Skip to content

A Will Eternal 1102

บทที่ 1102 เขาคือป๋ายเสี่ยวฉุน

นอกประตูเมืองนครเขตการปกครองหลัก

หัวสมองของทุกคนที่อยู่รอบด้านว่างเปล่า ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเชื่อทุกสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่ในเวลานี้

ในสายตาของพวกเขาก็คือภาพของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างประตูเมืองราวกับทวยเทพองค์หนึ่งซึ่งทำให้ทุกผู้คนที่ได้เห็นจิตวิญญาณสั่นคลอน ลมหายใจติดขัด

ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตบพวกทหารยามก่อกำเนิดหลายคนไปก่อนหน้านี้ พวกเขาก็หวาดผวาอยู่ในใจแล้ว เพราะเดาออกว่าอีกฝ่ายคือยอดฝีมือคนหนึ่ง

และเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนตบฉาดจนผู้เฒ่าคนฟ้าลงไปคุกเข่ากองอยู่กับพื้น ทุกคนก็สูดลมหายใจดังเฮือก พวกเขาตระหนักได้ว่าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง!

แต่ที่ตามมาติดๆ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนตบคนฟ้าห้าคนและก่อกำเนิดอีกกลุ่มหนึ่งจนไปคุกเข่ากองอยู่กับพื้นเรียงตัว ทุกคนก็ยืนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น แต่ต่อให้เป็นเวลานี้ พวกเขาก็ยังคิดอยู่ในใจว่าอย่างมากป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นแค่ครึ่งเทพเท่านั้น ไม่คิดเลยแม้แต่น้อยว่า…ป๋ายเสี่ยวฉุนคือเทียนจุน…เพราะอย่างไรซะเทียนจุนก็มีน้อยเกินไป ตอนนี้ตลอดทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ยังมีอยู่แค่สิบสองคนเท่านั้น!

จนกระทั่ง…พระยาจื่อหลินลงมือ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงตบอีกฝ่ายอย่างไม่มีละเว้น!

เมื่อพระยาจื่อหลินโดนตบจนลงไปนั่งคุกเข่าอยู่นอกประตูเมืองพร้อมๆ กับคนอื่น ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็รู้สึกเหมือนสมองระเบิดดังอึกทึกไร้ที่สิ้นสุด ราวกับมีอสนีนับล้านเส้นผ่าลงมาพร้อมๆ กัน จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนมาเป็นความว่างเปล่าขาวโพลน…พวกเขาไม่กล้าคิด ไม่กล้าใคร่ครวญ ทุกอย่างที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ล้วนไม่มีอะไรที่ไม่เป็นพยานในความตื่นตะลึงที่ยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิตของพวกเขา!

จนกระทั่ง…ได้ยินเสียงพึมพำคล้ายเสียงสะอื้นที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังจากปากของคนฟ้าที่เฝ้าหน้าประตูเมืองซึ่งดังก้องไปสี่ทิศท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงนี้จึงเป็นประหนึ่งสายฟ้าที่ระเบิดครืนครั่นอยู่ข้างหูของทุกคน ราวกับจะปลุกให้ทุกคนที่อึ้งค้างฟื้นตื่น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงสูดลมหายใจจากคนนับไม่ถ้วน…

“เทียน…เทียนจุน…”

“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…”

“หรือว่าข้ากำลังฝันไป จึงเห็นภาพลวงตา ข้าถึงได้เห็นเทียนจุนท่านหนึ่ง!!”

เสียงฮือฮาดังอื้ออึง หลังจากความกดดันในชั่วเวลาสั้นๆ ผ่านพ้นไป เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจก็พลันระเบิดดังเซ็งแซ่

ตามหลังเสียงนั้นก็คือจิตใจของทุกคนที่อยู่นอกประตูเมืองล้วนสั่นสะท้าน พวกทหารรวมโอสถที่พอตระหนักได้ถึงตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตกใจจนเป็นลมหมดสติไปทันที

แม้แต่พวกลูกน้องของพระยาจื่อหลินก็ยังหน้าซีดขาวไร้สีเลือด แต่ละคนเหงื่อแตกพลั่ก สายตาที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนแฝงไว้ด้วยความตะลึงพรึงเพริดและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ที่มากกว่านั้นคือความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

“เขา…เขาคือเทียนจุน…”

“สมควรตายนัก หากเจ้าเป็นเทียนจุนก็ควรจะรีบพูดสิ เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย!!”

ขณะที่จิตใจของคนเหล่านี้กำลังคลุ้มคลั่ง คนที่หัวใจแหลกสลายยิ่งกว่าพวกเขาก็คือพระยาจื่อหลิน หน้าเขากลายมาเป็นสีแดงแปร๊ด นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง ความขมขื่นในใจแผ่ลามไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด

หากจะบอกว่าคนอื่นยังมีความลังเลและไม่แน่ใจอยู่บ้าง ถ้าเช่นนั้นในฐานะที่เป็นครึ่งเทพขั้นสมบูรณ์แบบ เผชิญกับฝ่ามือนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเอง

พระยาจื่อหลินกลับมั่นใจในตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเต็มร้อย!

มีเพียงเทียนจุนเท่านั้นถึงจะเผชิญหน้ากับก่อกำเนิด คนฟ้าหรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพได้อย่างง่ายดายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ เพราะเพียงแค่อีกฝ่ายยกมือข้างเดียวก็เหมือนสามารถค้ำยันท้องฟ้า กดกำราบให้ทุกคนนั่งคุกเข่ากันอยู่ตรงนั้นได้โดยตรง!

และหลังจากที่แน่ใจในตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญถึงตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกเลย เพราะทุกอย่างนั้นกระจ่างแจ้งชัดเจนในชั่วพริบตา

เพราะอย่างไรซะ…เรื่องที่จักรพรรดิเซิ่งแต่งตั้งราชาทงเทียนป๋ายเสี่ยวฉุนให้มาเป็นเทียนจุนผู้พิทักษ์ดินแดนเซียนแห่งที่สองก็แพร่มาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว และเทียนจุนคนอื่นๆ ของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง พระยาจื่อหลินก็เคยพบหน้ามาหมดแล้ว มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่เพิ่งเลื่อนขั้นเมื่อไม่นานมานี้ เขาจึงแค่เคยได้ยินชื่อของอีกฝ่าย แต่ไม่เคยได้เห็นตัวเป็นๆ

เมื่อเบาะแสทุกข้อมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน หัวใจของพระยาจื่อหลินก็แทบจะแหลกสลาย ราวกับดื่มน้ำดีขมปร่าเข้าไปอึกใหญ่ ความรู้สึกขมขื่นจึงลุกลามไปทั่วทุกอณูจากทั้งในและนอกร่างกาย

“จื่อหลิน…คารวะ ราชาทงเทียน!” พระยาจื่อหลินยิ้มขื่น ขาทั้งคู่ไร้ความรู้สึกไปอย่างสิ้นเชิง แต่กลับกัดฟันหันไปคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน

คำพูดของพระยาจื่อหลินทำให้ทุกคนที่กำลังฮือฮาเงียบกริบไปในบัดดล สายตาของทุกคนล้วนไปรวมกันอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ไม่นานเสียงอุทานแตกตื่นที่ดังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ก็ระเบิดขึ้นอีกคำรบ

“ราชาทงเทียน เขาคือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

“เทียนจุนคนที่สิบเอ็ด ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

“ผู้ที่มาจากทงเทียนอย่าง…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

ท่ามกลางเสียงร้องอุทานดังระงมจากทุกคนที่อยู่รอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ข้างประตูเมือง มองทุกคนที่นั่งคุกเข่าเรียงกันอยู่ตรงหน้าด้วยความเสียดายอยู่ในใจ ครุ่นคิดถึงความต้องการดั้งเดิมของตัวเองที่คิดจะถ่อมตัว แค่อยากจะเข้าเมืองไปง่ายๆ ก็เท่านั้น ทว่าคนของที่นี่ดันไม่ให้ตนเข้าไป ไม่ให้เข้าก็ยังพอว่า แต่นี่กลับยังลงไม้ลงมือกับตน นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเดือดดาลไม่น้อย

ยามนี้พอได้ยินพระยาจื่อหลินเอ่ยตัวตนของตัวเองออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะอันที่จริงหากตอนนี้พระยาจื่อหลินยังไม่รู้อีกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือใคร นั่นกลับจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเสียมากกว่า

“รู้ตัวตนของข้าผู้เป็นราชา แต่กลับยังกล้าลงมือกับข้า พระยาจื่อหลิน เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่อีกฝ่าย เขารู้สึกว่าแผนการถ่อมตัวของตัวเองถูกพวกคนที่อยู่เบื้องหน้าทำลายจนพังยับเยิน โดยเฉพาะพระยาจื่อหลินผู้นี้ แอบพูดกับตัวเองว่าหากคนผู้นี้มาถึงเร็วกว่านี้สักหน่อยหรือสายกว่านี้สักนิด รอจนตนเข้าเมืองไปแล้ว ทุกอย่างย่อมไม่เป็นอย่างในตอนนี้แน่นอน

“ราชาทงเทียนโปรดระงับความโกรธ…” พระยาจื่อหลินอยากจะอธิบาย แต่กลับเข้าใจดีว่าตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ตนจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับความผิด ทว่าในใจกลับเคียดแค้นป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างลึกซึ้ง กระนั้นก็ไม่กล้าแสดงออกมา ได้แต่แอบกัดฟันอยู่กับตัวเอง

“เทียนจุนอย่างพวกเจ้า…ช่างชอบเล่นสนุกซะจริงๆ …”

พระยาจื่อหลินคลุ้มคลั่งอยู่ในใจ รู้สึกว่าตัวเองดวงซวยยิ่งนัก แต่คนที่คิดว่าตัวเองซวยยิ่งกว่ากลับเป็นคนฟ้าที่เฝ้าประตูคนนั้น ยามนี้เขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง รู้สึกเพียงว่าโลกเบื้องหน้าพลิกคว่ำคะมำหงาย ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าจึงเผยความวิงวอนอย่างห้ามไม่ได้

และเวลานี้เอง ทุกคนในเมืองที่ก่อนหน้านี้ได้รับสัญญาณเตือนจากเขาก็ทะยานออกมาจากกลางเมืองอย่างรวดเร็ว ตัวคนยังไม่ทันมาถึง เสียงกลับนำมาก่อนแล้ว

“ใครรนหาที่ตาย!”

“บังอาจบุกเข้ามาในนครของเขตการปกครองหลัก ช่างสามหาวยิ่งนัก!”

“ยังไม่คุกเข่าลงอีก!!”

คนที่มาคือนักพรตทั้งหมดแปดคน ชายห้าหญิงสาม ตบะล้วนเป็นคนฟ้าขั้นสมบูรณ์แบบ เมื่อทะยานมาถึง เงาร่างของคนทั้งแปดก็พลิ้วกายลงต่ำ เสียงยังดังกึกก้องไปทั่วทิศ

พอมองเห็นพวกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่นอกประตูเมืองอย่างชัดเจน คนทั้งแปดก็พลันเดือดดาล แต่ไม่นานพวกเขาก็มองเห็นพระยาจื่อหลินที่นั่งคุกเข่ารวมอยู่ด้วย การค้นพบนี้คล้ายน้ำเย็นเฉียบที่ราดรดลงมาบนหัวของพวกเขา คนทั้งแปดสะดุ้งโหยง แล้วก็ไม่กล้าขยับเข้าใกล้ แต่ถอยกรูดออกห่างอย่างว่องไว ตอนที่ยืนมองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่กลางอากาศ สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงไม่แน่ใจ ในใจหวาดผวาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว เงยหน้ามองคนทั้งแปด ในใจก็ใคร่ครวญว่าควรจะกระชากแปดคนนี้ให้ร่วงลงมาดีไหม และเมื่อความคิดของเขาเปิดเผยออกมาทางสายตา คนฟ้าแปดคนที่อยู่กลางอากาศพลันหน้าเปลี่ยนสี ถอยกรูดไปข้างหลังอีกครั้งทันที ทั้งแต่ละคนยังรีบหยิบแผ่นหยกออกมาบีบให้แตก

และชั่วขณะที่พวกเขาบีบแผ่นหยกนั้นเอง ในนครของเขตการปกครองหลักก็พลันมีอำนาจจิตที่แข็งแกร่งจนคล้ายจะสามารถบดขยี้ทุกสรรพชีวิตในนครแผ่ครืนครั่นออกมา

อำนาจจิตนี้เป็นดั่งพายุบ้าระห่ำที่คล้ายจะพลิกตลบฟ้าดิน เมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้ว คนฟ้าก็ราวกับมดตัวหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพที่มาอยู่ต่อหน้าอำนาจจิตนี้ก็เหมือนกลายมาเป็นแมวเป็นหมาตัวหนึ่งที่โดนปราบพยศลงได้อย่างง่ายดาย!

จิตใจของนักพรตทุกคนตลอดทั้งนครพลันสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ร่างสั่นเทิ้ม ตบะถูกกดอัด แม้แต่ความคิดก็คล้ายจะหยุดชะงักตามไปด้วย

ทุกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูเมืองก็เป็นเช่นเดียวกัน ร่างของพระยาจื่อหลินสั่นเทา ในฐานะที่เขาเป็นญาติกับเทียนจุนวิเศษกาลนาน แล้วมีหรือจะจำอำนาจจิตของอีกฝ่ายไม่ได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นแค่เดาก็รู้ได้ คนที่จะมีพลังอำนาจจิตแบบนี้ ในนครแห่งนี้ก็มีอยู่แค่ท่านเดียวเท่านั้น!

โลกทั้งใบสั่นสะเทือน ฟ้าดินบิดเบือน ทุกชีวิตก้มหน้าลงต่ำ

มีเพียง…ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างประตูเมืองเท่านั้นที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ จากพายุอำนาจจิตนี้ เขาเงยหน้ามองไปยังทิศทางที่อำนาจจิตถูกส่งออกมาจากในนคร หลังจากสัมผัสได้ถึงความไม่สบอารมณ์ในอำนาจจิตนั้น เขาก็ถอนหายใจหนึ่งที

“ข้าผู้แซ่ป๋าย คารวะสหายนักพรตวิเศษกาลนาน”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบไปนานพอสิบกว่าลมหายใจ น้ำเสียงเย็นชาถึงได้ค่อยๆ ดังออกมาท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้

“วิธีการมาเยือนของสหายนักพรตป๋ายช่างไม่เหมือนใครจริงๆ ทหาร จงไปต้อนรับราชาทงเทียน ป๋ายเสี่ยวฉุน!”

ทุกคำของเทียนจุนวิเศษกาลนานที่ดังออกมาปานประหนึ่งอสนีบาตที่มาระเบิดอยู่ในนครแห่งนี้ ไม่นานก็มีเงาร่างมากมายบึ่งจากในนครมุ่งหน้ามาที่นี่!

เงาร่างเหล่านั้นก็คือผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพสิบท่านที่มีตำแหน่งสำคัญของนครหลักแห่งนี้ ซึ่งทุกคนล้วนพากันบินมายังประตูเมืองทั้งหมด!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!