Skip to content

A Will Eternal 1178

บทที่ 1178 ไฟยี่สิบสองสี

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นวิญญาณในห้วงอวกาศ อันที่จริงตอนนั้นที่เขาเห็นตำหนักกลางห้วงอวกาศ ก็เจอกับส่วนหนึ่งของวิญญาณบุพกาลเหมือนกัน

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกว่าบางทีครั้งนั้นอาจเป็นเรื่องบังเอิญ จนกระทั่งมาถึงบัดนี้ หลังจากเขาสังเกตเห็นวิญญาณจำนวนมากที่ระเบิดออกมาโอบล้อมแขนของผู้บงการ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันฮึกเหิมขึ้นมาทันใด

นับตั้งแต่ที่มาถึงดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องการวิญญาณมาโดยตลอด แต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะได้มาครอง วิญญาณที่ได้มาจากในด่านก่อนหน้านี้เป็นเหตุให้ไฟหลายสีของป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับการชดเชยเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย แต่อันที่จริงแล้วมันก็ยังไม่พอ ยังขาดแคลนอีกเยอะมาก

เพียงแต่ว่าสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถเข้าไปในด่านนั้นได้อีกครั้ง ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะวิญญาณที่อยู่ในด่านใช่ว่าจะไร้ที่สิ้นสุด ป๋ายเสี่ยวฉุนลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว ต่อให้ได้มาครองทั้งหมด เกรงว่าก็คงยังไม่พอ

“ดูท่าในห้วงอวกาศนี้คงมีวิญญาณพยาบาทอยู่จริงๆ!!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้น ดวงตาจ้องเป๋งไปยังวิญญาณที่กระโจนเข้ามา แล้วก็พลันร้องคำรามอย่างไม่ลังเล

“เจ้าวิญญาณวัตถุน้อย ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดแล้วก็แผ่สิทธิ์ของตัวเองออกไป ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าต่อให้ตนแผ่อำนาจที่เป็นของตนไปให้ หากเจ้าวิญญาณวัตถุน้อยมีใจอยากจะแว้งกัดจริงๆ เขาก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถดึงอำนาจของตนกลับคืนมาได้ในเสี้ยววินาที

เพราะอย่างไรซะ…ตอนนี้ระหว่างเขาและวิญญาณวัตถุ หากนับกันเพียงในด้านของอำนาจการควบคุม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเหนือกว่าวิญญาณวัตถุ เพียงแต่ว่าด้วยความแตกต่างโดยเนื้อแท้แล้ว หากยังไม่ถึงด่านที่หนึ่งร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่สามารถควบคุมและนำอาวุธวิเศษต่างๆ ในแต่ละด่านมาใช้ได้ตามใจต้องการ

และเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนปล่อยอำนาจส่วนของตนออกมา วิญญาณวัตถุก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน มันรีบแผ่อำนาจจิตของตัวเองปกคลุมไปทั่วทั้งซากพัด อาศัยอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนและพลังของตัวมันเองทำให้ซากพัดเล่มนี้ระเบิดแสงสว่างพร่างพราว

เมื่อแสงกะพริบวูบวาบบนซากพัด วิญญาณวัตถุน้อยก็ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังเหล่าวิญญาณในแขนผู้บงการที่กระโจนเข้ามาหา

“สยบ!”

เพียงแค่คำเดียวก็เหมือนเสียงของอสนีบาตที่ก่อให้ห้วงอวกาศมีคลื่นลูกยักษ์ซัดกระเพื่อม ขณะเดียวกันภาพที่อยู่บนซากพัดเล่มนี้ก็สั่นสะเทือนประดุจดั่งมีชีวิตจริง!

ภาพบนหน้าพัดคือภูเขาลูกหนึ่ง บนภูเขามีเจดีย์หลังหนึ่ง ด้านล่างภูเขาคือแม่น้ำครึ่งสาย ในแม่น้ำมีเรือลำเล็กลอยอย่างโดดเดี่ยว คนในเรือกำลังเล่นหมากรุก ส่วนบนผิวน้ำนอกเรือยังมีตำหนักอีกหลังหนึ่งลอยตัวอยู่

เมื่อริ้วคลื่นปรากฏขึ้นบนภาพนั้นก็เหมือนว่าเงาของคนที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่ในเรือยกมือขวาขึ้นแล้วโบกไปข้างนอกหนึ่งครั้ง เพียงแค่การโบกครั้งนี้ก็ทำให้ห้วงอวกาศพลันสั่นคลอน แรงดึงดูดมหาศาลขุมหนึ่งระเบิดเทียมฟ้า

ท่ามกลางเสียงตูมตามดังกึกก้อง เหล่าวิญญาณพยาบาทที่กระโจนเข้าหาซากพัดพากันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ครั้นแล้วก็กลายมาเป็นลำแสงที่ถูกดูดเข้าไปในแม่น้ำบนหน้าพัด

ส่วนแขนผู้บงการข้างนั้นก็สั่นไหว หากเป็นผู้บงการที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ซากพัดเล่มนี้มีวิญญาณวัตถุคอยควบคุมก็คงทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแค่แขนข้างหนึ่งของผู้บงการเท่านั้น ทุกอย่างจึงง่ายดายขึ้นเยอะมาก

พริบตาเดียว แขนข้างนั้นก็ค่อยๆ ลอยมาปะทะกับซากพัด จากนั้นก็เหมือนถูกกระชากจึงค่อยๆ พุ่งเข้าไปในภาพ เพียงแต่ว่าขั้นตอนนี้ไม่ได้สิ้นสุดลงเร็วนัก ซ้ำซากพัดยังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าต้องแบกรับแรงกดดันรุนแรง

เพราะอย่างไรซะนี่ก็เป็นถึงเลือดเนื้อของร่างแยกผู้บงการ นี่คือ…แขนข้างหนึ่งของผู้บงการอย่างแท้จริง!

วิญญาณวัตถุจึงมีท่าทางเหนื่อยอ่อน ดวงตาแดงก่ำคล้ายต้องระเบิดพลังทุกส่วนมาประคองการดำเนินการทั้งหมดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากค้างมองทุกภาพเหตุการณ์ ลมหายใจของเขาหอบรัว ตอนนั้นที่ซากพัดเจอกับตำหนักที่มีวิญญาณของบุพกาลอยู่ข้างใน วิญญาณวัตถุไม่ได้เข้าควบคุม แต่ซากพัดก็ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งน่าครั่นคร้าม ทว่าตอนนี้มีวิญญาณวัตถุควบคุม ซ้ำทุกอย่างที่อยู่ในภาพบนหน้าพัดก็พากันระเบิดปราณที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตะลึง โดยเฉพาะเพียงแค่เงาร่างบนเรือโบกมือทีเดียวก็ทำให้แขนของผู้บงการถูกดูดเข้ามาโดยที่มิอาจปฏิเสธได้ นี่จึงยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อน

“สมบัติอาคมของข้าชิ้นนี้…สุดยอดมากจริงๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน จนกระทั่งเห็นว่าแขนข้างนั้นถูกดูดเข้าไปในภาพบนหน้าพัดอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว และมองปราดเดียวเขาก็เห็นว่าบนท้องฟ้าเหนือยอดเขาเวลานี้มีแขนและมือยักษ์น่าครั่นคร้ามข้างหนึ่งที่พุ่งลงมาจากฟ้าคล้ายจะคว้าจับเรือน้อยที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำ!

“หากวันใดวันหนึ่งข้าเองก็สามารถควบคุมได้แบบนี้…จักรพรรดิแสอะไรนั่น แค่ข้าชี้นิ้วทีเดียวก็ต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นสะท้าน ในสมองเต็มไปด้วยภาพจินตนาการว่าวันหนึ่งตนสามารถลงมือสยบบุพกาลได้

ขณะเดียวกันหลังจากที่แขนของผู้บงการถูกดูดมาไว้ในหน้าพัดแล้ว ทั้งซากพัดก็ระเบิดแสงที่เจิดจ้ามากกว่าเดิม ราวกับจะยืนยันคำพูดของวิญญาณวัตถุน้อยที่บอกไว้ว่าแขนผู้บงการข้างนี้จะทำให้อานุภาพของซากพัดเพิ่มมากขึ้น

ส่วนวิญญาณวัตถุก็เหมือนได้ทุ่มสุดกำลังที่มี มันหอบหายใจดังฮักๆ แล้วกลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่เตรียมบินกลับไปหลับสนิทอยู่ในหน้าพัด ส่วนอำนาจที่ถูกมันยืมไป เวลานี้ก็กลับคืนมาเป็นของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งแล้ว

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่พอใจ พอเห็นว่าวิญญาณวิญญาณวัตถุน้อยกำลังจะจากไปก็รีบตะโกนเสียงดัง

“จะยืมเปล่าๆ ไม่ได้นะ ต้องแบ่งผลประโยชน์ให้ข้าบ้าง ข้าไม่เอาแขนข้างนั้น แต่วิญญาณที่อยู่ข้างในต้องเป็นของข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจมาก ความรู้สึกที่เห็นเจ้าวิญญาณวัตถุน้อยได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาลคาตา แต่ตัวเองกลับไม่ได้อะไรสักอย่างทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบสาวเท้าเดินตามไปเร็วๆ

วิญญาณวัตถุน้อยที่เตรียมจะบินกลับเข้าไปหลับในหน้าพัดถอนหายใจเฮือก ปากก็พึมพำอะไรสองสามประโยคที่ไม่มีใครได้ยิน แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยอมทำตามข้อเรียกร้องของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นครั้งแรก มันกวาดอำนาจจิตไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นมือใหญ่ที่อยู่ในภาพบนหน้าพัดก็สั่นไหว วิญญาณจำนวนมากที่หลับสนิทอยู่ภายในบินออกมาจากแขนแล้วตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนปิติยินดีเจียนคลั่ง รีบเก็บเอาวิญญาณมาไว้ วิญญาณที่รวมตัวกันอยู่ในแขนผู้บงการ ดวงที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นถึงก่อกำเนิด วิญญาณคนฟ้าและวิญญาณครึ่งเทพที่อยู่ภายในก็มีมากจนนับไม่ไหว ส่วนวิญญาณบุพกาลนั้น…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พบถึงสามดวง!

นี่จึงทำให้ใจของเขาสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่เก็บเอาวิญญาณทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย วิญญาณวัตถุน้อยก็กลับเข้าไปนอนหลับอยู่ในภาพบนหน้าพัดนานแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังดีใจสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วก็รีบนั่งขัดสมาธิ เขามีเวลาไม่มากนัก โดยเฉพาะตอนนี้วิญญาณวัตถุหลับไปแล้ว และซากพัดก็ลอยไปในห้วงอวกาศได้อย่างมั่นคง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถือโอกาสหลอมไฟที่นี่อีกครั้ง!

และตอนนี้เขาก็ได้วิญญาณมาเพิ่มขึ้นอีก ต่อให้การหลอมไฟที่เกินสิบห้าสีขึ้นไปจะสิ้นเปลืองอยู่มาก แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลามาพะวงอะไรมากมายขนาดนั้นอีกแล้ว

“ข้าจะหลอม…ไฟยี่สิบสองสี!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงก่ำ นี่คือความฝันของเขายามที่อยู่ในโลกทงเทียน เป็นความฝันที่ไม่เคยทำได้สำเร็จ หลังจากมาถึงดินแดนเซียนนิรันดร์กาล แม้ว่าเขาจะมั่นใจในระดับหนึ่ง แต่กลับไม่มีวัตถุดิบให้ทดลอง

เวลานี้ทุกอย่างครบถ้วนพร้อมสรรพ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบโบกมือทั้งคู่ พอวิญญาณจำนวนมากบินออกมา เขาก็เริ่มหลอมไฟ!

เวลาเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟ ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล บนพื้นดินอันเป็นที่ตั้งของนครจักรพรรดิแส พวกหลี่ชิงโหวและบุรพาจารย์ธาราเทพที่ตลอดหลายปีมานี้ได้รับความช่วยเหลือจากจางต้าพั่งอย่างลับๆ จึงรวบรวมลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพได้มากมาย ในที่สุดวันนี้พวกเขาก็ได้พบกับ…คนสองคนที่ไม่รู้ว่าโชคชะตากำหนด หรือเป็นเพราะแรงชักนำของอะไรบางอย่างถึงได้ทยอยกัน…มาเยือน!!

สองคนนี้ คนหนึ่งคือซ่งจวินหว่าน อีกคนหนึ่งคือ…สตรีธุลีแดง!

เป้าหมายการมาของพวกนางก็คือนครจักรพรรดิแส พวกนางได้ยินเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาดำรงตำแหน่งเป็นท่านทูตใหญ่ ด้วยไม่อยากให้ตอนที่ลูกลืมตามาดูโลก ไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าพ่อ ดังนั้นจึงได้เดินทางมาที่นี่

ซ่งจวินหว่านมีเถี่ยตั้นคุ้มครองมาตลอดทาง จนกระทั่งได้มารวมตัวกับพวกบุรพาจารย์ธาราเทพ ส่วนสตรีธุลีแดงนั้น นางมาคนเดียวโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครให้การดูแล

และหน้าท้องของพวกนาง…ต่างก็นูนป่อง เมื่อหลี่ชิงโหวและบุรพาจารย์ธาราเทพเห็นเข้า ทุกคนก็เบิกตากว้าง ซ่งจวินหว่านยังดีหน่อย แต่พอสตรีธุลีแดงบอกว่าใครเป็นพ่อของลูก ทุกคนก็ถึงกับอึ้งค้างกันทีเดียว

ดวงตาของซ่งจวินหว่านเผยประกายอำมหิต แค่นเสียงหึในลำคอ แล้วก็บอกทุกคนเช่นกันว่าพ่อของลูกคือใคร…

พอได้ยินชื่อของคนคนเดียวกัน บุรพาจารย์ธาราเทพก็ไอแห้งๆ สองสามที รีบขอตัวจากไป ส่วนหลี่ชิงโหวนั้นไม่ได้ไปไหน เพียงยิ้มจืดเจื่อนอยู่ตรงนั้น คอยหันไปปลอบโยนคนนั้นทีคนนี้ที

“ไอ้ลูกหมาเอ้ย ทำไมถึงทำออกมาพร้อมกันทีเดียวสองคนเลยล่ะ…” จนกระทั่งหญิงสาวทั้งสองต่างก็สงบสติอารมณ์ลงได้ หลี่ชิงโหวถึงได้กลับที่พักของตัวเอง แม้ว่าปากจะตำหนิ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มอย่างเห็นได้ชัด

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคสองชั้นที่มาเยือนพร้อมกันหรือไม่ เพราะหลังจากที่ซ่งจวินหว่านกับสตรีธุลีแดงมารวมตัวกับพวกบุรพาจารย์ธาราเทพได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนซากพัดในห้วงอวกาศก็พลันเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตาทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แม้จะเหนื่อยล้า แต่กลับสะกดกลั้นความฮึกเหิมดีใจเอาไว้ไม่อยู่

“ข้าทำสำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าแผดเสียงหัวเราะร่า โบกมือขวาหนึ่งครั้ง ไฟสิบสองสีที่ไม่เคยปรากฏด้วยมือเขาก็พลันสาดแสงส่องสว่างไปทั่วทั้งซากพัด!

ทอดสายตามองไปไกลๆ วินาทีที่เปลวเพลิงนี้ก่อตัวได้สำเร็จ แสงสว่างที่เหนือกว่าแสงของตัวซากพัดเองก็กลายมาเป็นเหมือนแสงเทียนเล่มหนึ่งที่…ถูกจุดให้สว่างไสวอยู่ในความมืดมิดของห้วงอวกาศ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!