บทที่ 1118 เขตการปกครองตัวเองอวิ๋นไห่
แน่นอนว่าป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมไม่ได้ยินคำสาบานของเด็กชาย แล้วก็ไม่ทันสังเกตเห็นด้วยว่าก่อนหน้านี้ในด่านที่ยี่สิบเอ็ดมีเด็กชายอยู่ด้วย
แต่ว่าลึกๆ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของระดับความยากในด่านที่ยี่สิบเอ็ดนี้แล้ว
“หรือว่าเจ้าวิญญาณวัตถุนั่นจะปรับระดับความยากให้ข้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลางแคลงใจ แต่พอคิดถึงเรื่องที่ว่าตนผ่านด่านที่ยี่สิบเอ็ดมาได้แล้วก็ให้พอใจอย่างยิ่งยวด
“จะวิเคราะห์เรื่องนี้นั้นง่ายมาก ช่วงเวลาที่วิญญาณวัตถุจะฟื้นตื่นไม่นานมากนัก ข้ารอให้เวลาผ่านไปอีกสักพักแล้วค่อยไปฝ่าด่านดูใหม่ แล้วดูว่าความยากจะยังเหมือนด่านก่อนหน้านี้ไหม แค่นี้ก็ได้รู้คำตอบแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันส่งกระแสจิตออกไป ร่างทั้งร่างจึงหายไปจากซากพัด ปรากฏตัวอีกครั้งก็มากลับมาที่ทิศเหนือดินแดนเซียนแห่งที่สองของโลกหย่งเหิงแล้ว
หลังกลับมาถึงกิจวัตรของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือนั่งเข้าฌานทำสมาธิ แต่บางครั้งก็ออกไปข้างนอกบ้าง
เมื่อเวลาล่วงผ่านไปได้สามเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของเขตการปกครองอวิ๋นไห่แห่งนี้ได้อย่างชัดเจน สัมผัสได้ว่าภายใต้การปกครองดูแลของราชาผียักษ์และต้าเทียนซือ สถานที่แห่งนี้ได้พลิกเปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้ว
ที่เห็นได้ชัดก็คือจำนวนคนของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
คนของโลกทงเทียนจำนวนไม่น้อยล้วนพากันมุ่งหน้ามาที่นี่ ขณะเดียวกันภายใต้อุดมการณ์ของต้าเทียนซือ การหลอมพลังจิตจึงถูกผลักดันอย่างเป็นวงกว้างอยู่ในเขตการปกครองอวิ๋นไห่ จนเริ่มมีเค้าโครงรูปร่างที่จะเป็นเขตการปกครองแห่งการหลอมพลังจิตขึ้นมาแล้ว
นี่ก็คือแนวทางที่คนทั้งสามปรึกษากันไว้
ทำให้การหลอมพลังจิตกลายมาเป็นจุดเด่นของที่นี่ ทำให้ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งมีเขตการปกครองแห่งการหลอมพลังจิตปรากฏขึ้นมาในเวลาสั้นๆ แล้วก็ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขตการปกครองอวิ๋นไห่มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง พ่อค้าแม่ขายจำนวนไม่น้อยของดินแดนเซียนแห่งที่สองก็เริ่มพากันเดินทางมาที่เขตการปกครองอวิ๋นไห่ เป็นเหตุให้ความเจริญรุ่งเรืองของที่แห่งนี้ยิ่งรุดหน้าอย่างเด่นชัด
เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ดีอย่างมาก
เขาเข้าใจดีว่าทั้งราชาผียักษ์และต้าเทียนซือต่างก็มีคุณความชอบอย่างที่มิอาจปฏิเสธได้ หากไม่มีคนทั้งสอง โดยเฉพาะต้าเทียนซือ เกรงว่าเขาในเวลานี้ก็คงยังสับสนไม่รู้ทิศทาง และความสามารถในด้านการปกครองของต้าเทียนซือก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยอมรับนับถือจากใจจริง
ขณะเดียวกันเวลาสามเดือนมานี้ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์เรื่องการฝ่าด่านบนซากพัดได้อย่างแม่นยำแล้ว หลังจากด่านที่ยี่สิบเอ็ดเป็นต้นมา เขาก็ฝ่าด่านมาได้ฉลุยถึงหกด่าน แม้ว่าความยากจะมีไม่น้อย แต่ยังคงเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ไม่เหมือนด่านที่ยี่สิบเอ็ดที่ทำให้เขาแทบบ้านั่น
ต่อให้ผ่านไม่ได้ในครั้งแรก ทว่าสุดท้ายเมื่อจับจุดถูก พอทดลองหลายๆ ครั้งเขาก็ยังผ่านมาได้ สิ่งเหล่านี้จึงได้พิสูจน์การคาดเดาของป๋ายเสี่ยวฉุนว่าในด่านที่ยี่สิบเอ็ดมีปัญหาอย่างแท้จริง
“ต้องเป็นฝีมือก่อกวนของเจ้าวิญญาณวัตถุนั่นแน่ ไอ้หมอนี่มันอยู่ไม่สุขจริงๆ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในการฝ่าด่านมากขึ้น ยังดีที่เมื่อผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หลังจากเขาฝ่าไปถึงด่านที่ยี่สิบเก้าก็ยังไม่เห็นว่ามีความยากเพิ่มขึ้น เขาถึงพอจะคลายใจลงได้บ้าง
ขณะเดียวกันเมื่อเขตการปกครองอวิ๋นไห่พัฒนาไปไม่หยุดยั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มใคร่ครวญถึงปัญหาข้อหนึ่ง
นั่นก็คือจำนวนประชากร!
ตอนนี้สิ่งที่เขตการปกครองอวิ๋นไห่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือจำนวนคน ที่สำคัญที่สุดก็คือขาดแคลนคนของโลกทงเทียนที่เชี่ยวชาญการหลอมพลังจิต นี่จึงทำให้การแผนการการผลักดันของต้าเทียนซือเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเชื่องช้า
สำหรับข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็วิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง
ช่วงเวลาหลังจากนั้นจึงมีน้อยครั้งที่เขาจะไปฝ่าด่านที่ซากพัด เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในห้องลับ หยิบเอากระบี่ใหญ่สายเหนือออกมา ผสานอำนาจจิตเข้าไปแล้วทดลองติดต่อไปหาบุรพาจารย์หันเหมิน
เพราะอย่างไรซะในกระบี่ใหญ่สายเหนือแห่งนี้ก็มีคนของสายเหนือที่ตอนนั้นอยู่ในโลกทงเทียนติดมาด้วย ต่อให้เนื่องจากศึกใหญ่ที่แดนทุรกันดารจะทำให้คนส่วนมากต้องออกไปรบ ไม่อยู่ที่สายเหนือก็ตาม
ทว่าพวกคนที่ยังเหลืออยู่ในนั้นและเมื่อเทียบกับเขตการปกครองอวิ๋นไห่ในตอนนี้ก็นับว่ามีไม่น้อย นี่จึงเป็นสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการได้มากที่สุด
ขณะเดียวกันหากคนในโลกกระบี่สายเหนือออกมาได้จริงๆ ภายใต้ฝีมือของราชาผียักษ์และต้าเทียนซือแล้ว การพัฒนาของเขตการปกครองอวิ๋นไห่จะต้องก้าวกระโดดอย่างพรวดพราดแน่นอน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจหวั่นไหว จึงยิ่งหมั่นติดต่อไปหาบุรพาจารย์หันเหมินถี่ครั้งมากขึ้น และในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปได้หนึ่งเดือน เมื่อได้รับผลพวงจากการฝ่าด่านในซากพัด ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไต่ทะยานสู่จุดสูงสุดของเทียนจุนช่วงต้น การสื่อสารระหว่างเขาและกระบี่ใหญ่สายเหนือจึงได้รับการตอบสนองในที่สุด!
ดูเหมือนว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีตบะเท่านี้จะได้รับการยอมรับจากบุรพาจารย์หันเหมินเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง แม้ว่านางจะไม่ได้ส่งข้อความใดๆ มาในการตอบรับครั้งนี้ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสัมผัสผ่านอำนาจจิตของตัวเองได้อย่างชัดเจนว่าสิทธิในการควบคุมกระบี่ใหญ่สายเหนือของเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าขอแค่ตนต้องการก็จะสามารถทำให้นักพรตสายเหนือทั้งหมดที่อยู่ในกระบี่ใหญ่ออกมาจากด้านใน มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาได้
นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน
และหลังจากทดลองดูแล้วเขาก็ยิ่งปิติยินดี จึงเรียกต้าเทียนซือและราชาผียักษ์มาพบ ก่อนจะพากันไปยังพื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่งของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ ครั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเอากระบี่ใหญ่สายเหนือออกมาเริ่มการนำส่งและเรียกขาน
ฟ้าดินแปดทิศสะเทือนเลือนลั่นเสียงดังเกริกก้อง เมื่อแสงสีฟ้าในกระบี่ใหญ่เปล่งประกายวาววับ เงาร่างมากมายที่มีสีหน้างงงันก็พากันมาปรากฏตัวอยู่ในหุบเขาของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล
สำหรับต้าเทียนซือและราชาผียักษ์ พวกนักพรตสายเหนือล้วนไม่คุ้นเคย
ทว่าสำหรับเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เนื่องจากปีนั้นเขาเคยไปอยู่ที่สายเหนือมาก่อนจึงแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเขาอีก เพียงแต่ว่าการพังทลายของโลกทงเทียน การดำรงอยู่ของยักษ์ผู้บงการบนท้องฟ้าเหนือดินแดนเซียนนิรันดร์กาล สิ่งแปลกหน้าไม่คุ้นเคยเหล่านี้ล้วนทำให้ทุกคนที่ออกมาจากโลกกระบี่สายเหนือสับสน ขณะเดียวกันจิตวิญญาณก็สะท้านสะเทือนไปด้วย
สำหรับเรื่องที่ควรจะจัดการกับความมึนงงของทุกคนอย่างไรนั้น
ข้อนี้ทั้งต้าเทียนซือและราชาผียักษ์ต่างก็เชี่ยวชาญยิ่งกว่าป๋ายเสี่ยวฉุน ภายใต้การแผ่อำนาจจิตของพวกเขาและความจริงเปิดเผยให้เห็นอยู่ตรงหน้า ครึ่งเดือนต่อมา ทุกคนที่เดินออกมาจากในกระบี่ใหญ่สายเหนือก็ล้วนเข้าใจเรื่องราวทุกสิ่ง ไม่ว่าจะรับได้หรือไม่ ก็จำเป็นต้องรับให้ได้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือคนที่โชคดี เพราะเมื่อเทียบกับสหายในอดีตของพวกเขาแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องเจอกับการนำส่งหลังจากที่ฟ้าถล่มดินทลาย ไม่ต้องเจ็บปวดและสิ้นหวังจากการที่พลัดพรากจากคนที่รัก ไม่ก็ถูกผสานกลืนกิน หรืออาจถึงขั้นถูกจับเป็นทาสอย่างคนอื่นๆ
ขณะเดียวกันเบื้องหน้าของพวกเขายังมีเส้นทางหนึ่งที่ทอดรออยู่ ภายใต้การชี้นำของต้าเทียนซือ ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่จึงก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นไม่มากก็น้อย แล้วก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับการก่อสร้างพัฒนาเขตการปกครองอวิ๋นไห่
และในบรรดาพวกเขา แม้ว่าคนที่เชี่ยวชาญการหลอมพลังจิตจะมีไม่มากเท่าแดนทุรกันดาร ทว่าเนื่องด้วยมีกันอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจำนวนคนที่หลอมพลังจิตได้จึงไม่น้อยตามไปด้วย ทั้งต้าเทียนซือและราชาผียักษ์ต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการหลอมพลังจิต นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงป๋ายเสี่ยวฉุนเลย
เขาคืออาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้าเพียงคนเดียวของโลกทงเทียน รากฐานเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้การพัฒนาของเขตการปกครองอวิ๋นไห่หลังจากนั้นก้าวกระโดดไปอย่างล้ำหน้า
ภาพลักษณ์ของเขตการปกครองอวิ๋นไห่เริ่มเปลี่ยนมาเป็นเจริญรุ่งเรือง พ่อค้าแม่ค้าจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันมาทำการค้า และชื่อเรียกว่าเขตการปกครองแห่งการหลอมพลังจิตก็ค่อยๆ แพร่สะพัดออกไปเป็นวงกว้างตามแผนการผลักดันของต้าเทียนซือ ทั้งยังมีคำโอ้อวดที่ว่าหากจะหาการหลอมพลังจิต ในโลกหย่งเหิงใบนี้ก็มีที่นี่ที่เดียว!
เพราะต่อให้คนของโลกทงเทียนที่อยู่ที่อื่นจะหลอมพลังจิตเป็น
แต่ก็ยังสู้ทั้งต้าเทียนซือและราชาผียักษ์ไม่ได้
ขณะเดียวกันหลังจากที่ต้าเทียนซือปรึกษากับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขาก็ได้ตั้งสมญานามให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอาจารย์หลอมพลังจิตอันดับหนึ่งแห่งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล!
เมื่อชื่อนี้ถูกตั้งขึ้น พลังในการส่งผลกระทบก็ระเบิดเพิ่มพูนอีกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!
แทบทุกวันจะต้องมีคนของโลกทงเทียนมุ่งหน้ามาที่นี่ และนักพรตของโลกทงเทียนที่อยู่ในทุกเขตการปกครองของดินแดนเซียนแห่งที่สองก็พากันฮึกเหิม
ส่วนทางฝ่ายของเทียนจุนวิเศษกาลนานนั้นก็ได้ข้อตกลงร่วมกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขาจึงปล่อยปละไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะในสายตาของเขา ขอแค่คนที่รับมือได้ยากอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มาช่วงชิงผลประโยชน์กับตนก็ถือว่าดีพอแล้ว หากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรไปล่วงเกินอีกฝ่าย เพราะจะได้ไม่คุ้มเสีย
ส่วนจักรพรรดิเซิ่งที่เห็นการพัฒนาของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ก็ถอนหายใจ ทั้งๆ ที่เขามองออกถึงความคิดและแผนการของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าเรื่องนี้ดันเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวเขาเอง แล้วเขาก็ไม่สะดวกจะไปห้ามปราม แน่นอนว่าหากเป็นช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เขายังไม่เข้าใจความสามารถในการสร้างหายนะของป๋ายเสี่ยวฉุนดีพอ เมื่อเจอเรื่องครั้งนี้เขาคงต้องแค่นเสียงเย็นแล้วลงมือสังหารอีกฝ่ายทันที และตอนนี้เขาเองก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว
เพราะหากเขาหยุดยั้งการพัฒนาของเขตการปกครองอวิ๋นไห่ แล้วคนที่เป็นทั้งเทียนจุน ทั้งยังเก่งในด้านสร้างความวอดวาย ซ้ำยังเป็นนายแห่งเต่านิรันดร์กาลอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนยืนกรานไม่ยอมไปจากนครจักรพรรดิเซิ่ง…แค่นึกไปถึงผลลัพธ์อันน่ากลัวที่จะเกิดขึ้น จักรพรรดิเซิ่งก็ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด
“ปล่อยให้เขาเล่นอยู่กับตัวเองไปเถอะ!”
ด้วยเหตุนี้ เขตการปกครองอวิ๋นไห่จึงครึกครื้นรุ่งเรือง นามว่าเขตการปกครองแห่งการหลอมพลังจิตแพร่ระบือไปทั่วจนแม้แต่ราชวงศ์จักรพรรดิแสก็ยังได้ยิน และพอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าไม่มีใครมาเอาเรื่องตน จึงวางใจลงได้ในที่สุด ครั้นจึงเริ่มเอาแรงกายแรงใจทั้งหมดไปไว้บนซากพัด
หลังจากฝ่าด่านที่ยี่สิบเก้าซึ่งติดค้างอยู่คราวก่อนได้สำเร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พักผ่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะเหยียบย่างลงไปในด่านที่สามสิบด้วยสีหน้าฮึกเหิม
ทว่าชั่วขณะที่เท้าของเขาเหยียบลงไปในด่านที่สามสิบนั้นเอง วิญญาณวัตถุที่หลับสนิทอยู่บนซากพัดมานานหลายเดือนกลับฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าคนไร้ยางอาย นายท่านของเจ้ากลับมาแล้ว คราวนี้หากข้าเล่นงานเจ้าจนตายไม่ได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับเจ้าเลย!!”
เด็กชายที่เป็นวิญญาณอยู่ในซากพัดจ้องด่านสามสิบเขม็ง คำรามกร้าวอยู่ในลำคอพลางเยื้องกรายลงมา