บทที่ 1173 บรรทุกกลับเต็มลำ
(*ชื่อตอนคือคำเปรียบเปรย เรือที่บรรทุกข้าวของกลับเต็มลำเปรียบถึงการกลับมาพร้อมกับความสำเร็จเต็มที่)
สำหรับวิญญาณพยาบาทเหล่านี้ เดิมทีตลอดชีวิตที่ผ่านมาพวกมันอยู่อย่างไร้ความหวาดกลัว และเดิมทีก็ควรต้องเป็นพวกสิ่งมีชีวิตที่พรั่นกลัวพวกมัน ซ้ำทั้งโลกใบนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นโลกแห่งความตายอยู่แล้ว
ทว่าบัดนี้…หลังจากการมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากการเยื้องกรายมาเยือนเป็นครั้งแรกของอาจารย์หลอมวิญญาณชั้นฟ้า หลังจากการระเบิดของยารวมวิญญาณที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบนซากพัด ทุกอย่างก็พลัน เปลี่ยนแปลงไป…
เสียงตูมตามดังสะท้อนก้องอยู่ในโลกใบนี้ไม่ขาดระยะ ยาอื่นๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกเอาไปใช้จนเกือบหมดสิ้นแล้ว มีเพียงยารวมวิญญาณเท่านั้นที่เนื่องจากในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลไม่มีที่ให้เอาออกมาใช้ ดังนั้นจึงยังคงมีเก็บไว้เป็นจำนวนมาก
จะอย่างไรซะตอนที่อยู่ในแดนทุรกันดาร ยารวมวิญญาณก็คือของจำเป็นที่ต้องมีติดบ้านและติดกระเป๋าทุกครั้งที่ออกเดินทางของเขา ซึ่งมันกลายเป็นความเคยชินเสียแล้วที่ยามออกจากบ้านเมื่อใดแล้วพบเห็นวิญญาณร้ายตามจุดต่างๆ ก็จะต้องควักยารวมวิญญาณออกมาใช้
ความเคยชินเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลหวนนึกถึงเมื่อไหร่ก็จะต้องรู้สึกคันไม้คันมือด้วยความเสียดายไปซะทุกครั้ง ทว่าตอนนี้…เขาอารมณ์ดี ฮึกเหิมและตื่นเต้นอย่างมากแล้ว
นั่นเป็นเพราะว่าวิญญาณที่อยู่ที่นี่มีมากมหาศาลจนป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าด่านนี้ก็คือสวัสดิการพิเศษของตน ผลประโยชน์เหนือกว่าทุกด่านที่เคยได้รับมา
ซ้ำป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าหลังจากผ่านนี้ไป ของรางวัลจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น หรือจะไม่มีของรางวัลเลยก็ยังได้ เพราะว่าวิญญาณพยาบาทที่อยู่ในด่านนี้ถือเป็นของรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว
“วิญญาณเด็กดี อย่าหนีไปเลย นายท่านป๋ายของพวกเจ้ามีเมตตานักล่ะ รับรองว่าไม่มีทางรังแกพวกเจ้าแน่นอน” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนทอแสงแรงกล้า ร่างก็เคลื่อนขยับไปมารวดเร็วไม่หยุดพัก ทุกครั้งที่ยารวมวิญญาณระเบิดเสียงดังตูมตาม เขาก็จะต้องยกมือขวาขึ้นคว้าจับผ่านอากาศ เก็บเอาพวกวิญญาณที่ถูกยารวมวิญญาณดูดมาเป็นก้อนกลมลงไปในถุงเก็บของ
“นี่มันคือการเก็บวิญญาณชัดๆ!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้นด้วยความตื่นเต้น เจ็บใจก็แต่ความเร็วของตนช้าเกินไป แล้วก็เจ็บใจที่เกิดมามีแค่สองมือ เขากลัวว่าจะถูกด่านนี้ขับไล่ออกไปเสียก่อน จึงใช้พละกำลังทั้งหมดเท่าที่มีกวาดเอาวิญญาณพยาบาทมาอย่างบ้าคลั่ง
“อย่าหนีนะ พวกเจ้าว่าง่ายกันหน่อยสิ!”
“บัดซบ อย่าหนีเซ่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตาแดงก่ำ ร้องคำรามพลางคว้าจับดวงวิญญาณไปด้วยจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าวิญญาณพยาบาททั้งหมดที่อยู่ในโลกใบนี้ เหลือก็แต่พวกที่แตกฮือไปตอนแรกด้วยเกิดหวาดผวาตามสัญชาตญาณเป็นครั้งแรกหลังจากที่พวกมันกลายมาเป็นวิญญาณพยาบาท
และขณะที่วิญญาณพยาบาทของทั้งโลกถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเอาไว้ประมาณสองถึงสามส่วน วิญญาณวัตถุของซากพัดก็ได้ฟื้นตื่นในที่สุด มันที่เพิ่งตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฝ่าด่าน จนกระทั่งกวาดอำนาจจิตไปทั่วทุกด่านก็พลันได้เห็นภาพเหตุการณ์ชวนตะลึงที่เกิดขึ้นในด่านที่แปดสิบสี่
ทั้งหมดนี้ทำให้วิญญาณวัตถุอึ้งงันไปทันที เนิ่นนานถึงได้สูดลมดังเฮือกคล้ายไม่กล้าเชื่อสิ่งที่สายตามองเห็น
“นี่…นี่…” วิญญาณวัตถุตัวสั่น ทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะมีน้ำตา ทว่าบัดนี้มันกลับเกิดความรู้สึกวู่วามอยากจะร้องไห้โฮออกมาดังๆ
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนตัวหายนะ!!” วิญญาณวัตถุแหงนหน้าแผดเสียงคำรามอย่างบ้าระห่ำ
“วิญญาณของข้า วิญญาณทั้งหลายของข้า นี่มันคือวิญญาณที่จำแลงขึ้นมาจากความว่างเปล่าหลังจากฝึกต้นกำเนิดเต๋าเป็นตายได้สำเร็จซึ่งในปีนั้นใต้เท้าผู้บงการต้องสิ้นเปลืองปัญญาและกำลังแทบล้มประดาตายเชียวนะ!!”
“สวรรค์ วิญญาณพวกนี้ทุกดวงต่างก็มีพลังแห่งต้นกำเนิดเต๋าเป็นตายแฝงอยู่ทั้งสิ้น แต่ละตัวมิอาจประมาณค่าได้!!!” วิญญาณวัตถุรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า มันพลันแผ่อำนาจจิตออกไปผสานรวมในด่านแล้วใช้อำนาจพิเศษของตนอย่างไม่ลังเล หมายจะบีบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าด่านนี้ไปได้สำเร็จ
โลกในด่าน ฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงาย ลมกระโชกเมฆซัดตลบปั่นป่วน แรงดึงดูดมหาศาลขุมหนึ่งพุ่งมาจากท้องฟ้า แล้วปกคลุมป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ ขณะเดียวกันในโลกใบนี้ก็พลันส่งแรงขับไล่รุนแรงออกมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจขึ้นมาครามครัน
“วิญญาณวัตถุน้อย ทำอะไรของเจ้า เจ้าโกงนี่นา ด่านนี้ข้ายังฝ่าไม่สำเร็จเลย เจ้าปล่อยให้ข้าผ่านด่านได้อย่างไร!”
“เจ้าคือวิญญาณวัตถุนะ หัดเคารพกฎบ้างเป็นไหม ทำไมเจ้าถึงได้ยอมจำนนง่ายขนาดนี้ มาๆๆ มาปล่อยข้าออกไป คราวนี้ข้าจะใช้ความสามารถที่แท้จริงฝ่าด่านนี้ไปให้ได้!” เมื่ออยู่ท่ามกลางแรงดึงดูดและแรงขับไล่นั้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกหอบขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย เขามองเหล่าวิญญาณที่กระจายไปทั่วซึ่งอยู่ห่างจากตนไปทุกขณะ ในใจก็ให้เดือดดาลยิ่งนัก
“เจ้าวิญญาณวัตถุน้อย ข้าดูแคลนเจ้านัก!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งเสียงคำรามเดือดดาลที่ดังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้จนดังก้องไปทั้งโลก ทั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องจากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนยังใช้อำนาจของตนบนซากพัดพยายามจะรั้งตัวเองให้อยู่ที่นี่ต่อไปให้จงได้
“หุบปาก หุบปาก หุบปากไปเลย!!!” วิญญาณวัตถุโกรธจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต่อต้านตัวเอง ซ้ำการต่อต้านนั้นยังค่อยๆ เกิดความสมดุลบางอย่าง จนป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ท่ามกลางความสมดุลนี้สามารถโยนยาออกมาดังตูมตาม และดันยังคงดูดเอาวิญญาณให้กลายเป็นลูกวิญญาณไปได้อย่างต่อเนื่องอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ทำให้วิญญาณวัตถุน้อยคลุ้มคลั่งสุดขีด มันไม่สนใจอีกแล้วว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นอะไร ต่อให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการทำให้ตัวเองที่เพิ่งตื่นหลับสนิทไปอีกครั้งก็ยังเลือกจะใช้สิทธิ์ควบคุมทุกอย่างส่งป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปจากโลกใบนี้ในเสี้ยววินาที
จนกระทั่งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหายวับไป วิญญาณวัตถุก็พลันอ่อนระโหยโรยแรง แม้แต่อำนาจจิตก็ยังอ่อนจางลงไม่น้อย เพียงแต่ว่ามันในเวลานี้กลับรู้สึกสิ้นหวังลึกล้ำยิ่งกว่าความเหนื่อยล้านี้ไปไกลโขนัก
มันอยากจะสาบานอีกครั้งว่าจะต้องเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนให้ตายให้จงได้ ทว่าคำสาบานแบบนี้หลุดออกจากปากของมันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และทุกครั้ง…กลับต้องจบลงด้วยความเหนื่อยหน่ายใจที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุน เป็นเหตุให้ตอนนี้มันเริ่มรู้สึกแล้วว่านี่คงจะเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้
“หรือว่าเขาคือดาวพิฆาตของข้า!!” วิญญาณวัตถุน้อยคร่ำครวญอย่างรันทดหดหู่ ในใจรู้สึกย่ำแย่จนมิอาจหาถ้อยคำมาบรรยาย บวกกับพลังที่เผาผลาญไปมากเกิน เวลานี้จึงค่อยๆ หลับสนิทลงไปอีกครั้ง
บนซากพัดนอกด่าน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโผล่พรวดออกมา ในใจเขายังกรุ่นเดือด สีหน้าก็ฉุนเฉียวหงุดหงิด พยายามจะเข้าไปอีกครั้ง แต่กลับพบว่าเป็นเหมือนเมื่อครั้งโลกของเผ่าโอสถดำ ไม่ว่าจะเป็นด่านที่อยู่บนซากพัดซี่ใดก็ตาม และไม่ว่าจะทำอย่างไรตนก็ไม่อาจเข้าไปได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่แม้จะไม่ยินยอม เขาก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียดเท่านั้น
“เจ้าวิญญาณวัตถุนี่ขี้เหนียวเกินไปแล้ว ก็แค่วิญญาณไม่ใช่หรือ วันหน้าซากพัดนี่ต้องเป็นของข้า แม้แต่ตัวมันเองก็ต้องเป็นของข้า ข้าเอาของของตัวเองมาใช้ ขนาดข้ายังไม่เสียดาย แล้วมันจะเสียดายอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงดังหึอยู่ในลำคอ ก่อนจะก้มหน้าลูบคลำถุงเก็บของ พอสัมผัสได้ว่าวิญญาณที่ตนเอาออกมายังอยู่ดี หัวใจเขาก็พลันสะท้านด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
“ไม่เคยมีวิญญาณมากขนาดนี้มานานแล้ว…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มคันไม้คันมือ จึงถือโอกาสหยิบเอาวิญญาณออกมาบนลานกว้างของซากพัดแล้วเริ่มหลอมไฟ เมื่อเปลวเพลิงลุกท่วมชัชวาล ไฟหลายสีกองแล้วกองเหล่าถูกป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมออกมา แม้ว่าจะไม่เกินสิบห้าสี ทว่าไฟที่ต่ำกว่าสิบห้าสีลงไปกลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมออกมาไม่น้อย
เพราะอย่างไรซะหากหลอมเกินสิบห้าสีขึ้นไป ด้านหนึ่งเป็นการเพิ่มความยากให้มากขึ้น อีกด้านหนึ่งจำนวนวิญญาณที่ต้องเผาผลาญก็เพิ่มอย่างมหาศาล ต่อให้ครั้งนี้ผลเก็บเกี่ยวของป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ธรรมดา แต่เมื่อเขาลองคำนวณดูก็รู้ว่ายังไม่มากพอจะให้ตนนำมาหลอมได้ถึงไฟยี่สิบสองสีขึ้นไป
“ขาดอีกหน่อยก็สามารถหลอมไฟยี่สิบสองสีได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตราประทับของป๋ายฮ่าวที่อยู่บนหลังมือของตัวเอง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกก็ตั้งมั่นไว้แล้วว่ารอตนเป็นนายของซากพัดเล่มนี้เมื่อไหร่ จะต้องเก็บวิญญาณที่อยู่ในด้านนี้มาให้หมดจนได้
ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนำวิญญาณที่ได้มาครั้งนี้มาหลอมเป็นไฟหลายสีได้พอสมควรแล้ว และจำนวนไฟหลายสีในถุงเก็บของของเขาก็ได้รับการชดเชยแล้วไม่น้อย ด้วยความพึงพอใจ มองไปบนซากพัดพลางครุ่นคิด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าควรจะกลับไปพักผ่อนก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่
คิดมาถึงตรงนี้ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ พร่าเลือนและจางหายไปในท้ายที่สุด เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งก็กลับมาอยู่ในห้องลับสถานทูตใหญ่ของนครจักรพรรดิแส
“บรรทุกสินค้ากลับมาเต็มลำ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากในห้องลับด้วยสีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า จากนั้นก็เรียกครึ่งเทพสองคนที่เป็นลูกน้องมาพบ เมื่อรับฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงที่เขาปิดด่านเรียบร้อยก็ให้คนทั้งสองกลับไป ส่วนตัวเองเข้าฌานฟื้นฟูตบะ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกเจ็ดวัน เมื่อไม่ว่าจะเป็นตบะหรือแรงกายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนกลับคืนมาเปี่ยมล้นสมบูรณ์ดีดังเดิมแล้ว เขาก็เตรียมจะไปฝ่าด่านที่ซากพัดต่อ ทว่าเวลานี้เอง…พระราชโองการฉบับหนึ่งพลันถูกส่งออกจากในวังจักรพรรดิแส ตรงมายังสถานทูตใหญ่ พอพระราชโองการขยับเข้ามาใกล้ ไม่ต้องรอให้ใครไปรับก็กระจายตัวออกด้วยตัวเอง แล้วกลายมาเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยบารมีน่าเกรงขามซึ่งดังก้องไปทั้งสถานทูต
“เรียกตัวป๋ายเสี่ยวฉุนทูตใหญ่แห่งราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งเข้าวังทันที!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าพรวด ขยับกายทะยานขึ้นไปกลางอากาศเหนือสถานทูตใหญ่ ในหูยังมีเสียงก่อนหน้านี้ดังก้อง นักพรตคนอื่นๆ ที่อยู่ในสถานทูตก็พากันเดินออกมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความฉงนสนเท่ห์เช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ลังเลอยู่เล็กน้อย ครุ่นคิดว่าจะเป็นเรื่องที่สู้กับนักพรตทงเทียนก่อนหน้านี้หรือไม่ ถึงทำให้จักรพรรดิแสเรียกตัวไปรับโทษ?
“คงไม่ใจแคบขนาดนั้นกระมัง…” พอครุ่นคิดอย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ จะอย่างไรซะตนก็เป็นถึงทูตใหญ่ของราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่ง เว้นเสียแต่ว่าจะทำความผิดใหญ่โตจริงๆ หาไม่แล้ว การสู้รบกับนักพรตทงเทียนในเวลาสั้นๆ ก็ไม่มากพอที่จะให้เขาถูกตัดสินโทษ
หากเขาไม่ใช่เทียนจุนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าในฐานะที่เป็นเทียนจุนเหมือนกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงค่อนข้างมั่นใจในความคิดของตัวเองในข้อนี้
“ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วย เอาเถอะ ไปดูให้รู้กันไปเลยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบายใจสักเท่าไหร่ หลังจากนิ่งคิดไปพักหนึ่งก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วทะยานดิ่งไปยังวังหลวงที่ตั้งอยู่ตรงส่วนหัวมังกร