บทที่ 1168 ความลับสุดยอด
เนิ่นนานต่อมา เมื่ออารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนพอจะกลับมาเป็นปกติได้บ้างแล้ว จางต้าพั่งก็ยกกาเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่ อ้าปากจะพูดแต่ก็หยุดไปก่อน
ทว่าพอมองป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็พลันเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เสี่ยวฉุน ข้าค้นพบความลับอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง มองจางต้าพั่งแค่ปราดเดียวก็มองออกถึงความคลางแคลงระคนตื่นตะลึงที่ซ่อนอยู่ในจุดลึกของดวงตาจางต้าพั่ง ราวกับว่าความลับที่เขากำลังจะพูดถึงนี้ได้ซุกซ่อนอยู่ในใจของเขามาระยะหนึ่งแล้ว ซ้ำยังเป็นความลับที่ใหญ่อย่างถึงที่สุด
หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่เป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมต้องคิดว่าอีกฝ่ายเสแสร้งแกล้งโอ้อวด ทว่าจางต้าพั่งกลับไม่เหมือนกัน ด้วยตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ ตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นจางต้าพั่งอีกครั้งเขาก็สัมผัสได้แล้วว่าความคิดในร่างของจางต้าพั่งดูเหมือนจะแตกต่างไปจากคนอื่น
ระดับพลังความคิดของเขาเปี่ยมล้นอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจะเป็นเพียงนักพรตก่อกำเนิด แต่พลังความคิดของเขากลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพ เป็นรองแค่เทียนจุนเท่านั้น!
สถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในโลกทงเทียน เขาคงมองไม่ออก และต่อให้มองออกก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ไม่เพียงแต่เป็นเทียนจุน ยังเข้าใจโลกใบนี้ไม่น้อยอีกด้วย
เขารู้ดีว่าจางต้าพั่งมีโครงสร้างเรือนกายที่พิเศษ ราวกับว่าแกนกลางของเรือนกายเขาเกี่ยวข้องกับความคิด หากว่ากันในบางระดับ จะบอกว่าเขาคือลูกรักของพลังแห่งความคิดก็ยังได้
นี่นับว่าเกี่ยวข้องกับการที่จางต้าพั่งเริ่มใช้ความคิดมาหลอมพลังจิตเมื่อหลายปีก่อนอย่างมาก และมาจนถึงบัดนี้ จึงสามารถพูดได้ว่าในด้านความคิดของจางต้าพั่งเป็นรองเพียงแค่เทียนจุนเท่านั้น
“บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตอนนั้นเขาเกิดความฝันว่าจะได้ไปจากโลกทงเทียน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าครุ่นคิด ครั้นแล้วจึงยกมือขวาขึ้น แผ่ตบะออกมา ใช้ตบะของตัวเองสร้างการป้องกันอีกชั้นหนึ่งไว้ในสถานทูตที่แต่เดิมก็มีค่ายกลใหญ่ปกคลุมอยู่แล้ว
“เจ้าใช้อำนาจจิตส่งข้อความเสียงมาให้ข้า เมื่อทำเช่นนั้น ภายในสิบชั่วลมหายใจ ข้าก็มั่นใจว่า…ต่อให้เป็นบุพกาลก็ยังยากจะสัมผัสได้!”
ริมฝีปากของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ขยับ ทว่าอำนาจจิตของเขากลับผสานรวมเข้าไปในสมองของจางต้าพั่ง พอจางต้าพั่งได้ยินประโยคนี้ก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกทันที รีบส่งอำนาจจิตของตัวเองตอบมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เสี่ยวฉุน ข้าค้นพบความลับหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิแส!!”
“ความลับนี้ข้าไม่อาจพูดได้ แล้วก็ยากที่จะบรรยาย ข้ากังวลว่าหากพูดไป ต่อให้เจ้าจะมีการป้องกันไว้ก่อน แต่ก็อาจนำภัยที่ไม่คาดคิดมาสู่ตัว!”
“ดังนั้น หากเจ้าอยากรู้จริงๆ ข้าจะนำเจ้าไปสัมผัสกับตัวเอง แล้วเจ้าก็จะเข้าใจ!”
อำนาจจิตของจางต้าพั่งแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว บางทีอาจเกี่ยวข้องกับพลังความคิดของเขา ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบชั่วลมหายใจ การส่งจิตสำนึกนี้จึงสามารถบอกกล่าวต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวกับความลับนี้ได้อย่างชัดเจน
ปีนั้นหลังจากที่จางต้าพั่งโดยสารเรือรบของมารดาผีมาถึงดินแดนเซียนนิรันดร์กาล และมาถึงราชวงศ์จักรพรรดิแส เนื่องด้วยเชี่ยวชาญด้านการหลอมพลังจิต และเนื่องด้วยก่อนหน้าที่เขาจะมา ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลไม่เคยมีการหลอมพลังจิตเกิดขึ้นมาก่อน
ดังนั้นเมื่อการหลอมพลังจิตปรากฏขึ้นจึงทำให้ทั้งราชวงศ์จักรพรรดิแสตื่นตะลึงครึกโครมกันไปทันที ต่อให้เป็นจักรพรรดิแสเองก็ยังใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง หลังจากให้จางต้าพั่งหลอมพลังจิตอยู่หลายครั้ง จนรู้ว่าหมื่นสรรพสิ่งที่ผ่านการหลอมพลังจิตจะเปลี่ยนไปจากเดิม เขาจึงออกพระราชโองการ ไม่เพียงแต่มอบตัวตนและตำแหน่งให้จางต้าพั่ง ยังมอบ…ภารกิจหนึ่งให้แก่เขาอีกด้วย!
ภารกิจนี้ก็คือให้เขาไปหลอมพลังจิตให้กับทวนยาวสะท้านฟ้า
ซึ่ง…มีมังกรกระดูกล้อมพันอันเป็นที่ตั้งของทั้งนครจักรพรรดิแส!
นี่จึงเป็นเหตุให้จางต้าพั่งมีฐานะที่พิเศษอย่างยิ่งในราชวงศ์จักรพรรดิแส และไม่นานชื่อเสียงก็เริ่มขจรไกล เพียงแต่ว่าจางต้าพั่งรู้ระดับฝีมือของตัวเองดี แล้วก็เข้าใจด้วยว่าหากหลอมพลังจิตให้กับวัตถุอื่นคงพอทำเนา แต่หากหลอมพลังจิตให้กับทวนยาวเล่มนี้แล้วล้มเหลว เขาก็กังวลเรื่องที่ว่าทวนยาวเล่มนี้จะทานรับแรงสะท้อนกลับได้ไหวหรือไม่ หากรับไหวก็ถือว่าดีไป แต่หากทานรับไม่ไหว ทวนยาวพังทลาย สิ่งที่วางรอเขาอยู่ตรงหน้าก็มีเพียงความตายอย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้นก่อนที่จักรพรรดิแสจะออกพระราชโองการ จางต้าพั่งจึงออกตัวไว้ก่อน เขาบอกกับจักรพรรดิแสว่า ด้วยความสามารถของเขา อย่างมากที่สุดก็ได้แค่หลอมพลังจิตห้าครั้งเท่านั้น อีกทั้งการหลอมพลังจิตทั้งห้าครั้งนี้ต้องใช้เวลาทั้งสิ้นหกสิบปีถึงจะมั่นใจได้ว่าจะทำสำเร็จโดยไม่มีข้อผิดพลาด
สำหรับคนของทั้งราชวงศ์จักรพรรดิแสที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่หลอมพลังจิตเป็นแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าข้ออ้างนี้เป็นจริงหรือเท็จ และต่อให้สงสัยก็ทำอะไรไม่ได้ ซ้ำพอใคร่ครวญดีแล้ว จักรพรรดิแสเองก็ยังเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ทว่าในทางลับ คนทั้งราชวงศ์จักรพรรดิแสกลับไม่เคยหยุดศึกษาเรื่องการหลอมพลังจิต โดยเฉพาะเมื่อโลกทงเทียนพังทลาย เมื่อนักพรตและสายเลือดของโลกทงเทียนจำนวนมากกระจัดกระจายกันไปทั่ว ที่ราชวงศ์จักรพรรดิแสเลือกจะจับคนของโลกทงเทียนมาเป็นทาส ก็เพราะพวกเขาอยากจะ…ไขความลับเรื่องการหลอมพลังจิตนั่นเอง!
ส่วนความลับเกี่ยวกับจักรพรรดิแสที่จางต้าพั่งอยากจะบอกป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือ นับตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
จางต้าพั่งได้หลอมพลังจิตให้กับทวนยาวของนครจักรพรรดิแสแล้วถึงสามครั้ง
และทุกครั้งที่มีการหลอมพลังจิต ในสมองของเขาก็จะต้องมีภาพเหตุการณ์ที่เหมือนกันปรากฏขึ้นมา และดูเหมือนว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นภาพนั้นได้ คนอื่นไม่มีทางที่จะได้เห็น จากการวิเคราะห์ของจางต้าพั่งเอง เขารู้สึกว่าเนื่องด้วยความพิเศษของการหลอมพลังจิต จึงเป็นเหตุให้เขามองเห็นภาพที่คนอื่นไม่เห็น และต่อให้เป็นจักรพรรดิแสเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นความระมัดระวังของจางต้าพั่ง ขณะเดียวกันก็มองเห็นความเคร่งเครียดของอีกฝ่าย ดวงตาเขาเป็นประกายวาบ ลังเลอยู่เพียงแค่ครู่เดียวก็ตัดสินใจได้
“จะไปดูได้ตอนไหน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามทันที
“ตอนนี้เลย!” จางต้าพั่งสูดลมหายใจเข้าลึก ความลับนี้เก็บกลั้นอยู่ในใจของเขามานานมากแล้ว เขาไม่เคยกล้าเชื่อแล้วก็ไม่กล้าคิดอะไรมาก แต่เขากลับเข้าใจดีว่า ความลับนี้มีความหมายอย่างมาก นับเป็นเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินที่สุดในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้ได้เลย!
ดังนั้นเมื่อเขาได้พบเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุน จึงเลือกที่จะพูดมันออกมา เพราะลึกๆ ในใจเขาก็เป็นกังวลว่าหากวันใดมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น บางทีนับแต่นั้นมา ความลับนี้…อาจถูกฝังกลบไปในกาลเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังสัมผัสได้ด้วยว่าเมื่อตนหลอมพลังจิตไปแล้วสามครั้ง ภาพเหตุการณ์ที่ทวนยาวส่งเข้ามาในสมองของตน ยิ่งนานก็ยิ่งพร่าเลือนลงไปทุกขณะ
“เกรงว่าอย่างมากที่สุดอีกแค่ครั้งสองครั้ง ภาพเหตุการณ์นี้ก็คงสูญหายไปตลอดกาล เมื่อถึงเวลานั้น…ต่อให้มีคนหลอมพลังจิตให้กับทวนยาวอีกครั้ง ก็คงไม่สามารถมองเห็นภาพนั้นได้อีกแล้ว”
จางต้าพั่งคิดมาถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้นยืนอย่างไร้ความลังเล
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา จึงเก็บซ่อนปราณหายไปจากสถานทูตใหญ่พร้อมกับจางต้าพั่ง พอปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่นอกนครจักรพรรดิแสแล้ว
จางต้าพั่งคุ้นเคยกับนครจักรพรรดิแสอย่างดีเยี่ยม ไม่นานเขาก็พาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินตามทางเล็กๆ มาโผล่ในตำหนักแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของแอ่งกระทะ
ตำแหน่งที่สถานที่นี้ตั้งอยู่ดูเหมือนว่าจะในหลืบร่องหนึ่งของชั้นดิน ไม่ได้โผล่ออกมาด้านนอกทั้งหมด เพียงแต่ว่าด้านบนและด้านล่างจุดที่อยู่ใกล้กับตัวของทวนยาวมีพื้นที่ว่างโล่งอยู่เท่านั้น
ตำหนักนี้ก็คือจวนที่พักที่จักรพรรดิแสมอบให้แก่จางต้าพั่ง ที่นี่สะดวกในการหลอมพลังจิตให้กับทวนยาวของเขา เมื่ออยู่นอกตำหนักจะมองเห็นตัวของทวนยาวที่ปักลึกลงไปในดินท่อนหนึ่งซึ่งโผล่ให้เห็นได้อย่างชัดเจน!
ตรงจุดนั้นสามารถมองเห็นลายเส้นสีเงินสามเส้นได้อย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่านี่คือการหลอมพลังจิตสามครั้งที่จางต้าพั่งทำสำเร็จไปก่อนหน้านี้
เมื่อมาถึงที่นี่ จางต้าพั่งไม่ได้พูดคำใด เพียงชี้ไปยังตัวลำทวนที่อยู่เบื้องหน้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีความลังเล หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น จู่ๆ พาเขามาที่ประหลาดเช่นนี้ ย่อมต้องทำให้เขาคลางแคลงใจแน่นอน ทว่าเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับขยับกายตรงดิ่งไปหยุดอยู่ข้างหน้าลำทวน
เมื่อขยับเข้ามาใกล้ ปราณแกร่งกร้าวขุมหนึ่งก็แผ่ออกมาจากตัวทวน ราวกับว่าทวนนี้เคยผ่านการประหัตประหารมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เพียงแค่เห็นลำทวนท่อนซึ่งเผยให้เห็นอยู่ตรงหน้าก็ถึงกับขนลุกชันไปทั้งร่าง ราวกับตกอยู่สมรภูมิแห่งการเข่นฆ่า ยังดีที่เห็นได้ชัดว่าทวนเล่มนี้เคยผ่านการปิดผนึกมาก่อน แม้ปราณของมันจะแข็งแกร่ง แต่ขอแค่ตบะเหนือกว่าก่อกำเนิดขึ้นไปก็พอจะทนรับปราณนั้นได้ไหว หาไม่แล้ว เกรงว่านครจักรพรรดิแสก็คงไม่สามารถก่อสร้างไว้บนร่างของมังกรกระดูกที่ล้อมพันทวนเล่มนี้ได้
“จำเป็นต้องหลอมพลังจิตงั้นหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก แม้วิธีการหลอมพลังจิตของเขาจะไม่เหมือนกับคนอื่น แต่หากสืบสาวกันถึงแก่นแล้วก็ถือเป็นการหลอมพลังจิตเหมือนกัน หากเป็นในระดับสูง ป๋ายเสี่ยวฉุนจำเป็นต้องใช้หม้อกระดองเต่า แต่หากเป็นแค่การหลอมพลังจิตสี่ครั้ง เขาก็สามารถทดลองได้โดยไม่ต้องพึ่งหม้อกระดองเต่า
อีกอย่างเนื่องจากการหลอมพลังจิตมาจากแดนทุรกันดาร ดังนั้นในด้านความแม่นยำ ขอแค่ไม่หลอมพลังจิตแบบลึกซึ้งนักก็สามารถหยุดชะงักได้ตลอดเวลา
ยามนี้เขาจึงยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นไฟสี่สีกองหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา ก่อนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะค่อยๆ กดมันลงไปบนทวนยาวที่อยู่เบื้องหน้า
แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่มือของป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสเข้ากับทวนยาว วินาทีที่ไฟหลายสีผสานรวมเข้าไปในนั้น สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเปลี่ยนสี พร้อมๆ กับที่ในสมองของเขามีเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดเสียงหนึ่งดังลอยมา
“ข้าไม่ยอม ข้าผิดต่อบรรพชน!!”
ขณะที่เสียงคำรามแหบโหยนี้ยังดังกึกก้อง พริบตานั้นในสมองของเขาก็มีภาพที่น่าตะลึงภาพหนึ่งลอยขึ้นมา!
ในภาพนั้นก็คือจักรพรรดิแส!
เพียงแต่ว่าไม่ใช่แค่องค์เดียว แต่เป็นจักรพรรดิแสถึงสององค์!
คนทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย ภาพเหตุการณ์นั้นพร่าเลือน แต่ไม่นานก็เหมือนสายฟ้าที่แลบผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเพียงว่าจักรพรรดิแสสองคนนี้ มีคนหนึ่งที่ตายไปเพราะการต่อสู้!
เสียงร้องคำรามมาจากปากของจักรพรรดิแสองค์ที่รบตาย และเขาตายด้วยการแทงทะลุจากทวนยาวเล่มนี้ เมื่อถูกทวนยาวแทงเข้าใส่ ศพของเขาก็แหลกมลาย ดวงจิตสิ้นสลายไปไม่มีเหลือ!!