Skip to content

A Will Eternal 1170

A Will Eternal
H

บทที่ 1170 องค์ชายใหญ่ โปรดสำรวมตนด้วย

ตำหนักขององค์ชายใหญ่หรูหราอย่างถึงที่สุด มองไปไกลๆ ก็ราวกับพระราชวังน้อยแห่งหนึ่ง และพอเข้าไปแล้วก็ได้เห็นภูเขาจำลองมากมาย รวมถึงธารน้ำใสกระจ่างสายเล็กสายน้อย

C

โดยเฉพาะปราณแห่งความศักดิ์สิทธิ์แห่งเซียนที่ยิ่งเข้มข้น เพียงแค่สูดลมหายใจทีเดียวก็ทำให้ตบะทั้งร่างได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงไม่น้อย ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นถึงเทียนจุน แต่พอได้เข้ามาในตำหนักขององค์ชายใหญ่แล้วก็ยังอดตื่นตะลึงไม่ได้

“เป็นสถานที่ที่ประเสริฐยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนออกปากชมอย่างอดไม่ได้

“ท่านทูตใหญ่ป๋ายชมเกินไปแล้ว” องค์ชายใหญ่ยิ้มบางๆ แต่ในใจก็ลำพองใจอยู่มาก พอมองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วจึงเอ่ยต่อไปว่า

“นี่ก็ไม่ใช่ว่าต้องขอบคุณโลกทงเทียนที่ท่านทูตใหญ่ป๋ายเคยอยู่หรอกหรือ ที่จวนของเสี่ยวหวังมีบรรยากาศเช่นนี้ได้ก็เพราะเกี่ยวข้องแนบแน่นกับการหลอมพลังจิต”

ระหว่างที่พูด องค์ชายใหญ่ก็ชี้ไปยังภูเขาจำลองลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล

“ท่านทูตใหญ่ เจ้าดูสิ ภูเขาทั้งหมดในตำหนักของข้าเดิมทีเป็นเพียงแค่หินเซียนที่มีค่ายกลสลักไว้เท่านั้น แต่ข้าได้ไปเชิญให้ปรมาจารย์แห่งการหลอมพลังจิตในราชวงศ์จักรพรรดิแสเรามาช่วยหลอมพลังจิตให้หลายครั้ง”

“แม้ว่าจะล้มเหลวอยู่หลายที แต่สุดท้ายก็ยังกลายมามีสภาพให้เห็นอย่างทุกวันนี้ ซึ่งภูเขาจำลองทั้งหมดล้วนผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วถึงสามครั้ง!”

พอพูดถึงการหลอมพลังจิตก็เห็นได้ชัดว่าองค์ชายใหญ่กระตือรือร้นอย่างยิ่ง ตอนที่พาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุใดที่เขาชี้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนดูก็ล้วนผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วทั้งสิ้น

หรือแม้แต่หลักการบางอย่างเกี่ยวกับการหลอมพลังจิต เขาก็พอจะรู้บ้างคร่าวๆ แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างๆ ฟังไปฟังมาก็ตะลึงระคนแปลกใจอยู่ไม่น้อย นั่นเป็นเพราะองค์ชายใหญ่ผู้นี้เป็นคนนอก ที่เข้าใจการหลอมพลังจิตมากที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเจอมาในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล

“ข้ารู้ว่าวิธีการหลอมพลังจิตของโลกทงเทียนพวกเจ้าแบ่งออกเป็นสามประเภทที่แตกต่างกัน วิธีแรกก็คืออาศัยความศรัทธาบางอย่าง วิธีที่สองก็คือใช้วัตถุดิบบางอย่างมาชักนำพลังของฟ้าดิน ส่วนวิธีที่สามนั้นว่ากันว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด นั่นก็คืออาศัยไฟหลายสี!”

“ซึ่งการที่สามารถสร้างไฟหลายสีได้ก็จะทำให้คนผู้นั้นกลายมาเป็นอาจารย์หลอมวิญญาณอีกด้วย! และท่านทูตใหญ่ป๋ายก็คือ…อาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้าเพียงผู้เดียวของโลกทงเทียน…แล้วก็เป็นอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้าที่หาได้ยากที่สุดนับแต่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้!”

องค์ชายใหญ่เหลือบตามองป๋ายเสี่ยวฉุน และคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความตื่นตะลึงของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงคลี่ยิ้ม ก่อนจะทำสีหน้าเสียดายเล็กน้อย

“มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้าเสียดายก็คือ หลังจากการศึกษาทำให้ข้าค้นพบว่าวิธีการหลอมพลังจิตนั้น จำเป็นต้องเป็นคนที่มีสายเลือดของโลกทงเทียนอย่างแท้จริงเท่านั้น ถึงจะสามารถทำสำเร็จ หากคนนอกไม่มีพลังของสายเลือด ต่อให้รู้เคล็ดลับทั้งหมด ก็ไม่มีทางที่จะทำสำเร็จได้ ต่อให้สร้างคนที่มีสายเลือดทงเทียนขึ้นมาใหม่ ก็ไม่รู้ว่าทำไม อัตราความสำเร็จถึงได้ลดน้อยลงไปมาก”

“นี่คือการอำนวยพรที่มารดาแห่งนิรันดร์กาลมอบให้แก่อนุชนคนรุ่นหลังของผู้บงการขุย…”

องค์ชายใหญ่ถอนหายใจ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฟังประโยคนี้ของเขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคาวเลือด

ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วน้อยๆ เตรียมจะอ้าปากพูด ทว่าจู่ๆ องค์ชายใหญ่กลับหมุนขวับกลับมาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเป็นประกายลุกเรือง

“ท่านทูตใหญ่ป๋าย อันที่จริงที่เสี่ยวหวังเชิญเจ้ามา ก็เพราะมีการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะสนใจหรือไม่”

“การแลกเปลี่ยนอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนข่มกลั้นความไม่สบอารมณ์ในใจลงไป แล้วจึงหยุดเดินจ้องหน้าองค์ชายใหญ่กลับไปเช่นกัน

องค์ชายใหญ่แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก สายตากวาดผ่านไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน สายตานี้ของเขาให้ความรู้สึกเหมือนถูกรุกรานแก่คนมอง ราวกับสายตาของพวกผู้ชายหื่นกระหายในกามที่ใช้มองโฉมสะคราญ ท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่ายทำเอาหนังตาป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุกยิกได้ทันที

“ท่านทูตใหญ่ป๋าย เรือนกายนี้ของเจ้า…จะขายให้ข้าได้หรือไม่?”

จบคำพูดขององค์ชายใหญ่ สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มืดทะมึนทันที ทั้งยังเดือดดาลอยู่ในใจ จึงสะบัดปลายแขนเสื้อ แค่นเสียงเย็น

“องค์ชายใหญ่ โปรดสำรวมตนด้วย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ที่แสดงออกอย่างชัดเจน ครั้นแล้วก็ถือโอกาสหมุนตัวเตรียมจะจากไป

“ช้าก่อนท่านทูตใหญ่ป๋าย เจ้าเข้าใจตัวข้าผิดไปแล้ว ที่พูดไปเช่นนั้นเพราะตัวข้ามีความชื่นชอบด้านการเก็บสะสมเรือนกายของนักพรตเป็นพิเศษ

ปรมาจารย์ป๋ายเจ้าอย่างเพิ่งรีบร้อน ขอแค่เจ้ายอมรับปาก ข้าสามารถใช้เรือนกายอื่นมาแลกเปลี่ยนกับเจ้าได้ รับรองว่าเจ้าต้องพอใจแน่!”

“อีกทั้งด้วยตบะของท่านทูตใหญ่ป๋าย คิดจะช่วงชิงไปเองนั้นก็ง่ายมาก ซ้ำเรือนกายที่ตัวข้าเก็บสั่งสมไว้ ไม่ว่าร่างใดก็ล้วนเป็นชิ้นเอก สมบูรณ์แบบไร้ที่ติทุกชิ้น!”

พอองค์ชายพูดจบ ด้วยกลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเข้าใจผิดและปฏิเสธจึงรีบยกมือทั้งคู่ขึ้นปรบหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นภูเขาจำลองทั้งหมดที่อยู่ในตำหนักองค์ชายก็พลันแผ่แสงเจิดจ้าออกมา

ท่ามกลางการกะพริบพราวของแสงพร่าตา ภูเขาจำลองเหล่านั้นก็พากันเปลี่ยนมาเป็นโปร่งใสคล้ายกลายมาเป็นก้อนน้ำแข็ง เผยให้เห็น…ศพมากมายที่ถูกปิดผนึกไว้ด้านใน!!

ศพเหล่านี้มีทั้งชายทั้งหญิง มีทั้งแก่ทั้งเด็ก มีทั้งหน้าตาดีทั้งขี้เหร่ บ้างก็แข็งแกร่งบึกบึน บ้างก็ผอมบางอ่อนแอ แต่มีข้อหนึ่งที่เหมือนกันอย่างไม่มีละเว้นก็คือ ทุกศพล้วนแผ่ประกายแสงวิเศษบางอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าถูกเก็บรักษาอย่างดี!

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่แต่เดิมคิดจะจากไปพลันเบิกตากว้าง เหม่อมองศพทั้งหมดที่อยู่ในภูเขาจำลองรอบด้านด้วยความอึ้งงัน เป็นครั้งแรกที่สมองของเขาตื้อตันคิดอะไรไม่ออก นั่นเป็นเพราะว่าความชื่นชอบอันเป็นงานอดิเรกขององค์ชายใหญ่สร้างความเหลือเชื่อ ทั้งยังเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใบใหม่ให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน

“ไม่นึกเลยว่าจะมีคนชอบเก็บสะสมศพด้วย…แถมยังเอามาไว้ในสวนอีก…”

ขณะที่สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง องค์ชายใหญ่ก็พึงพอใจกับอาการอึ้งค้างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก เพราะเขาภาคภูมิใจในงานอดิเรกของตนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ดังนั้นพอศพรอบด้านเผยให้เห็น เขาจึงถึงกับเริ่มแนะนำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังราวกับว่า พวกมันคือสมบัติที่ประเมินค่ามิได้อย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าดูศพนี้สิ นี่คือศพที่มีธาตุหยางสมบูรณ์เต็มสิบซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้านี้ ในอดีตคนผู้นี้ที่เป็นเพียงคนฟ้าเคยอาศัยเรือนกายที่เหมาะแห่งการสู้รบเรือนกายนี้ต่อสู้กับครึ่งเทพ แข็งแกร่งอย่างไร้คำบรรยาย”

“ยังมีศพนี้ที่ยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่ นี่คือเรือนกายที่มีกลิ่นหอมแห่งเสน่ห์เย้ายวนใจ ผู้ชายที่มีเรือนกายเช่นนี้เกิดมาก็สามารถดึงดูดใจของนักพรตหญิงได้นับไม่ถ้วน ตัวข้าเคยทำการศึกษามาก่อนจึงรู้ว่า ร่างของพวกเขาสามารถแผ่คลื่นชนิดหนึ่งออกมาได้ คลื่นนี้น่าตะลึงอย่างมาก เพราะสามารถชักนำความหวั่นไหวในหัวใจของคนต่างเพศทุกคน!”

“ยังมีผู้เฒ่าคนนี้อีก เจ้าอย่าเห็นแต่ว่าเขาชราภาพอย่างมาก เพราะในความเป็นจริงแล้วคนผู้นี้สามารถพูดได้ว่าเป็นคนที่มีชีวิตอยู่มานานที่สุดในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ทั้งๆ ที่มีตบะครึ่งเทพ ทว่าอายุขัยของเขามากกว่าเทียนจุนไปไกลโข แล้วก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด ต่อให้เป็นเสี่ยวหวังเองก็ไม่สามารถศึกษาได้อย่างถ่องแท้”

ป๋ายเสี่ยวฉุนมององค์ชายใหญ่ที่พูดจ้อแนะนำไม่หยุด โดยที่คนรอบกายไม่มีใครทำสีหน้าประหลาดใจ ก็รู้ได้ว่างานอดิเรกนี้ขององค์ชายใหญ่ไม่ถือเป็นความลับอะไรในราชวงศ์จักรพรรดิแส

จากนั้นก็หันไปมองยังศพที่เขาแนะนำอีกที สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ปั่นป่วนวุ่นวายอย่างมาก มีแต่ความมึนงงสับสน ทั้งยังขนพองสยองเกล้า จำต้องรีบเอ่ยปากตัดบทความเคลิบเคลิ้มขององค์ชายใหญ่

“คือว่า…บิดามารดาเป็นผู้มอบเรือนกายให้ เรื่องนี้ข้าคงต้องขอผ่าน องค์ชายใหญ่ ข้าผู้แซ่ป๋ายยังมีธุระ ขอตัวกลับก่อนล่ะนะ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดแล้วก็รีบถอยหนี

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมจะกลับ องค์ชายใหญ่พลันขมวดคิ้วมุ่น ทำสีหน้าไม่พอใจ ราวกับว่าคำพูดประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด

“ท่านทูตใหญ่ป๋ายไม่ยินยอมก็ไม่เป็นไร แต่คำพูดของเจ้าออกจะคร่ำครึถือกฎเกณฑ์เก่าๆ เกินไป!” องค์ชายใหญ่แค่นเสียงเย็น

“นักพรตอย่างข้า ฝึกวิชาที่ทวนชะตาฟ้าลิขิตมาตลอดชีวิต เป้าหมายก็เพื่อมรรคายิ่งใหญ่แห่งนิรันดร์กาล!”

“และเรือนกายก็เป็นเหมือนเรือลำหนึ่งที่บรรทุกจิตวิญญาณของนักพรตอย่างเราให้ล่องไปบนนาวาแห่งกาลเวลา ทว่าแม่น้ำยาวสายนี้กลับมีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันเส้นทางที่ยาวไกลก็มีเรื่องไม่คาดฝันนานัปการ หากมีเรือแห่งเรือนกายที่ดีกว่าจอดรออยู่ข้างหน้าแล้วได้ผลัดเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ความเป็นไปได้ที่จะเดินไปสุดปลายแห่งมรรคายิ่งใหญ่ก็ย่อมต้องเพิ่มขึ้นอีกมาก!”

เสียงขององค์ชายใหญ่ที่ทรงพลังแต่มีทิฐิดื้อรั้นซุกซ่อนอยู่ดังกังวานไปสี่ทิศ

ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังมาถึงตรงนี้ก็ชะงักอึ้งไปครู่ เพราะว่าหากฟังปราดๆ เขาก็รู้สึกว่าคำพูดขององค์ชายใหญ่เหมือนจะมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย

“ในฐานะที่ท่านทูตใหญ่ป๋ายเป็นเทียนจุน ความรู้ย่อมกว้างขวางอย่างที่เสี่ยวหวังไม่กล้าเชื่อ เรือแห่งเรือนกายก็ย่อมควรต้องเปลี่ยนให้บ่อยถึงจะถูก แบบนี้ถึงจะประหยัดเวลา พุ่งดิ่งไปยังปลายทางแห่งมรรคาที่ยิ่งใหญ่ได้โดยเร็วที่สุด!”

องค์ชายใหญ่ที่พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งใจรับฟังก็ให้กระหยิ่มใจ

นี่ก็คือวิถีของเขา แล้วก็เป็นความเชื่อมั่นที่เขาคิดว่า มันจะพาเขาไปสู่ปลายทางมรรคายิ่งใหญ่แห่งนิรันดร์กาลได้

“ส่วนเรื่องที่บอกว่าบิดามารดาเป็นผู้มอบเลือดเนื้อให้นั้น แม้เรื่องนี้จะไม่ผิด แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่เรือลำแรกในชีวิตของพวกเราเท่านั้น ไม่ต่างจากสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง แล้วข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่า ตอนนี้ท่านทูตใหญ่ป๋ายจะยังใช้สมบัติอาคมชิ้นเดียวกับตอนที่เพิ่งเริ่มฝึกตน!”

องค์ชายใหญ่พูดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดสูดหายใจดังเฮือกอย่างห้ามไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขารู้สึกว่าองค์ชายใหญ่พูดไม่ถูก ทว่าไอ้ท่าทางยืนกรานเด็ดเดี่ยวของคนผู้นี้กลับทำให้คนฟังไม่อาจกังขาอะไรได้

“ท่านทูตใหญ่ป๋าย เจ้าลองดูเสี่ยวหวังอย่างข้าสิ มือขวาข้างนี้ของข้ามาจากเผ่าพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ มีพลังแห่งความเยียบเย็น มือซ้ายของข้ามาจากสายเลือดสะท้านฟ้า หากร่ายวิชาอภินิหารขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีได้เมื่อนั้น!”

“ยังมีขาขวาของข้าที่เป็นขาแห่งความดุร้าย ส่วนขาซ้ายของข้าก็เป็นขาแห่งสัตว์ร้ายในตำนาน!”

องค์ชายใหญ่กระชากสาบเสื้อให้เปิดอ้า เผยให้เห็น…เรือนกายที่ดูเหมือนว่าจะประกอบกันขึ้นมาจากส่วนต่างๆ ของร่างกายคนจำนวนนับไม่ถ้วน!

บนร่างนั้นมีรอยแผลเป็นอยู่เหลือคณานับ ทำให้คนที่มองเห็นอกสั่นขวัญผวา

จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะเทือนไปเพราะการกระทำเช่นนี้ขององค์ชายใหญ่เช่นกัน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่มีความชื่นชอบประหลาดแบบนี้อยู่ด้วย

“พ่อเขาก็อนุญาตด้วยหรือ?” ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจของป๋ายเสี่ยวฉุน องค์ชายใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์ในด้านนี้มามากเลยพอจะเดาความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนออกจึงยิ้มน้อยๆ

“แม้ว่าในอดีตองค์จักรพรรดิแสจะเคยคัดค้านวิถีของข้า ทว่าเมื่อนานมากมาแล้ว เขาก็ไม่คัดค้านอีกต่อไป ซ้ำยังเห็นด้วยอย่างถึงที่สุด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!