Skip to content

A Will Eternal 1172

บทที่ 1172 สวัสดิการ

ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถามคำถามนี้ออกมา นักพรตทงเทียนที่สีหน้าเยียบเย็นตลอดเวลา ต่อให้เป็นตอนก่อนหน้านี้ที่กระอักเลือดก็ยังคงความเฉยชาอำมหิตดุจเดิม มาบัดนี้กลับตัวสั่นเบาๆ อย่างที่แทบสังเกตไม่เห็น

จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงต่ำ ปกปิดความซับซ้อนและความขมขื่นเสี้ยวหนึ่งที่ผุดขึ้นมาทางดวงเอาไว้ ต่อให้สีหน้าเช่นนี้จะหายไปเพียงชั่วพริบตา ทว่าน้ำเสียงของเขาก็ทุ้มหนักกว่าเดิมไม่น้อย

“นาง…ยังมีชีวิตอยู่”

“อยู่ที่ไหน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่หันหลังให้นักพรตทงเทียนก็ตัวสั่นเทิ้มเบาๆ ไม่ต่างกัน หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก เขาก็ถามขึ้นเป็นประโยคที่สอง

“ข้าหานางไม่เจอ…” นักพรตทงเทียนเงียบงันไปนานกว่าจะเอ่ยขึ้นเบาๆ

หาไม่เจอ…ชั่วขณะที่ประโยคนี้ดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีอารมณ์หรือความคิดแบบใด ครู่ใหญ่ต่อจากนั้นถึงทะยานไปยังทิศไกลโดยไม่ได้เอ่ยถามเป็นประโยคที่สาม

จนกระทั่งกลับมาถึงสถานทูตใหญ่ เมื่อได้นั่งขัดสมาธิลงไปในห้องลับที่ใช้ปิดด่าน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสั่นเทิ้ม ดวงตาของเขาฉายความเศร้าอาดูร เบื้องหน้ามีภาพเหตุการณ์ในปีนั้นที่ตนถูกนักพรตทงเทียนดูดพลังหวังเลื่อนขอบเขตแล้วตู้หลิงเฟยยืนร้องไห้วิงวอนอยู่ด้านข้างด้วยความสิ้นหวัง

“มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ขนาดนักพรตทงเทียนที่เป็นเทียนจุนก็ยังหาตู้หลิงเฟยไม่เจอ แต่ขอแค่ได้รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เชื่อว่าสักวันตนต้องหานางจนเจอแน่นอน

ก็เหมือนป๋ายฮ่าว…ขอแค่ยังมีความหวังแม้เพียงเสี้ยวเดียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะต้องทุ่มเททุกอย่างที่มี โดยที่จะไม่ทิ้งความเสียดายไว้ข้างหลัง นี่คือความคิดอันงดงามของเขา แล้วก็เป็นความเชื่อมั่นที่อยู่ในใจของเขาด้วย

“ต้องทำได้แน่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เวลานี้หัวใจเต็มไปด้วยความอัดอั้นกดดัน เขาจึงได้แต่หลับตาลง ใช้การฝึกบำเพ็ญเพียรที่ในอดีตตนไม่เคยชื่นชอบมาสงบจิตใจของตัวเอง

เพียงชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว หนึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยหยุดฝึกตน และดูเหมือนว่าการตะบี้ตะบันฝึกตนท่าเดียวเช่นนี้จะกลายมาเป็นความเคยชินของเขาไปแล้ว เพราะมีเพียงจมอยู่กับการฝึกตนเท่านั้น เขาถึงจะไม่หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ไปแตะต้องความเจ็บปวดและขมขื่นในส่วนลึกของหัวใจ

จนกระทั่งผ่านไปได้อีกหนึ่งเดือน ภายใต้การทดลองและการอนุมานของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อแน่ใจว่าวิญญาณวัตถุอยู่ในสภาวะหลับลึกอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกลับเข้ามาบนซากพัดที่ล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศ รอบซากพัดมีเพียงความมืดมิดอันธกาล ยืนมองท้องฟ้ามวลดาราอยู่ตรงนั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ห่างดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมาไกลแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือสถานที่ใด เขารู้เพียงว่า ขณะที่ตนยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือจิตสำนึกก็คล้ายจะไม่เหมือนกับตอนอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลซักเท่าไหร่

“จักรวาลกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยขึ้นเบาๆ เขารู้สึกดีใจมากที่ตัวเองได้ครอบครองซากพัดเล่มนี้ มันไม่เพียงแต่ทำให้การฝึกตนของเขาพัฒนาเร็วขึ้น ยังช่วยเปิดประตูบานใหญ่ให้แก่เขาอีกด้วย

มันทำให้เขาได้เดินออกมาจากดินแดนเซียนนิรันดร์กาล เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้าตน คนของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลจะเคยเดินออกมาเหมือนอย่างเขาหรือไม่

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเชื่อว่า ต่อให้มีอยู่จริงก็คงจะน้อยแสนน้อย เกรงว่าแม้แต่จักรพรรดิแสและจักรพรรดิเซิ่งก็คงไม่สามารถออกมาได้ไกลขนาดนี้เหมือนเขา

“บางที ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล…อาจมีข้าคนเดียวที่เคยมาเยือนที่นี่”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพรูลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง หลังจากค่อยๆ ถอนสายตากลับคืนมาก็หันไปมองบนซี่พัด

“หลังจากด่านที่เจ็ดสิบแปดไป ดูเหมือนว่าจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ ครั้นจึงบึ่งตรงไปยังซี่พัด ไม่นานก็มาถึงด่านที่เจ็ดสิบเก้าแล้วเริ่มฝ่าด่านต่ออีกครั้ง!

ระดับความยากของด่านที่เจ็ดสิบเก้า หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทดลองดูแล้วก็ให้สะท้านใจ เพราะมันยากยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดการณ์ไว้มากนัก ในด่านที่เจ็ดสิบเก้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องใช้เวลาหมดไปเกือบครึ่งเดือนกว่าจะผ่านมันมาได้อย่างยากลำบาก

หากไม่เป็นเพราะพลังการฟื้นตัวของเรือนกายเขาแข็งแกร่งเกินคนทั่วไป ทั้งยังได้ดูดซับเอาแก่นเลือดเนื้อของผู้บงการมาไว้ในร่าง เกรงว่าคงไม่สามารถข้ามผ่านมันจนเข้าไปสู่ด่านที่แปดสิบได้เลย…

เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในอดีตช่องว่างระหว่างช่วงที่วิญญาณวัตถุหลับสนิท ป๋ายเสี่ยวฉุนจะสามารถฝ่าด่านติดต่อกันได้ประมาณสิบด่าน ทว่าตอนนี้ใช้เวลาไปเท่ากัน แต่เขากลับฝ่าไปถึงแค่ด่านที่แปดสิบสามเท่านั้น!

ตอนที่เดินออกมาจากด่านที่แปดสิบสาม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นอนแผ่หลาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ ไม่ว่าจะเป็นพลังกล้ามเนื้อหรือพลังตบะก็แทบจะแห้งขอด

“ยากเกินไปแล้ว…” การพักผ่อนครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนใช้เวลาทั้งหมดสามวัน เมื่อวันที่สามผ่านพ้นไปและพลังทั้งหมดของเขาฟื้นคืนกลับมา หลังจากวิเคราะห์เวลาที่วิญญาณวัตถุจะตื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลังเลไปครู่หนึ่ง

“เวลาเท่านี้อาจไม่พอให้ฝ่าด่านที่แปดสิบสี่ได้ เจ้าวิญญาณวัตถุน้อยนั่นอีกสองสามวันก็น่าจะตื่นแล้ว แต่ว่าข้าก็สามารถเข้าไปสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงในด่านนี้ได้ก่อน จากนั้นค่อยกลับไปหาวิธีฝ่ามัน” เมื่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันตรงดิ่งเข้าไปยังด่านที่แปดสิบสี่

เพียงแต่ว่าแม้แต่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังคาดไม่ถึงว่า เขาที่เพิ่งจะเข้าไปในด่านที่แปดสิบสี่ก็ต้องอึ้งงัน เบิกตากว้าง มองทุกอย่างตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ

“นี่…นี่…”

“นี่คงไม่ใช่เรื่องจริงกระมัง…คุณพระช่วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนเซ่อเหม่อมองโลกในด่านที่แปดสิบสี่อยู่ตรงนั้น ที่นี่คือฟ้าดินที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง พื้นดินเยียบเย็น ท้องฟ้ามืดมน แม้ว่าจะมีพืชพรรณเติบโต แต่ส่วนใหญ่กลับแห้งเหี่ยว ปราณแห่งความตายที่เข้มข้นขุมหนึ่งแผ่อบอวลไปทั่วโลกใบนี้

ส่วนความว่างเปล่ารอบด้านนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็น…วิญญาณจำนวนมาก!!

วิญญาณเหล่านี้พากันลอยไปลอยมาอย่างไร้จิตสำนึก ราวกับว่าหากไม่มีคนเข้าไปรบกวน พวกมันก็จะล่องลอยอยู่อย่างนี้ไปตลอดกาล แต่หากมีคนเข้าไปรบกวนล่ะก็ พวกมันจะถูกปลุกให้กลายมาเป็นวิญญาณร้ายที่เขมือบกลืนทุกชีวิต ระดับความเหี้ยมโหดของพวกมัน แค่ดูจากจำนวนของพวกวิญญาณที่อยู่ที่นี่ก็มากพอจะทำให้หลายๆ คนขนหัวตั้งชันได้แล้ว

เพราะสำหรับนักพรตในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแล้ว วิญญาณก็คือวัตถุสิ่งหนึ่งที่เลื่อนลอยและพบเห็นได้น้อยมาก เว้นเสียแต่ว่าตบะจะมากพอถึงระดับที่แน่นอน หาไม่แล้วก็ยากที่จะขับไล่พวกมันไปได้

ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบตั้งแต่ตอนที่เพิ่งมาอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล แล้วก็ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยหาไฟหลายสีมาชดเชยเพิ่มได้ แล้วก็ไม่สามารถใช้การหลอมไฟมาชุบชีวิตของป๋ายฮ่าวด้วย

ทว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นวิญญาณเหล่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หอบหายใจกระชั้นดังฟืดฟาด เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะตาลายละลานตาไปหมด ความรู้สึกเลื่อนลอยประหนึ่งคนยากจนข้นแค้นได้มาพบภูเขาทองคำทั้งลูกนั้นเด่นชัดมากเป็นพิเศษ

และเวลาเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฎตัวนั้นเอง พวกวิญญาณที่อยู่รอบด้านก็เหมือนถูกกระตุ้น พากันฟื้นตื่นจากสภาวะไร้จิตสำนึก หันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน

จำนวนของวิญญาณที่อยู่รอบด้านแทบจะใกล้เคียงกับคำว่านับไม่หวาดไหว พอพวกมันพากันหันมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันร้องคำรามไม่มีเสียง ก่อให้เกิดริ้วคลื่นแผ่ไปรอบด้าน ครั้นแล้วจึงชักนำพายุให้โหมกระหน่ำขึ้นมาในด่านที่แปดสิบสี่ ประหนึ่งฟ้าดินพลิกกลับ โลกทั้งใบเดือดพล่านขึ้นมาอย่างน่าพรั่นพรึง

วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนแสดงท่าทางดุร้าย เผ่นโผนกระโจนใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างบ้าคลั่ง!

“สวรรค์ นี่มันคือเรื่องจริงหรือนี่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขยี้ตา ไม่ทันรอให้พวกวิญญาณเข้าใกล้ เขาก็เป็นฝ่ายถลันออกไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้นคว้าวิญญาณพยาบาทมาได้ดวงหนึ่งแล้วบีบหนึ่งที ครั้นแล้วไฟหนึ่งสีหนึ่งกองก็ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของเขา

มองเห็นไฟหนึ่งสี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันตื่นเต้นดีใจ ลมปราณของเขาสั่นกระเพื่อมรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา? สวรรค์ ที่นี่…ข้ารักที่นี่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะดังลั่นด้วยความฮึกเหิมสุดขีด เขารู้สึกว่าซากพัดเล่มนี้ดียิ่งนัก ด่านก่อนหน้านี้โหดแสนโหด ทว่าตอนนี้กลับมอบสวัสดิการให้ตน…

เวลานี้ต่อให้วิญญาณวัตถุฟื้นตื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่สนอีกแล้ว ในสมองของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยวิญญาณ นั่นก็เพราะว่าช่วงเวลาที่ได้มาอยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ป๋ายเสี่ยวฉุนขาดแคลนวิญญาณมาหลอมไฟหลายสีอย่างมาก ซ้ำยังเอาไฟหลายสีมาใช้จนเกือบจะหมดแล้วด้วย

เป็นเหตุให้ตอนนี้การหลอมพลังจิตของเขาไม่สามารถฟุ่มเฟือยได้อย่างในอดีต จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักให้ดีเสียก่อนถึงจะเลือกว่าควรหลอมพลังจิตให้กับอะไร

“ของข้า ของข้า!!”

“อย่าหนีนะ ฮ่าๆ วิญญาณเด็กดี จงมาหานายท่านป๋ายของพวกเจ้าตรงนี้!”

“รวยแล้ว คราวนี้รวยแล้วจริงๆ!” โลกทั้งใบก้องไปด้วยเสียงแห่งความครึกครื้นเปี่ยมสุขของป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนพวกวิญญาณที่เดิมทีดุร้ายอำมหิต ต่อให้พวกมันจะไม่มีสติปัญญาสักเท่าไหร่ แต่ไม่นานพวกมันก็อึ้งงันไปเหมือนกัน…

นั่นก็เพราะว่าถึงแม้พวกมันจะไม่เคยพบใครที่บุกเข้ามาถึงที่นี่ได้มาก่อน ทว่าสัญชาตญาณของพวกมันก็เหมือนจะบอกพวกมันว่า…คนที่มีชีวิตควรจะกลัวพวกมันถึงจะถูก ทว่าตอนนี้ ทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือก็จะต้องมียารวมวิญญาณกำใหญ่ถูกขว้างออกมา และท่ามกลางเสียงตูมๆ ของยาที่ระเบิดแตก วิญญาณทั้งหลายก็ถูกดูดกระชากหายไปเป็นแถบๆ

หากมีเพียงเท่านี้ก็ยังพอทน แต่นี่เขายังทั้งหลอมไฟ ทั้งยังเป็นฝ่ายปรี่เข้ามาใกล้เสียแทน ราวกับว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด เป็นเหตุให้วิญญาณพยาบาททั้งหลายที่อยู่รอบๆ เริ่มเกิดความหวาดกลัวขึ้นเป็นครั้งแรก ก่อนที่แต่ละดวงจะหวีดร้องแล้วแตกฮือเผ่นกระเจิง หมายจะหนีไปให้ไกลจากเงื้อมมือมารของป๋ายเสี่ยวฉุน

“เด็กดีอย่าหนีสิ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงประหลาด ดวงตาทั้งคู่ลุกเรือง กระโจนเข้าใส่อย่างคึกฮึกเหิม…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!