บทที่ 1115 ประตูตามใจปรารถนา
“ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยได้ยินมาว่าตอนที่เทียนจุนมารดาผีถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับตัวไป คล้ายจะเกิดเรื่องบางอย่างที่มิอาจบอกใครได้…ตอนนี้มาลองคิดๆ ดูแล้ว ท่าจะเป็นเรื่องจริง!”
“สวรรค์ หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!!”
“ข้าว่ามีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วน หาไม่แล้ว ทำไมเทียนจุนมารดาผีถึงได้เป็นฝ่ายออกจากนครจักรพรรดิแส มาเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่…”
ขณะที่พวกคนของราชวงศ์จักรพรรดิแสพากันจากไปก็ส่งข้อความเสียงให้แก่กัน แต่ละคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างออกรส…
ไม่ว่าทุกคนจะคาดเดากันเช่นไรหรือส่งความเสียงแบบไหน ทว่าเมื่อพวกเขาจากไปแล้ว เขตการปกครองอวิ๋นไห่แห่งนี้ก็ราวกับถูกปิดผนึก ไม่มีกองหนุนจากเขตการปกครองไหนมาให้ความช่วยเหลืออีก
และศึกระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ได้สยบขวัญกองทัพใหญ่ของนักพรตที่แต่เดิมอยู่ในเขตการปกครองอวิ๋นไห่
เมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสู้กันไปก็ไม่มีความหมายเช่นนี้
เพียงแค่ต้าเทียนซือกับราชาผียักษ์จู่โจมเล็กน้อยก็บุกราบเป็นหน้ากลอง คว้าชัยชนะมาได้อย่างราบรื่น ครึ่งเทพของราชวงศ์จักรพรรดิแสที่อยู่ในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ก็ยิ่งถือโอกาสรีบร้อนพาคนจากไปโดยไม่กังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะขัดขวาง เพราะอย่างไรซะระหว่างราชวงศ์ใหญ่ทั้งสอง เรื่องแบบนี้ก็ขึ้นบ่อยจนเป็นปกติไปเสียแล้ว
แล้วก็ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ที่ต้าเทียนซือมองว่าต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนถึงจะเข้าควบคุมได้ ในความเป็นจริงแล้ว…เมื่อนับรวมกัน เวลาเพียงไม่กี่วันพวกเขาก็สามารถบุกยึดเขตการปกครองอวิ๋นไห่มาได้สำเร็จ
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงเขตใจกลางของเขตการปกครองอวิ๋นไห่อย่างนครอวิ๋นไห่ เขาก็มองเห็นราชาผียักษ์ที่กำลังฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด รวมไปถึงต้าเทียนซือที่แม้จะพยายามข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้แค่ไหน แต่ประกายสดใสในดวงตากลับยังคงแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นในใจได้เป็นอย่างดี
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ดีใจมากเหมือนกัน เพราะหากจะพูดกันอย่างแน่ชัดแล้ว ที่นี่ต่างหากถึงจะเป็นถิ่นฐานของพวกเขาอย่างแท้จริง จะไม่มีใครมาแย่งชิงไปได้ เพราะอย่างไรซะราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งก็เป็นพวกที่เห็นแก่หน้าตาและกฎระเบียบเป็นสำคัญ หากคนอื่นคิดจะแตะต้องถิ่นฐานที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต่อสู้จนได้มาครองอย่างถูกทำนองคลองธรรม ก็จำเป็นต้องใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
“แม้ว่าที่นี่จะยังถือเป็นที่ดินของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง แต่ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งจมูกคนอื่นหายใจแล้ว!”
ราชาผียักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกพลางกวาดตามองไปทั่วนคร ใจเขามิอาจคลายจากความตื่นเต้นได้ มาอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็นานหลายปี แต่มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่เขารู้สึกว่าตัวเองจะมีที่ให้ลงหลักปักฐานอย่างแท้จริง
“มีเพียงกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์กำหนดชะตาชีวิตได้เอง หากไม่เป็นเพราะตบะของใต้เท้าฝ่าทะลุ พวกเราก็คงไม่มีหวังที่จะอาจเอื้อมแตะต้อง…เขตการปกครองอวิ๋นไห่แห่งนี้!” ต้าเทียนซือเอ่ยเนิบช้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าเห็นด้วย
เขาเองก็เข้าใจดีว่าเมื่อมาอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้ก็มีเพียงกลายมาเป็นผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะสามารถหยัดยืนได้อย่างมั่นคงจริงๆ หาไม่แล้วก็คงได้แต่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใช้ชีวิตคล้อยตามคนอื่นไปวันๆ และหากขนาดเขายังเป็นแบบนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ ของโลกทงเทียนเลย
“ตบะถึงจะสำคัญที่สุด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก
เรื่องราวทั้งหลายที่ประสบพบเจอมาทำให้เขาตระหนักได้นานแล้วว่า ความแข็งแกร่งของตัวเองต่างหากถึงจะเป็นรากฐานในการตั้งตัวที่แท้จริง ต่อให้การฝึกตนจะเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากเพียงไหน ทว่าภาพเหตุการณ์แต่ละอย่างในความทรงจำก็ล้วนไม่มีเหตุการณ์ไหนที่ไม่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขจัดความเกียจคร้านออกไปจากการฝึกตน วันนี้เมื่อมาอยู่ในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ เขารู้ตัวเองดีว่าตนไม่เหมาะที่จะจัดการดูแลเรื่องอะไร และต้าเทียนซือกับราชาผียักษ์ก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุด
ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะยกธุระให้คนทั้งสองจัดการ ส่วนตัวเองก็เริ่มปิดด่านฝึกตนอยู่ในเขตการปกครองอวิ๋นไห่อีกครั้ง เขาเตรียมที่จะดูดซับเอาปราณในแผ่นป้ายซากพัดซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิดไปให้หมด จากนั้นก็รอดูว่าแผ่นป้ายนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
เวลาล่วงเลยผ่านไป ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการปิดด่านฝึกตน เขตการปกครองอวิ๋นไห่ก็สามารถพูดได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหม่ในทุกๆ วัน
ต้าเทียนซือและราชาผียักษ์ร่วมกันวางแผนและจัดการได้เข้าขากันอย่างสมบูรณ์แบบ ขณะเดียวกันหลังจากข่าวที่เขตการปกครองอวิ๋นไห่ถูกยึดครองมาได้
และป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนเฝ้าพิทักษ์เขตการปกครองแห่งนี้ด้วยตัวเองแพร่สะพัดออกไปอย่างต่อเนื่อง นักพรตของโลกทงเทียนในดินแดนเซียนแห่งที่สองก็ทยอยมารวมตัวกันเพิ่มอีกจำนวนไม่น้อย
หากเป็นในอดีต เทียนจุนวิเศษกาลนานจะต้องขัดขวาง ทว่าเมื่อมีประสบการณ์ความขัดแย้งกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน เขาจึงไม่คิดจะเข้ามาก้าวก่ายอีก ทำเพียงแค่เปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง ขอแค่คนของโลกทงเทียนไม่ได้แห่แหนกันไปเป็นจำนวนมาก แต่เป็นเพียงการมารวมตัวกันในจำนวนเล็กน้อย เขาก็เลือกที่จะมองเมินไปอย่างสิ้นเชิง
ส่วนต้าเทียนซือและราชาผียักษ์ก็ยิ่งไปตีสนิทกับเขตการปกครองอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงโดยไม่เลือกว่าจะเป็นราชวงศ์จักรพรรดิแสหรือราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีความแค้นส่วนตัวต่อกัน เวลาส่วนใหญ่พวกเขาล้วนรักษาความเสถียรภาพเอาไว้ซึ่งเป็นสิ่งที่นักพรตเหล่านั้นต้องการอยู่แล้ว
โดยเฉพาะการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ในด้านการวางตัวของต้าเทียนซือและราชาผียักษ์จึงมีความกร้าวกระด้างเพิ่มมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าการวางตัวเช่นนี้ของพวกเขายิ่งทำให้เขตการปกครองอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านให้ความเคารพยำเกรงกันมากขึ้น
แล้วก็เป็นเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ของดินแดนเซียนแห่งที่สองมีเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะปิดด่าน แต่บางคราวที่ออกไปข้างนอก เขาก็พอจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน เมื่อคนของโลกทงเทียนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขตการปกครองอวิ๋นไห่ยิ่งครึกครื้น ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านของตัวเองก็ทำให้บางครั้งคนของโลกทงเทียนหลงนึกไปว่าตัวเองอยู่บนแผ่นดินใหญ่ทงเทียน
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดีว่า แม้ที่นี่จะดูมีชีวิตชีวาเพียงไร ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มั่นคงนัก เว้นเสียแต่ว่าวันใดวันหนึ่งที่เขามีคุณสมบัติมากพอให้คานอำนาจกับราชวงศ์จักรพรรดิแสและราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งถึงจะสามารถระดมกองกำลังทั้งหมด สามารถหยัดยืนได้อย่างมั่นคง และสามารถไปตามหา…
คนของโลกทงเทียนทุกคนที่พลัดหลงอยู่ด้านนอก
ความคิดเหล่านี้ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนหยัดในการฝึกตนโดยไม่สนใจสิ่งใด และในที่สุดเมื่อผ่านไปได้อีกหลายเดือน เมื่อตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนไต่ขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของเทียนจุนขั้นต้นได้อย่างแท้จริง ปราณแปลกประหลาดในแผ่นป้ายของซากพัดก็ถูกเขาดูดซับไปจนเกลี้ยง
การศึกษาในครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนใช้เวลาเกือบหนึ่งปี วินาทีที่ปราณประหลาดในซากพัดหายวับไปก็ไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นคว้าอะไร เพราะเพียงแค่เขาผสานอำนาจจิตเข้าไปด้านใน ในสมองก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นทันที เมื่อลูกคลื่นซัดปั่นป่วนอยู่ในสมอง เรือนกายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพลันสั่นสะท้าน หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยจะมองเห็นได้ในปราดเดียวว่า
เรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นโปร่งแสงคล้ายภาพมายา มองดูแล้วประหลาดยิ่ง ทว่าตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองกลับเหมือนสัมผัสไม่ถึง
เขาในเวลานี้จมจ่อมอยู่กับภาพในสมองของตัวเอง ราวกับว่าจิตสำนึกได้หลุดลอยออกจากร่าง สถานที่ที่เขาล่องลอยผ่านไปก็คือความว่างเปล่าสีดำราวน้ำหมึก หรือจะพูดให้ถูกต้อง ที่นั่นก็คือท้องฟ้านอกโลก!
ท่ามกลางท้องฟ้าแห่งนี้ ซากพัดเล่มนั้นลอยห่างดินแดนเซียนนิรันดร์กาลไปไกลลิบ และยังคงล่องลอยอยู่เหมือนเดิม ความเร็วนั้นอาจดูเหมือนช้า แต่หากลองเปรียบเทียบจริงๆ ความเร็วของมันกลับเหนือเกินกว่าจักรพรรดิบุพกาลเสียอีก
นี่เป็นครั้งที่สองที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นซากพัดในสถานการณ์เช่นนี้ เขามองซากพัดที่เหมือนจะใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า แต่ก็เหมือนจะห่างไปไกลสุดขอบฟ้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก ราวกับว่า…ขอแค่เขาต้องการ ก็สามารถเข้าไปในซากพัดเล่มนี้ได้ในชั่วพริบตา!
เมื่อความรู้สึกนี้ยิ่งแจ่มชัดอยู่ในจิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็พลันฉุกคิดขึ้นมา จินตนาการถึงภาพที่ร่างตัวเองปรากฏอยู่บนซากพัด และแทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ความคิดนี้ผุดขึ้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องลับบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็พลันบิดเบือนแล้วพร่าเลือนไป ไม่นานก็หายไปจากห้องลับอย่างเงียบเชียบ!
ไร้คลื่นเคลื่อนไหวใดๆ ถึงขั้นที่ว่าต่อให้จักรพรรดิบุพกาลมาอยู่ที่นี่ก็ยากที่จะรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไปแล้ว ราวกับว่าการหายตัวไปของเขาไม่ต่างจากการถูกลบเลือนอย่างไรอย่างนั้น!
และเมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง…ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ลมหายใจหอบรัวก็ค้นพบว่า เขาได้มายืนอยู่บน…ลานกว้างของซากพัดแล้ว!
ทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านช่างคุ้นเคยยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่านี่คือตำแหน่งด้ามพัดที่ตอนนั้นเขากับคนอื่นๆ เคยเข้ามาด้วยกัน สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือตอนนั้นข้างกายเขามีคนอยู่ไม่น้อย ทว่าตอนนี้…ตลอดทั้งซากพัดกลับมีเพียงเขาคนเดียว!
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่อ สาวเท้าเดินเร็วๆ ไปตรงริมขอบของลานกว้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นท้องฟ้ากว้างใหญ่มืดดำ…
“ข้าขึ้นมาอยู่บนซากพัดแล้วจริงๆ!” หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำ มีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่านี่ไม่น่าจะใช่เรื่องจริง แล้วเขาก็ยิ่งเป็นกังวลว่าพอตนมาที่นี่แล้วจะกลับไปที่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลไม่ได้อีก
ความกังวลนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียดสุดขีด ในสมองเขารีบนึกภาพว่าตัวเองไปจากซากพัด กลับไปยังห้องลับของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอย่างเร่งด่วน และเมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันค้นพบว่า แผ่นป้ายในมือคล้ายจะกลายมาเป็นหลุมดำที่เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา เบื้องหน้าของตนก็เปลี่ยนมาเป็นสับสนวุ่นวาย พอมองเห็นได้ชัดอีกครั้ง…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันไปมองรอบกายด้วยความตะลึงระคนดีใจ เขากลับเข้ามาในห้องลับแล้ว!
“แผ่นป้ายนี้…เป็นกุญแจที่ทำให้ข้าสามารถเข้าออกซากพัดได้ตลอดเวลา!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นอย่างถึงที่สุดจนถึงขั้นลุกเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องลับหลายรอบ ไม่ว่าจะทำอย่างไรจิตใจก็มิอาจสงบลงได้
เขารู้ชัดเจนยิ่งนักว่านี่หมายความถึงอะไร นี่หมายความว่า…สมบัติอาคมทั้งหมด ทรัพยากรทั้งหมด และการสืบทอดสุดท้ายที่อยู่ในซากพัดล้วนเป็นของเขาแล้ว!
เพราะว่า คนที่ฝ่าด่านไปได้ไกลมากที่สุด มีเพียงเขาคนเดียว!