บทที่ 1104 รังแกกันมากเกินไปแล้ว
“ลนลานอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่ ทำเอานักพรตข้ารับใช้คนนั้นใจสั่น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็รีบพยายามบังคับให้ตัวเองสงบอารมณ์ลง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เห็นรู้สึกว่านี่คือเรื่องใหญ่โตอะไร ราชวงศ์จักรพรรดิแสจะเปิดศึกกับราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่หากถามความรู้สึกของเขา เขาคิดว่าในเวลาสั้นๆ นี้ทั้งสองราชวงศ์ไม่มีทางที่จะเปิดศึกต่อกัน
หากไม่มีศัตรูตัวฉกาจมารออยู่ตรงหน้าก็ว่าไปอย่าง แต่ยักษ์ผู้บงการที่อยู่บนท้องฟ้าไม่ได้เป็นแค่ตำนาน เขายืนอยู่ข้างนอกนั่นจริงๆ เมื่ออยู่ภายใต้ภูมิหลังเช่นนี้ สองราชวงศ์จะเปิดศึกกันง่ายๆ ได้อย่างไร
นอกจากนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังรู้สึกว่าทิศเหนือของดินแดนเซียนแห่งที่สองก็เสียเขตการปกครองไปถึงสี่แห่งแล้ว จะช้าหรือเร็วก็ต้องเสียเขตการปกครองสุดท้ายนี้ไปอยู่ดี นี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจอะไร เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องอย่างการเสียเขตการปกครองไปนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ดังนั้นพอความขัดแย้งครั้งนี้เกิดขึ้น ทุกคนจึงหวาดหวั่นขลาดกลัว
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ไม่นานการวิเคราะห์ของเขาก็ได้รับการยืนยันว่าถูกต้อง เพราะหลังจากที่เทียนจุนมารดาผีแห่งยึดเขตการปกครองสุดท้ายนั่นไปก็ไม่ได้เปิดฉากทำสงครามต่อ ทั้งยังไม่ค่อยจะฆ่าใครสักเท่าใด นางเพียงแค่ขับไล่นักพรตรวมไปถึงครึ่งเทพที่อยู่ที่นั่นให้กลับไปยังถิ่นของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งทั้งหมดเท่านั้น
“กงซุนหว่านเอ๋อร์มาที่นี่ได้อย่างไร?”
สำหรับเรื่องสงครามแบบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ เขาแค่อยากรู้ถึงจุดประสงค์การมาเยือนของกงซุนหว่านเอ๋อร์ และทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่ตนเปลี่ยนตัวมารดาผีให้เป็นกงซุนหว่านเอ๋อร์ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกลำพองใจอย่างยิ่ง เพราะเมื่อจักรพรรดิแสรู้เรื่องนี้ก็ต้องเสียอารมณ์สุดขีดเหมือนกัน
แม้ว่ามารดาผีและกงซุนหว่านเอ๋อร์จะเป็นคนคนเดียวกัน แต่อันที่จริงกลับมีความต่างที่เห็นได้ชัด มารดาผีซื่อสัตย์ต่อจักรพรรดิแส จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ต่อให้กงซุนหว่านเอ๋อร์จะเหี้ยมเกรียมไม่ต่างกัน แต่จะอย่างไรซะในเรื่องความสัมพันธ์เก่าก่อนนางกลับมีความเกี่ยวข้องกับป๋ายเสี่ยวฉุนมากกว่า
“แล้วก็เขตการปกครองแห่งสุดท้ายนี่ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกคุ้นๆ นักนะ…” หลังจากคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับกงซุนหว่านเอ๋อร์อยู่พักหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไพล่นึกไปถึงเรื่องของเขตการปกครองในทิศเหนือแห่งนี้ ครู่หนึ่งเขาก็พลันยิ้มร่า
“นั่นมันเขตการปกครองของพระยาจื่อหลินไม่ใช่หรือ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกออกแล้วว่าพระยาจื่อหลินก็คือต้าจุนของเขตการปกครองทิศเหนือ และเรื่องเกี่ยวกับพระยาจื่อหลิน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคยให้ความสนใจอยู่ช่วงหนึ่ง วันนั้นหลังจากที่เขาตบพระยาจื่อหลินให้นั่งคุกเข่าอยู่นอกประตูเมือง หลายวันต่อมาเทียนจุนวิเศษกาลนานก็ออกคำสั่งให้ส่งตัวเขากลับออกไปจากนครหลักของเขตการปกครอง
สำหรับเรื่องนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองออกถึงท่าทีของเทียนจุนวิเศษกาลนาน มองภายนอกอาจเหมือนอีกฝ่ายเห็นแก่ความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ในความเป็นจริงแล้ว…ความเกลียดชังที่พระยาจื่อหลินมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเพิ่มพูนลึกซึ้งมากขึ้นในทุกๆ วันที่ผ่านพ้นไป
ส่วนครึ่งเทพของเขตการปกครองแห่งอื่น อารมณ์ที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นศัตรูที่พวกเขามีร่วมกันก็ยิ่งลึกล้ำเหนียวแน่น
เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เขาไม่มีอารมณ์มาสนใจอำนาจของตัวเองที่นี่จริงๆ แล้วก็ไม่อยากไปทำเรื่องเล็กๆ กระจอกงอกง่อยพวกนั้นด้วย ในสายตาของเขา ตนคือคนที่ทำเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้น แล้วมีหรือจะมัวมาวุ่นวายอยู่กับเรื่องวางแผนแย่งชิงอำนาจเช่นนี้
“หึ ตอนนั้นที่ข้าอยู่ในแดนทุรกันดาร เคยถูกคนขนานนามว่าขุนนางอำมหิตดุจพิษร้าย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งพลางสะบัดปลายแขนเสื้อ ไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างนอกอีก แต่หมุนกายกลับเข้าไปในห้องลับแล้วเริ่มฝึกตนอีกครั้ง
หลายวันต่อมา เมื่อเรื่องการสูญเสียเขตการปกครองแห่งสุดท้ายของทิศเหนือกลายมาเป็นเรื่องจริง ราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งและราชวงศ์จักรพรรดิแสก็เริ่มอภิปรายและถกเถียงกัน สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าเหล่าผู้คนในดินแดนเซียนแห่งที่สองจะยอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว ทุกอย่างจึงเริ่มกลับคืนสู่ความสงบสุขเป็นปกติอีกครั้ง
เที่ยงวันของวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับพลันหยิบแผ่นหยกส่งข้อความเสียงออกมา พอกวาดอำนาจจิตมองไป ดวงตาของเขาก็ฉายความปิติยินดี รีบออกจากด่าน ปรี่ไปที่หน้าประตูใหญ่ แล้วก็ได้เห็นชายร่างสูงใหญ่ราวขุนเขาที่ยืนสง่าอยู่ตรงนั้นอย่าง ราชาผียักษ์!
“พี่ผียักษ์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่า รุดเข้าไปกอดราชาผียักษ์ พอมาอยู่ที่นี่เขาก็รีบติดต่อไปหาราชาผียักษ์ทันที ตอนนั้นราชาผียักษ์ก็ปลาบปลื้มดีใจอย่างยิ่ง แต่เป็นเพราะเขตการปกครองที่เขาอยู่ห่างจากนครหลักไปไกลโข ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นต้าจุนของเขตการปกครองแห่งนั้น เขาจึงไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ง่ายๆ นั่นถึงเป็นเหตุให้ไม่ได้มาพบหน้าอีกฝ่ายทันที และป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ถูกดึงดูดด้วยการศึกษาและการวิจัยแผ่นป้าย เดิมทีจึงคิดว่าจะรอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนค่อยไปหาราชาผียักษ์
ตอนนี้พอเห็นราชาผียักษ์มาหา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงระคนยินดี ทว่าเมื่อเจอกับความกระตือรือร้นของป๋ายเสี่ยวฉุน ราชาผียักษ์กลับลังเลไปครู่ ก่อนจะเค้นรอยยิ้มออกมา อีกทั้งยังไม่แก้ไขคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างที่หาได้ยาก ต้องรู้ด้วยว่าในอดีตหากราชาผียักษ์ได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกตนว่าพี่ เขามักจะต้องถลึงตาใส่อีกฝ่ายแล้วย้ำเตือนว่าตัวเองคือพ่อตาของเขา
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากดึงราชาผียักษ์ไปที่ห้องโถงใหญ่ คนทั้งสองก็นั่งลงพร้อมกัน รอจนข้ารับใช้ยกสุราและผลไม้สดมาให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงไล่ทุกคนออกไป ส่วนตัวเองนั้นยกจอกเหล้าขึ้นหาราชาผียักษ์
“ท่านพ่อตา ลูกเขยดื่มคารวะให้ท่าน!”
พอได้ยินคำเรียกขานที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อตน ในใจราชาผียักษ์ก็ให้อุ่นซ่าน ความกลัดกลุ้มในใจคลายลงไปอีกเล็กน้อย เขาทั้งด่าทั้งหัวเราะอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด
คนทั้งสองยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจอกแล้วจอกเล่า
พูดคุยถึงเรื่องราวในอดีต พอพูดไปถึงอำเภอเล็กๆ ของราชวงศ์จักรพรรดิแส พูดถึงแม่หม้ายในอำเภอแห่งนั้น ราชาผียักษ์ก็ค่อยยิ้มออก ไม่นานก็เริ่มพูดถึงวันเวลาของแต่ละคนหลังจากที่เขาออกไปจากนครจักรพรรดิเซิ่ง ราชาผียักษ์ที่อยู่ในเขตการปกครองของตัวเองแทบไม่ต่างอะไรจากจักรพรรดิคนหนึ่ง พอดื่มมากๆ เข้า เขาก็ตบอกตัวเองดังป้าบ
“ข้าจะบอกเจ้าให้นะป๋ายเสี่ยวฉุน พ่อตาของเจ้าที่อยู่ในเขตการปกครองเสินหลัว เรียกได้ว่าเฉียบขาดพูดคำไหนคำนั้น นักพรตหญิงคนใดก็ตามที่หน้าตาหมดจดงดงามซึ่งอยู่ในการปกครอง มีใครบ้างที่จะไม่แอบหวั่นไหวไปกับข้าผู้เป็นราชา”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองราชาผียักษ์อย่างดูแคลน หยิบจอกเหล้าขึ้นมาโดยไม่พูดไม่จา ราชาผียักษ์เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เชื่อจึงเดือดดาลขึ้นมาทันที รีบเปิดปากยกตัวอย่างเล่าเรื่องในเขตการปกครองของตนด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความโอ้อวดและเกินจริง หน้าตาก็บานเป็นกระด้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนรับฟังอยู่ด้านข้าง บางครั้งก็เอ่ยแขวะสองสามคำ ทำเอาราชาผียักษ์ทั้งด่าทั้งขัน ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็เล่าเรื่องตัวเองในนครจักรพรรดิเซิ่งบ้าง เริ่มตั้งแต่เรื่องตกปลา ไปจนถึงเม็ดบัว ดอกบัว รวมไปถึงรากบัว…
แม้ว่าราชาผียักษ์จะเคยได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้มาก่อน แต่พอได้ยินคำอธิบายจากป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ตบโต๊ะติดๆ กัน รู้สึกเพียงว่าไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องกลายมาเป็นเทพโรคห่าที่สร้างหายนะได้แปดทิศเสมอ…
จนกระทั่งถึงช่วงกลางดึก คนทั้งสองดื่มเหล้ากันได้พอประมาณแล้ว ทั้งยังพูดคุยกันได้หลายเรื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองราชาผียักษ์ เขามองสีหน้าอ่อนเพลียซีดเซียวราวกับถูกโจมตีมาอย่างรุนแรงของราชาผียักษ์ออกตั้งแต่แรกแล้ว ยามนี้จึงเอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“ตอนนี้จะพูดได้หรือยัง ท่านพ่อตา ใครรังแกท่าน?”
ราชาผียักษ์ได้ยินอย่างนั้นก็เงียบงัน พักใหญ่ถึงได้หยิบกาเหล้าข้างกายมากรอกอึกๆ ลงคอ พอดื่มเสร็จ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย ครั้นจึงตบโต๊ะอย่างแรง
“รังแกกันมากเกินไปแล้ว!”
“เทียนจุนวิเศษกาลนานผู้นั้นไปจับตัวนักพรตของโลกทงเทียนที่มุ่งหน้าไปยังเขตการปกครองเสินหลัวก็ยังพอว่า ข้าสู้เขาไม่ไหว เลยได้แต่ทน!”
“เขาไม่ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ของคนในเขตการปกครองเสินหลัวข้า ข้าก็ทน!”
“ท่าทีของเขาบอกเป็นนัยให้เขตการปกครองแห่งอื่นลอยแพข้าให้โดดเดี่ยว อีกทั้งทุกครั้งที่เรียกไปประชุมยังตวาดด่าข้าให้อายคน ข้าก็ยังทน!”
“ทว่าตอนนี้ เขามีสิทธิ์อะไร!”
“ไอ้คนขี้ขลาดอย่างพระยาจื่อหลินนั่นทำเขตการปกครองทางทิศเหนือหลุดมือไป พอกลับมาก็ไม่เพียงแต่ไม่ถูกลงโทษ ยังถูกจัดตัวให้มาอยู่ในเขตการปกครองของข้าอีก ได้ ได้เลย เรื่องนี้ข้าจะทนอีกครั้ง!”
“แต่ท่านย่ามันเถอะ ไอ้เทียนจุนวิเศษกาลนานผู้นี้กลับแต่งตั้งให้พระยาจื่อหลินเป็นต้าจุนของเขตการปกครองเสินหลัว แล้วข้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง แต่กลับถูกถอนตำแหน่งต้าจุน กลายมาเป็นรองผู้ช่วยของพระยาจื่อหลิน!”
“เขตการปกครองเสินหลัวข้าทุ่มเทใช้แรงกายแรงใจทั้งหมดไปจัดการดูแล ข้าต้องการสร้างที่นั่นให้เป็นรากฐานของโลกทงเทียนเรา แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว…” ราชาผียักษ์หัวเราะขื่น กำหมัดแน่น เดิมทีเขาไม่อยากพูดเรื่องนี้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นเทียนจุน รากฐานยังไม่มั่นคง ทั้งที่นี่ยังเป็นถิ่นฐานของเทียนจุนวิเศษกาลนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร
หากป๋ายเสี่ยวฉุนรู้เรื่องของตนเข้า เกรงว่าคงก่อให้เกิดข้อพิพาทใหญ่โต เพียงแต่ราชาผียักษ์เองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้มิอาจปกปิดได้ นั่นถึงทำให้เขายอมพูดออกมาเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยถามหลังจากที่พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอแล้ว
ได้ยินคำพูดของราชาผียักษ์ ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มือที่ถือจอกเหล้าคล้ายจะนิ่งค้างไป เพียงแต่ว่าดวงตาของเขากลับค่อยๆ ฉายแสงคมกริบ แสงนั้นยิ่งนานยิ่งลุกโชนจนกระทั่งกลายเป็นเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ดังพรึ่บ
“เสี่ยวฉุน เจ้าอย่าได้วู่วาม” ราชาผียักษ์ผงะตกใจ ทั้งยังเริ่มรู้สึกเสียใจที่เล่าให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟัง จึงรีบพูดปรามทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหน้า สายตามองไปยังที่พักของเทียนจุนวิเศษกาลนานซึ่งอยู่ห่างไปไกล ก่อนที่เปลวเพลิงในดวงตาจะกลายมาเป็นความมืดทะมึน ครั้นจึงเอ่ยเบาๆ
“ท่านพ่อตา เรื่องนี้หากข้าไม่โต้ตอบกลับคืนไปบ้าง ถ้าเช่นนั้นก็พอจะจินตนาการได้เลยว่าวันหน้าทุกคนของโลกทงเทียนที่อยู่ในนครจักรพรรดิเซิ่งจะยิ่งใช้ชีวิตยากลำบากมากกว่าเดิม”
“มารังแกกันถึงบนหัวข้าขนาดนี้ แล้วจะให้ข้าอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร!”