บทที่ 1119 เผ่าโอสถดำ
ด่านที่สามสิบ!
หมอกแผ่อบอวลไปทั่วทั้งท้องฟ้าสีเทา บนพื้นดินมีเทือกเขามากมายทอดตัวยาวเหยียดซึ่งสามารถมองเห็นได้ว่าทุกๆ ระยะห่างช่วงหนึ่งจะต้องมียอดเขาที่เป็นเหมือนปากปล่องภูเขาไฟคอยปลดปล่อยหมอกควันปริมาณมากให้ล่องลอยเข้าไปในนภากาศ ทำให้โลกใบนี้เป็นสีเทาขมุกขมัวคล้ายสีของซากปรักหักพัง
ท่ามกลางหมอกควันยังมีกลิ่นหอมของยาแทรกซอนออกมา เพียงแต่ว่าฤทธิ์ของยาเหล่านี้ปะปนกันมากเกินไป เป็นเหตุให้กลิ่นของหอมของยามีกลิ่นคล้ายยาพิษที่ล่องลอยไปตามลม ปลิวปรายไปทั่วทุกมุมของโลก จนเป็นเหตุให้โลกใบนี้ไม่เหลือพลังชีวิตใดๆ อีกแม้แต่นิดเดียว
พื้นดินแตกระแหง ส่วนพืชพรรณทั้งหมดที่เนื่องจากเติบโตท่ามกลางสารพิษมายาวนานจึงแห้งเหี่ยวและล้มตายไป
ท้องฟ้าก็ยิ่งไม่มีนกใดๆ บินผ่านมา เห็นเพียงว่าระหว่างเทือกเขามีโครงกระดูกหลายโครงที่ไม่รู้ว่าเน่าเปื่อยมานานเท่าไหร่แล้ว นั่นคือซากศพของพวกสัตว์ปีก ดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะเป็นหลุมฝังศพขนาดใหญ่ยักษ์
ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเข้ามาก็อึ้งงันไปกับเสียงกัมปนาทดังปังๆๆ รวมไปถึงควันพิษพวกนี้ในทันที
“เสียงนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก…มันคือด่านอะไรกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน ปราณนี้ช่างคุ้นเคยสำหรับเขายิ่งนัก ในความทรงจำของเขา ยาพิษที่อยู่ในหมอกควันสีเทาก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้งจากการหลอมยาของเขาเช่นกัน
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับควันพิษที่เขาหลอมแล้ว ควันพิษของที่แห่งนี้เข้มข้นมากเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มาถึงที่นี่เพียงเวลาครึ่งก้านธูป เขาก็รู้สึกตะครั่นตะครอไปหมด ดวงตาก็ปวดร้าว แม้แต่เวลาหายใจเขาก็ยังรู้สึกเหมือนมีใบมีดมาปาดที่ลำคอ
และเสียงปังๆๆ นั้นก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงเตาหลอมยาระเบิด…
“คุณพระช่วย ไม่นึกเลยว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจดังเฮือก หลังจากขยับร่างหลบเลี่ยงหมอกควันพิษพวกนั้นได้แล้วก็เริ่มตามหาทางออกของโลกที่เปลี่ยวร้างใบนี้ ยิ่งสถานที่แห่งนี้แสดงความแปลกประหลาดออกมามากเท่าไหร่ ความระแวดระวังของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
เพียงแต่ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะตามหาอย่างไรก็ไม่สามารถหาทางออกของที่แห่งนี้ได้เจอ กลับกลายเป็นว่ายิ่งพุ่งไปข้างหน้าและความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนไปชักนำให้เกิดลมกระโชก ควันพิษรอบด้านที่เดิมทีล่องลอยไม่อยู่นิ่งก็ยิ่งไหลเวียนแผ่กระจายตามมาหนักขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นกับตาตัวเองว่าเมื่อภูเขาลูกหนึ่งถูกหมอกควันปกคลุม และพอหมอกควันเคลื่อนตัวออกไป ภูเขาลูกนั้นก็ถูกกัดเซาะจนไม่เหลือสภาพเดิม ทำเอาลูกตาของป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงกว้างจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
นี่ยังเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เพราะไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบว่าทิศทางและระดับความหนักเบาของควันพิษเหล่านี้แตกต่างกันออกไป แม้แต่ฤทธิ์ยาก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่นเขาเห็นควันพิษกัดเซาะภูเขา แล้วก็เห็นว่าพอควันพิษลอยผ่านลำธารเส้นหนึ่งที่ถือว่ายังใสกระจ่างไป ลำธารนั้นก็กลายมาเป็นสีดำ…ทั้งยังแผ่ปราณที่ทำให้จิตใจประหวั่นพรั่นพรึงออกมา ราวกับว่าได้กลายมาเป็นพิษร้ายไปแล้ว
ยังมีควันพิษอีกประเภทหนึ่งที่ไร้สีไร้กลิ่น ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ทันระวังจึงสูดดมเข้าไปหลายคำ พอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ส่งมาจากท้อง
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้าเปลี่ยนสี รีบกินยาแก้พิษเข้าไป ทว่าในท้องกลับยังมีเสียงปุ้งๆ ดังไม่เลิกจนเขานิ่วหน้า ต้องรีบไปหาถ้ำแห่งหนึ่ง…ผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อเขาเดินออกมา เรี่ยวแรงก็หดหายไปไม่น้อย
“สมควรตายนัก แม้แต่ยาท้องเสียก็ยังมี! ข้าเป็นถึงเทียนจุนเชียวนะ ทั้งข้ายังมีเรือนกายของบทมิวางวาย แต่นี่กลับต้องมาเสียท่าซะได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น กังวลว่าหากยังบินอยู่อย่างนี้ต่อไปอาจจะเจอกับยาพิษประเภทยากระสันซ่าน พอนึกถึงผลลัพธ์หลังจากที่ตนถูกหมอกควันของยากระสันซ่านปกคลุม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว
“สมควรตายนัก ในอดีตล้วนเป็นข้าที่เล่นงานคนอื่นโดยใช้ยา ทว่าด่านที่สามสิบนี้กลับพิลึกพิลั่นจนกลายเป็นว่าข้าต้องมารับกรรมเสียเอง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญผวา รู้สึกเพียงว่าด่านนี้ยากเกินไปจนเขาต้องระมัดระวังตัวสุดชีวิต ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ แผ่อำนาจจิตออกไปหมายจะดูให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไม่นานสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนมาเป็นปั้นยาก ในอำนาจจิตของเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภายในเทือกเขาแต่ละลูกมีชนเผ่าอยู่เป็นจำนวนมาก!
ที่เรียกว่าชนเผ่าก็เพราะคนที่อยู่ในนั้นสวมเสื้อผ้าของยุคดึกดำบรรพ์คล้ายคลึงกับชนพื้นเมืองแดนทุรกันดารของโลกทงเทียน ทว่า…สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าชนเผ่าเหล่านี้กลับกำลังหลอมกันยาทุกคน!
ที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่อก็คือสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มองดูเหมือนคน ทว่าร่างกายของพวกเขาเล็กมาก คนที่ร่างใหญ่โตที่สุดมีขนาดเท่าแค่ฝ่ามือของคนธรรมดาเท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆ กลับสูงเท่านิ้วหัวแม่มือ ซึ่งตอนนี้แต่ละคนที่อยู่ในชนเผ่าของตัวเองต่างกำลังหลอมยาและโบกไม้โบกมือไปพลาง
ปากก็พึมพำด้วยถ้อยคำที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เข้าใจราวกับคนเสียสติ
ภาพนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคุ้นตาไม่น้อย คลับคล้ายคลับคลาว่าเวลาที่ตัวเองจมจ่อมอยู่กับการหลอมยาก็มีสภาพแบบนี้เหมือนกัน…
ส่วนควันที่ผุดขึ้นมากลางเทือกเขาแต่ละเส้นก็เกิดจากการหลอมยาของชนเผ่าเหล่านี้
มองสีหน้าของคนตัวเล็กเหล่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตะลึง ตอนนี้เขาเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว บางทีโลกใบนี้อาจจะเคยเป็นโลกที่สวยงามใบหนึ่ง ทว่าสุดท้ายกลับถูกการหลอมยาของคนตัวเล็กพวกนี้ทำลายจนพังพินาศ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายไปเพราะสารพิษ พืชพรรณมากมายสูญพันธ์ แม้แต่ฟ้าดินแห่งนี้ที่อยู่ภายใต้หมอกพิษก็คล้ายจะแห้งเหี่ยวไปด้วย
“น่ากลัวเกินไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนพะพริบตาปริบๆ ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งแล้วว่าการหลอมยาของตัวเองน่ากลัวมากแค่ไหน และนั่นยิ่งทำให้เขาเลื่อมใสในคนตัวเล็กพวกนี้มากขึ้น เพียงแต่ว่าส่วนลึกในจิตใจกลับยังรู้สึกอยากทดลองแข่งขันเหมือนเวลาที่จอมยุทธิ์โดดเดี่ยวแสวงพ่ายพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ
เพราะหลังจากที่ตระหนักได้ว่าการหลอมยาของตนทำให้เกิดปัญหาได้อย่างง่ายดาย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดทนข่มกลั้นมานานมากแล้ว
เมื่อได้กลิ่นควันยาพิษ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มอดทนไม่ไหวอีกต่อไป ต้องการจะแสดงฝีมือให้อาจารย์หลอมยาตัวเล็กเหล่านี้ได้เห็นถึงความร้ายกาจของตนซะบ้าง
“ไม่ได้ ข้าต้องควบคุมตัวเองให้อยู่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกว่าเป้าหมายของตนคือการฝ่าด่านไปให้สำเร็จ เรื่องอะไรที่ไม่ควรทำก็อย่าทำจะดีกว่า
“หรือว่าที่ด่านนี้ทดสอบก็คือให้ข้ายืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไปภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุด?”
กว่าจะระงับความวู่วามของตนลงไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และหลังจากที่ใคร่ครวญจริงจัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้ามองควันพิษพวกนั้นแล้วก็ก้มมองคนตัวเล็กที่กำลังหลอมยาอยู่ในเทือกเขาอีกทีด้วยความลังเลเล็กน้อย
ขณะเดียวกันบางจุดบนท้องฟ้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสไม่ถึง วิญญาณของซากพัดที่กลายร่างมาเป็นเด็กชายกำลังยืนเอามือไพล่หลังอย่างลำพองใจ หลุบสายตามองต่ำมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าโอหัง
“เผ่าโอสถดำนี้คือชนเผ่าน่ากลัวที่แม้แต่ปีนั้นใต้เท้าผู้บงการยังปวดหัว ยาที่พวกเขาหลอมออกมา ไม่มีใครกล้ากินแม้แต่คำเดียว ต่อให้เป็นพวกเขาเองก็ยังไม่กล้ากินเข้าไป ทว่าพวกเขาดันมีพรสวรรค์ด้านการหลอมยาที่ล้ำโลกยิ่งนัก แถมทุกคนยังหลอมยาเก่งอีกด้วย”
“หึหึ ปีนั้นผู้บงการก็เคยบอกว่าหากให้เงื่อนไขที่มากพอแก่เผ่าโอสถดำ พวกเขาก็สามารถทำลายทั้งจักรวาลให้วอดวายได้เลย แม้ว่าที่นี่จะเป็นภาพมายาของต้นกำเนิดเต๋าเป็นตาย ทว่าก็มีด้านที่เป็นความจริงอยู่เหมือนกัน เว้นเสียแต่ว่าเจ้าโจรไร้ยางอายผู้นี้จะมีตบะเป็นผู้บงการ หาไม่แล้วเขาไม่มีทางยืนหยัดได้นานแน่!”
“ในภาวะทั่วไป หากยืนหยัดอยู่ในนี้ได้นานสามวันก็ถือว่าผ่านด่าน ทว่าตอนนี้ ข้าได้ปรับเปลี่ยนเวลาให้เจ้าเป็นหนึ่งหมื่นปีแล้ว! เจ้าโจรกระจอก หากคราวนี้ยังปล่อยให้เจ้าผ่านด่านไปได้ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับเจ้าเลย!!” เด็กชายในซากพัดคิดมาถึงตรงนี้ก็อดจะหัวเราะร่าอย่างเบิกบานไม่ได้
เขาคิดว่าคราวนี้ต้องไม่พลาดแน่ เพราะไม่มีใครจะยืนหยัดอยู่ภายใต้ยาพิษของเผ่าโอสถดำได้นานขนาดนั้น และหากฝืนตัวเองเท่าไหร่ก็มีแต่จะยิ่งตายด้วยสภาพชวนสังเวชมากเท่านั้น อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังถูกปลุกเสกด้วยต้นกำเนิดเต๋าเป็นตาย คนจิ๋วเผ่าโอสถดำพวกนี้จึงไม่สามารถตายเพราะตบะ มีเพียงใช้ยาพิษในรูปแบบเดียวกันเท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบ และหากอยากออกไปจากที่นี่ก็มีช่องโหว่เดียว
นั่นก็คือต้องได้รับการยอมศิโรราบจากคนทั้งเผ่าโอสถดำ ให้พวกเขาทุกคนพร้อมใจกันขับไล่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปเสียก่อนถึงจะส่งผลกระทบต่อกฎของโลกใบนี้และทำลายการก่อกวนของเด็กชายลงไปได้
“แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ไรไหนมาเผ่าโอสถดำก็ไม่เคยยอมแพ้ให้กับเผ่าพันธุ์ใด ปีนั้นผู้บงการลงมือด้วยตัวเองก็ยังได้ทำได้แค่มีข้อตกลงร่วมกับพวกเขาเท่านั้น ยากที่จะทำให้ชนเผ่านี้ยอมศิโรราบได้”
คิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มของเด็กชายก็ยิ่งสดใส เขาแทบจะทนรอได้เห็นสีหน้าสิ้นหวังจากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ไหวแล้ว
ภายใต้อารมณ์เช่นนี้และเพื่อให้ละครครั้งนี้ขึ้นแสดงเร็วยิ่งขึ้น เด็กชายจึงตัดสินใจที่จะช่วยป๋ายเสี่ยวฉุนสักหน่อย โดยการทำให้เผ่าโอสถดำค้นพบการรุกรานเข้ามาของป๋ายเสี่ยวฉุนเร็วขึ้น
“หึหึ เจ้าคนไร้ยางอาย คราวเคราะห์ของเจ้ามาถึงแล้ว!” เด็กชายทำมุทราชี้ไปยังแผ่นดินเบื้องล่างด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นริ้วคลื่นที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งก็กระเพื่อมออกไปทั่วโลกทั้งใบ
คนจิ๋วทุกคนในเผ่าโอสถดำที่อยู่ในภูเขาทุกลูกล้วนตัวสั่นสะท้าน พากันเงยหน้าพรึ่บ แล้วก็คล้ายว่าตบะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนซุกซ่อนไว้จะถูกลบเลือนไป วินาทีนั้นทุกคนของเผ่าโอสถดำจึงสัมผัสได้ถึงตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างชัดเจน!
“ในที่สุดก็มีคนมาแล้ว!”
“ของข้า นี่คือเตาหลอมในการทดลองยาของข้า ใครอย่าได้หวังว่าจะมาแย่งไปจากข้า!”
“พวกเจ้าหลีกไป เตาหลอมยานี้เป็นของเผ่าพวกเราแล้ว!”
“เตาหลอมยาอย่าหนีนะ พวกเรามาแล้ว!” พริบตานั้น คนจิ๋วเผ่าโอสถดำจำนวนนับไม่ถ้วนในเทือกเขาที่กำลังตื่นเต้นฮึกเหิมก็พากันพุ่งตัวออกมาพร้อมเสียงเอ็ดอึงระเบ็งเซ็งแซ่