บทที่ 1103 ถ่อมตัวต่อไป
ไม่นานพวกครึ่งเทพสิบท่านที่มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญซึ่งเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเทียนจุนวิเศษกาลนานในนครของเขตการปกครองหลักแห่งนี้ก็ได้บินทะยานเป็นรุ้งยาวมาถึงนอกประตูเมือง
สิบคนที่มามีชายเจ็ดหญิงสาม มีทั้งผู้เฒ่า มีทั้งวัยกลางคน แล้วก็มีทั้งสตรีหน้าตางดงาม แต่ละคนที่พอมาถึงล้วนมีสีหน้าเครียดขรึม พอหันไปเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน สายตาของแต่ละคนก็ฉายความประหลาดใจ พากันปรี่ขึ้นหน้า ไม่แม้แต่จะปรายตามองพวกพระยาจื่อหลินที่อยู่ตรงนั้น เพียงหันไปคารวะโค้งตัวต่ำๆ ให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“คารวะราชาทงเทียน!”
การคารวะของพวกเขาครั้งนี้เหมือนจะทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านฟื้นตื่นขึ้นมาจากความมึนงง แต่ละคนหายใจถี่กระชั้น นั่นเป็นเพราะเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคนไปอย่างสิ้นเชิง
ท่ามกลางการจับจ้องของคนมากมาย ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบถอนหายใจอยู่ในใจ เข้าใจทุกอย่างชัดแจ้งดีว่าเขาในเวลานี้ไม่ใช่นักพรตตัวเล็กๆ ที่เพิ่งย่างก้าวเข้ามาในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอีกแล้ว เขาที่มีฐานะเป็นเทียนจุน ไม่พูดว่าสามารถมองใจคนออกได้ทั้งหมด แต่ก็พอจะคาดเดาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน
ครึ่งเทพสิบคนที่อยู่ตรงหน้านี้อาจมองดูเหมือนเคารพนับถือเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วดูจากคำเรียกขานของพวกเขาก็พอจะมองท่าทีของพวกเขาออกได้ ต่อให้พิธีการต้อนรับจะยิ่งใหญ่สักเพียงใด แต่ก็มิอาจปกปิดความเป็นปฏิปักษ์ที่มาจากคนของนครของเขตการปกครองหลักแห่งนี้ไปได้
ไม่นานก็มีคนฟ้าจำนวนมาก รวมไปถึงทหารนักพรตที่เกินหลายหมื่นคนพากันเร่งรุดเดินทางมา ใช้เวลาที่เร็วที่สุดในการจัดแถวเรียงขบวนทั้งในและนอกประตูเมือง ทั้งยังมีเสียงระฆังดังกังวานไปแปดทิศ
เหล่านักพรตที่มาต้อนรับห้อมล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้เบื้องหน้าด้วยความเคารพนอบน้อมไปตลอดทาง และในที่สุดก็เดินผ่านประตูเมืองเข้าไป
ส่วนพระยาจื่อหลินที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกก็ยังไม่มีใครเข้าไปประคอง เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ แต่ความเกรงอกเกรงใจภายนอกกลับไม่ควรขาด
พระยาจื่อหลินที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนลงโทษด้วยตัวเองย่อมไม่มีใครมาแสดงความเป็นมิตรด้วยในเวลานี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากล่วงเกินคนใหญ่คนโตทั้งนั้น
แล้วก็เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางการต้อนรับที่มองดูเหมือนจะเอิกเกริกแต่ไม่แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นใดๆ นี้ นักพรตของทั้งหมดล้วนจิตใจสั่นคลอน ทอดสายตามองมาไกลๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินผ่านประตูเมืองไปได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งมาถึงจวนที่หรูหรามากแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของนครเขตการปกครองหลัก
จวนนี้ใหญ่นับหมื่นจั้ง ด้านในมีภูเขาจำแลงอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ลานของจวนกว้างขวาง ทั้งยังมีธารน้ำและสะพานเล็กๆ ทอดผ่าน ระเบียงเรียงตัวเป็นแนวยาวลดเลื้อยงดงาม ตลอดทั้งจวนแผ่พลานุภาพน่ากริ่งเกรง ทั้งยังมีปราณวิญญาณเข้มข้นไหลเวียนอยู่ด้านในราวกับว่ามีค่ายกลใหญ่โอบล้อม ซึ่งค่ายกลนั้นคอยดึงเอาพลังจากใต้ดินของดินแดนเซียนแห่งที่สองมาเลี้ยงบำรุง สภาพด้านในจวนและโลกภายนอกจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทั้งยังมีนักพรตชายหญิงอีกนับพันคนที่ยืนรออยู่นอกจวนด้วยท่าทางพินอบพิเทา ซึ่งนับแต่นี้ไปคนเหล่านี้จะกลายมาเป็นเป็นข้ารับใช้ของป๋ายเสี่ยวฉุน คอยดูแลรับผิดชอบการกินการอยู่ในชีวิตประจำวันของป๋ายเสี่ยวฉุน ในบรรดาพวกเขา ชายก็หล่อเหลา หญิงก็หน้าตางดงามหมดจด ไม่ว่าใครก็ดูเพลินตาน่ามอง
การต้อนรับเช่นนี้ ความหรูหราเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหาข้อติไม่เจอเลยแม้แต่น้อย และจวนที่เป็นแบบนี้ ในนครแห่งนี้ยังมีอีกสองแห่ง จวนหนึ่งเป็นของป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนอีกจวนหนึ่ง…มีปราณวิญญาณเข้มข้นยิ่งกว่าที่นี่ ทั้งยังเป็นตัวแทนถึงอำนาจสูงสุดของดินแดนเซียนแห่งที่สอง ซึ่งก็คือจวนของเทียนจุนวิเศษกาลนาน!
ยังดีที่ที่พักของคนทั้งสองห่างจากกันไม่ไกลนัก อีกทั้งยังพอจะมองเห็นกันได้ไกลๆ อีกด้วย
หลังจากที่นักพรตผู้สูงศักดิ์ของนครแห่งนี้มาส่งป๋ายเสี่ยวฉุนถึงจวนด้วยความเคารพและเกรงใจแล้วก็พากันบอกลาจากไป ซึ่งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เทียนจุนวิเศษกาลนานก็ยังไม่ปรากฏตัว เพียงแค่แผ่อำนาจจิตออกมาแล้วพูดประโยคนั้นตอนช่วงแรกเริ่มสุดเท่านั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีอยู่แก่ใจ นี่คือการแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยินดีต้อนรับตน ขณะเดียวกันก็เข้าใจดีว่าเดิมทีอีกฝ่ายเป็นใหญ่อยู่ในดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้มายาวนาน ตอนนี้พอตนมาจึงกลายว่ามีผู้เป็นใหญ่ถึงสองคน ภายใต้การช่วงชิงอำนาจย่อมต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรู้ชัดเจนดีว่า เทียนจุนวิเศษกาลนานผู้นี้เฝ้าพิทักษ์ดินแดนเซียนแห่งที่สองมานานมากแล้ว สามารถพูดได้ว่าคนฟ้าและครึ่งเทพแทบทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นลูกน้องของเขา คนเหล่านั้นล้วนถูกเขาดึงตัวเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นจากเดิม แทนที่จะพูดว่าที่นี่คือดินแดนเซียนแห่งที่สองของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง ก็ไม่สู้พูดว่า…
ที่นี่คือถิ่นฐานอันเป็นปราการที่แข็งแกร่งของเทียนจุนวิเศษกาลนานยังจะถูกต้องเสียกว่า!
ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นคนนอก ต่อให้ตำแหน่งและฐานะจะเท่าเทียมกับเทียนจุนวิเศษกาลนาน
แต่เขาก็เข้าใจดีว่าหากตัวเองสร้างเรื่องหายนะอย่างที่ทำตอนอยู่ในนครจักรพรรดิเซิ่ง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เทียนจุนวิเศษกาลนานผู้นี้ย่อมไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ แน่
“เอาเถอะ เดิมทีข้าก็คิดไว้ว่าจะทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ล้วนต้องไปพึ่งพาคนอื่น ตอนนี้ก็ถือว่าข้าเป็นนายของที่นี่ครึ่งหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่กุมอำนาจได้จัดการเรื่องราว…แต่ก็ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องข้า”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ พอครุ่นคิดแล้วก็ตัดสินใจว่าตนจะไม่ไปช่วงชิงอำนาจที่ควรเป็นของตนในดินแดนเซียนแห่งที่สองนี้อีก แต่จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ตั้งใจฝึกตนให้ดี
“นักพรตทงเทียน ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะต้องสังหารเจ้าเป็นครั้งที่สองให้จงได้!”
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายลุกเรือง นี่คือเหตุผลสำคัญที่นอกจากจะเป็นการมอบคุณสมบัติในการเลือกให้แก่นักพรตของโลกทงเทียนแล้ว อีกด้านหนึ่งก็เป็นแรงผลักดันในการฝึกตนของเขาด้วย
เมื่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สงบใจลงได้ เขาอยู่อาศัยในจวนที่แม้จะใหญ่โต แต่เมื่อมีข้ารับใช้นับพันมาอยู่ด้วยก็ถือว่าพอเหมาะพอดี และไม่นานเวลาก็ผ่านไปได้ครึ่งเดือน
ครึ่งเดือนมานี้แทบจะไม่มีใครมาเยี่ยมเยือนเขา ส่วนเทียนจุนวิเศษกาลนานนั้นก็ยิ่งไม่เคยติดต่อพูดคุยกัน ราวกับว่าทุกคนล้วนจงใจมองเมินการมีตัวนของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไรอย่างนั้น สำหรับเรื่องราวในชีวิตประจำวันทั้งหมดของเขาก็ยังคงมีคนรายงานไปให้แก่ครึ่งเทพสิบคนนั้น ซึ่งหลังจากที่พวกเขารวบรวมข้อมูลเรียบร้อยก็จะไปแจ้งให้เทียนจุนวิเศษกาลนานทราบอีกที
สำหรับเรื่องนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ถือสา วันๆ เอาแต่ถือป้ายที่ได้มาจากซากพัดฝึกตนอยู่ในห้องลับ
ไม่นานพวกนักพรตในนครที่เดิมทีกะว่าจะรอชมเรื่องสนุกก็ค่อยๆ หมดความสนใจ แม้แต่นักพรตของเขตการปกครองอื่นในดินแดนเซียนแห่งที่สองก็เริ่มทยอยกันรับรู้แล้วว่าหากว่ากันในบางระดับ ราชาทงเทียนที่เพิ่งมาถึงผู้นี้ก็คล้ายจะยอมอ่อนข้อให้แก่เทียนจุนวิเศษกาลนาน
ผลพลอยได้จากการทำเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือไม่ว่าเขาต้องการอะไร ขอแค่เอ่ยปากก็จะมีคนมาส่งให้ทันที ด้วยตัวตนเทียนจุนของเขา ในด้านของการฝึกตนจึงคล้ายจะได้รับการตอบสนองความพึงพอใจได้มากที่สุด
ทุกอย่างเหมือนจะสงบและเป็นสุขดี สำหรับดินแดนเซียนแห่งที่สองแล้ว มีหรือไม่มีป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็พอใจกับความสงบสุขของตัวเอง จมจ่อมอยู่กับการศึกษาแผ่นป้าย ทุกวันจะต้องดูดซับเอาปราณจากในแผ่นป้ายมา ความเร็วในการฝึกตนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็มีโอสถเซียน หญ้าวิเศษจำนวนมากที่ถูกเขาใช้ตัวตนเทียนจุนเรียกร้องเอามาเพิ่มตบะของตัวเอง
อีกทั้งเมื่อมีเวลาว่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะเริ่มศึกษาการหลอมไฟ พยายามหาของมาทดแทนการหลอมไฟในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้ เรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก และเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญศึกษา เขาก็เจอคำตอบ
ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมีวัฏจักรสังสารที่สมบูรณ์แบบ คิดจะหาวิญญาณมาเป็นเรื่องที่ยากมากเกินไป และสิ่งของทดแทนก็มีไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่เรียกว่าหินวิญญาณหรือเชื้อเพลิงหายากบางอย่างที่พอนำมาปรับเปลี่ยนก็ล้วนสามารถเอามาทำเป็นไฟหลายสีได้
อันที่จริงไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ อาจารย์หลอมวิญญาณทุกคนที่มาจากแดนทุรกันดารซึ่งพอมาอยู่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ส่วนพวกจางต้าพั่งนั้นก็ใช้วิธีการในทำนองเดียวกันนี้
ข้อดีของการทำเช่นนี้ก็คือจะทำให้การหลอมพลังจิตง่ายดายมากขึ้น เพราะอย่างไรซะวัตถุดิบก็มีมากพอ แต่ข้อเสียก็มีอยู่เหมือนกัน นั่นคือพอหลอมพลังจิตได้สักเจ็ดแปดครั้ง คิดจะหาไฟหลายสีมาเพิ่ม ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยโชควาสนา
เพราะอย่างไรซะที่การหลอมพลังจิตของแดนทุรกันดารในปีนั้นมีความพิเศษเฉพาะตัวก็เพราะมีความเกี่ยวพันทางตรงกับการหลอมวิญญาณให้กลายมาเป็นไฟ
“น่าเสียดายที่ไม่มีวิญญาณมากพอ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหน้า มองหลังมือของตัวเองที่มีรอยแผลเป็นจากการเผาไหม้ของดวงวิญญาณป๋ายฮ่าว ป๋ายฮ่าวยังคงหลับสนิท ยังไม่ฟื้นตื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าดูเหมือนจะมีแค่การหลอมไฟเท่านั้นถึงจะมีโอกาสทำให้ป๋ายฮ่าวฟื้นตื่นขึ้นมาได้
แต่ว่าถึงแม้ไฟหลายสีระดับสูงจะหายาก แต่ยาและสมบัติอาคมที่ผ่านการหลอมพลังจิตเจ็ดแปดครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังหลอมออกมาได้ไม่น้อย แม้แต่กระบี่ใหญ่สายเหนือก็ยังถูกเขาจับมาหลอมพลังจิตรอบหนึ่งด้วย
เดิมทีป๋ายเสี่ยวฉุนนึกว่าช่วงเวลาต่อไปหลังจากนี้ตนจะมีเวลาอีกมากให้ใช้หมดไปกับเรื่องนี้ จนกระทั่งผ่านไปได้สามเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฝึกตนไปพร้อมกับการศึกษาแผ่นป้ายกลับได้ยินเสียงระฆังดังก้องกังวานอยู่ในนครอย่างกะทันหัน!
เสียงระฆังนี้ดังถี่เร่งร้อน กึกก้องไปสี่ด้านแปดทิศทั่วทั้งนคร ขณะเดียวกันก็มีเสียงอุทานวุ่นวายโกลาหลดังออกมาพร้อมๆ กันจากในหลายๆ สถานที่
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อึ้งงัน ลืมตาขึ้นแล้วเดินออกมาจากห้องลับ ทันใดนั้นก็มีนักพรตที่เป็นข้ารับใช้ของเขาวิ่งพรวดเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าลนลาน พอเห็นหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบคารวะทันที
“ใต้เท้า เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน เขตการปกครองแห่งสุดท้ายของทางทิศเหนือถูกเทียนจุนมารดาผีแห่งราชวงศ์จักรพรรดิแสพากองทัพใหญ่ของราชวงศ์จักรพรรดิแสบุกมาโจมตีด้วยตัวเอง!”
“นับแต่นี้ไป…ห้าเขตการปกครองของทิศเหนือในดินแดนเซียนจะถูกแบ่งแยกจากราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งของพวกเราอย่างสิ้นเชิง!”
“สงคราม กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!” ด้วยความตื่นตระหนก เสียงของนักพรตข้ารับใช้คนนี้จึงสั่นตามไปด้วย ราวกับว่าตัวคนพูดสิ้นหวังเต็มที