ถึง ซึ่งต่อให้เป็นตอนนี้ก็ยังไม่อยากจะเชื่อกลับยังคงผุดขึ้นมาในสมองอย่างบ้าคลั่ง!

“เทียน…เทียนจุน…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!