Skip to content

A Will Eternal 1182

บทที่ 1182 เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง

ชั่วขณะที่เสียงนี้ดังก้องอยู่ในโลกก็ราวกับว่ากฎเกณฑ์ทุกอย่างในฟ้าดินถูกสับเปลี่ยน ถูกลบทิ้งไปโดยตรง แม้แต่ซากปรักหักพังทั้งหมดที่รายล้อมอยู่รอบด้านก็สลายไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นความว่างเปล่าอยู่บนเถ้าธุลีราวกับว่าเวลาผ่านไปแล้วหลายหมื่นปี

ท้องฟ้าก็เหมือนจะได้รับผลกระทบจึงไม่โปร่งใสอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสีเทาหม่นมัว และภายในเวลาหมื่นปีที่ผ่านไปเพียงชั่วพริบตานี้ พื้นดินก็ยิ่งกลายมาเป็นหลุมลึกหลุมแล้วหลุมเล่า

มีเพียงรูปปั้นของผู้บงการเท่านั้นที่ยังยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ราวกับว่าต่อให้เวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน รูปปั้นนี้ก็ไม่มีทางเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก ดั่งว่ามันจะยังดำรงอยู่อย่างนี้ไปชั่วนิรันดร์กาล

จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจของเขาหอบรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนที่ทำให้กาลเวลาผันผ่านไปนับหมื่นปี ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงกลับตาลปัตรได้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว

และเขาก็ยิ่งมิอาจจินตนาการได้เลยว่า หากวิชานี้นำมาใช้กับร่างของนักพรตแล้วมันจะน่ากลัวและน่าเหลือเชื่อเพียงไหน เพราะต่อให้เป็นบุพกาลผู้แข็งแกร่ง เมื่อเจอกับประโยคนี้เกรงว่าก็ยังต้องแหลกสลายเป็นผุยผงไปโดยตรง!

“ผู้บงการ…นี่ก็คือผู้บงการอย่างนั้นหรือ…” จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้านรุนแรง ความรู้เหมือนถูกพลิกตลบ ส่วนวิญญาณวัตถุที่อยู่ข้างกายเขาก็ยิ่งสั่นเทิ้ม คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุ้บ ดวงตาฉายความเคารพเลื่อมใส และจุดลึกของความเคารพบูชานั้น…กลับซ่อนฝังความคิดถึงและความเศร้าอาดูรไว้อย่างเร้นลึก

ขณะเดียวกันเมื่อเสียงของผู้บงการดังออกมา เงาร่างที่ยืนอยู่ตรงหว่างคิ้วรูปปั้นผู้บงการก็พลันยกเท้าขึ้นแล้วเดินเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนช้าๆ

เมื่อเท้าของเขาเหยียบลงพื้น ท้องฟ้าสีเทาก็พลันมีสายฟ้าสีดำระเบิดครืนครั่นแล้วฟาดเปรี้ยงลงสู่พื้นดิน โจมตีไปแปดทิศด้วยพลังที่บ้าระห่ำและแฝงความเผด็จการเอาไว้ดั่งว่าจะทำลายล้างโลกทั้งใบให้มอดดับ และสายฟ้าสวรรค์สีดำทุกเส้นนั้นก็ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความรู้สึกลวงตาดั่งได้เผชิญหน้ากับพายุหมัดของบุพกาลเมื่อครู่นี้อีกครั้ง!

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เขารู้สึกก็ไม่ได้ผิดไปเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะเป็นสายฟ้าเส้นใดก็ล้วนทำให้บุพกาลหน้าเปลี่ยนสีได้ทั้งสิ้น!

เงาร่างของผู้บงการในเวลานี้เปี่ยมล้นไปด้วยบารมีไร้ที่สิ้นสุด ประดุจสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวในห้วงจักรวาลแห่งนี้!

ยังไม่สิ้นสุด เมื่อเงาร่างของผู้บงการเดินออกมา พื้นที่รอบด้านที่เต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง และไม่นานก็เริ่มมีโครงกระดูกผุดขึ้นมา โครงกระดูกเหล่านี้มากมหาศาล ทอดสายตามองไปก็เห็นเกลื่อนกลาดไม่อาจนับได้หมด แม้ว่าโครงกระดูกเหล่านั้นจะยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี แต่กลับพอจะมองเห็นจุดแตกหักของเลือดเนื้อ รวมไปถึงความสิ้นหวังและตะลึงพรึงเพริดในดวงตาก่อนตายซึ่งยังหลงเหลือมาถึงทุกวันนี้

จำนวนนั้นมากมายเกินไป ซ้ำโครงกระดูกหลายโครงที่ต่อให้ตายไปแล้ว ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างก็ยังเป็นถึงเทียนจุน บุพกาล ฯลฯ …

ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเห็นบางโครงกระดูกที่มีเรือนกายใหญ่โตเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าเป็นยักษ์ร่างค้ำฟ้า ซึ่งแต่ละคนตายด้วยท่านั่งคุกเข่า ราวกับว่าก่อนตายพยายามจะฝืนหยัดยืนขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว

จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นระรัว เขาสะท้านสะเทือนไปกับอสนีสวรรค์บนท้องฟ้าและโครงกระดูกที่อยู่บนพื้นดินอย่างสิ้นเชิง และเวลานี้เอง เงาร่างของผู้บงการที่เดินออกมาจากบนรูปปั้นยังเดินมาไม่ถึงข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เสียงของเขากลับดังก้องไปทั่วทั้งโลกใบนี้

“เจ้าผ่านด่านที่เก้าสิบเก้าแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ด่านสุดท้ายนี่แล้ว!” เสียงนั้นเกินอสนีบาตที่ดังสะท้อนไปทั่วโลก ครั้นแล้วพลานุภาพสยบน่าตะลึงขุมหนึ่งก็พลันระเบิดออกจากร่างของผู้บงการที่กำลังเดินมา พลานุภาพสยบนี้เป็นดั่งพายุระห่ำที่ม้วนตลบโลกทั้งใบแล้วตรงเข้ามากดทับป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ลมหายใจหอบกระชั้น เลือดเนื้อและกระดูกเสียดสีกันส่งเสียงลั่นกร๊อบ

ภายใต้พลานุภาพสยบนี้ เขาเหมือนเรือน้อยที่ลอยลำอยู่ท่ามกลางคลื่นพิโรธ อาจแหลกสลายกลายเป็นผุยผงได้ทุกเมื่อตามเจตจำนงของผู้บงการ!

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังประหวั่นพรั่นพรึง เงาร่างของผู้บงการที่เดินมาอย่างเนิบช้าก็พลันเปล่งเสียงดังกังวานไปแปดทิศอีกครั้ง

“ด่านนี้…จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากตัวข้า และเมื่อได้รับการยอมรับเมื่อไหร่ นับแต่นี้ไปเจ้าก็จะกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าผู้อาวุโส ได้รับมอบซากพัดเล่มนี้เป็นของสืบทอด!” คำว่ายอมรับดังประหนึ่งเสียงสายฟ้าฟาด แฝงเร้นไว้ด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์ แฝงเร้นไว้ด้วยความสามารถแห่งกาลเวลาที่ดังก้องสะท้อนไปมา ประหนึ่งดังมาจากบรรพกาลอันห่างไกล แม้แต่ความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังถูกลากยาวออกไปโดยพลัน ซ้ำยังเกิดภาพลวงตาราวกับว่าเวลาที่ตนอยู่ท่ามกลางคลื่นพิโรธถูกลากยาวออกไป

“ผู้บงการคนนี้…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง เขาในเวลานี้ตึงเครียดอย่างไร้คำบรรยาย หากจะบอกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าบุพกาล เขายังพอจะวางตัวให้สุขุมได้ ถ้าเช่นนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บงการ อยู่ภายใต้พลานุภาพสยบเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าแม้แต่เรี่ยวแรงจะหยัดยืนของเขาก็ยังถูกดึงออกไป

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมาเป็นแดงฉาน นี่ไม่ได้เกิดจากความตื่นเต้น แต่เกิดจากตบะของเขาที่โคจรเองตามจิตใต้สำนึกด้วยต้องการต่อต้านพลานุภาพสยบที่มาจากผู้บงการ

เดิมทีหากเป็นนักพรตทั่วไป ในเวลาอย่างนี้ย่อมไม่สามารถรวบรวมสมาธิมารับฟังคำพูดที่ดังขึ้นข้างหูได้อย่างชัดเจน ทว่าเสียงของผู้บงการกลับมีพลังอันน่าครั่นคร้ามที่มาระเบิดดังอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน

“และหากเจ้าไม่สามารถได้รับการยอมรับจากตัวข้า…เจ้าก็ต้องฝังศพของตัวเองไว้ที่นี่!”

เมื่อประโยคนี้ดังออกมา ฟ้าดินก็พลันเปลี่ยนสี ลมกระโชกแรงพัดให้เมฆซัดตลบปั่นป่วน และดูเหมือนว่าจะมีวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังแผดเสียงร้องคำรามแหบโหย ขณะเดียวกันเงาร่างของผู้บงการที่เดินมาอย่างเชื่องช้าก็มาหยุดอยู่ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนไปร้อยจั้ง ยังไม่หยุดนิ่ง ยังคงเดินมาอีกทีละก้าว และเมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้ ฟ้าดินรอบกายเขาก็พลันสั่นสะเทือน สายฟ้าสีดำระเบิดอย่างต่อเนื่อง โครงกระดูกที่อยู่รอบด้านก็สั่นคลอนคล้ายจะต้องการแสดงให้เห็นถึงความน่าสังเวชตอนที่ยังมีชีวิตอยู่อีกครั้ง

“โครงกระดูกทั้งหมดที่อยู่รอบด้านนี้ล้วนเป็นคนของโลกนิรันดร์กาลทั้งหมดที่เข้ามาฝ่าด่านหลังจากที่ข้าสร้างพัดสืบทอดเล่มนี้สำเร็จ ก่อนหน้าที่ศึกแห่งท้องฟ้ามวลดาวจะเริ่มต้นขึ้น”

“คนเหล่านี้…ไม่มีใครสักคนที่ได้รับการสืบทอด และต้องมาตายอยู่ที่นี่เพียงแค่การชี้นิ้วครั้งเดียวของตัวข้า กลายมาเป็นพลังวิญญาณเลือดเนื้อที่ประคับประคองการโคจรของพัดสืบทอดเล่มนี้ต่อไป”

เดินอยู่ท่ามกลางซากโครงกระดูก เงาร่างของผู้บงการยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่หน้าตาหล่อเหลาจนไร้คำบรรยาย โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ราวกับจะซุกซ่อนดวงดาวทั้งท้องนภาเอาไว้ เพียงแค่มองครั้งเดียวก็ทำให้คนถูกล่อลวงให้จมลึก แม้แต่จิตวิญญาณก็คล้ายจะถูกดึงออกไปด้วย

“ตอนนี้เวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว เจ้าเป็นคนแรกที่ฝ่ามาได้ถึงด่านนี้นับตั้งแต่หลังเกิดศึกแห่งท้องฟ้ามวลดาว ตอนนี้จงตอบคำถามข้า…เจ้า พร้อมแล้วหรือยัง!”

เมื่อประโยคสุดท้ายนี้ดังก้อง

เงาร่างของผู้บงการก็เดินมาหยุดอยู่ห่างจากป๋ายเสี่ยวฉุนไปสิบจั้ง เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นปานประหนึ่งภูเขาลูกใหญ่ที่สามารถสยบท้องฟ้า และป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นดั่งมดตัวหนึ่ง

พลานุภาพสยบเช่นนี้ พลังอำนาจเช่นนี้ ปณิธานของผู้เผด็จการที่มองเหยียดต่ำราวกับว่าสามารถตัดสินความเป็นความตายของทุกชีวิตได้เช่นนี้ พอทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกันก็กลายมาเป็นคลื่นพิโรธที่ขอเพียงแค่ได้ฟังคำตอบจากป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปทันที!

เมื่ออยู่ต่อหน้าคลื่นพิโรธนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกอันแรงกล้าบางอย่างว่า…หากตนโง่พยักหน้าบอกว่าพร้อมแล้ว ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าเพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ ตนคงถูกคลื่นพิโรธซัดกลบให้ม้วยมรณาไปทั้งกายและจิตทันที!

“ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังตึงเครียดเพิ่งจะอ้าปากพูด ความรู้สึกถึงวิกฤตร้ายแรงถึงชีวิตก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ด้วยความหวาดกลัวและเมื่ออยู่ภายใต้พลานุภาพสยบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบส่ายหน้า

“ข้ายังไม่พร้อม…”

เขาเพิ่งจะพูดจบ ดวงตาของเงาร่างผู้บงการก็พลันเป็นประกาย วิญญาณวัตถุที่อยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ แล้วทันใดนั้นดวงตาก็โชนแสงลุกเรือง ประกายแสงนั้นซ่อนแฝงความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งดั่งคนที่ได้ค้นพบดินแดนแห่งใหม่อย่างไรอย่างนั้น

“ใช่สิ เขาไม่รู้นี่นาว่าด่านนี้…” วิญญาณวัตถุคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันตื่นเต้น

จากนั้นโลกทั้งใบก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น พลังนำส่งขุมหนึ่งระเบิดออกมาท่ามกลางการถล่มทลายแล้วหอบเอาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนให้หายไปจากด่านนี้

เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ออกจากด่านที่หนึ่งร้อยกลับมาอยู่บนซากพัดแล้ว เขาหอบหายใจดังฮักๆ เพิ่งจะเผยกายก็รีบยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก นั่นก็เพราะว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายมาเป็นคนธรรมดาซึ่งไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่ เหมือนเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ร้ายตัวหนึ่งที่สามารถเขมือบกลืนตนได้ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น

“แม้ว่าจะขี้ขลาดไปสักหน่อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วก็รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ตนออกจะขี้ขลาดเกินไป แต่พอคิดว่า ไม่ว่าเปลี่ยนมาเป็นใครที่เผชิญหน้ากับผู้บงการซึ่งมีพลังอำนาจเทียมฟ้าเช่นนั้นก็คงไม่กล้าแม้แต่จะยืดคอออกไปเผชิญหน้า เขาก็พลันพยักหน้าให้กับตัวเอง

“ทว่าหากไม่เข้าไปในด่านนี้ ด่านที่ผ่านๆ มาของข้าก็เท่ากับเสียเปล่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มคิดไม่ตก นั่งเข้าฌานอยู่นานมาก เมื่อลืมตาเขาก็พลันกัดฟันกรอด

“จะอย่างไรซะพัดเล่มนี้ก็ต้องหาเจ้านายให้เจอ หลายปีมานี้ไม่มีใครมา เกรงว่าเงาสะท้อนของผู้บงการนั่นก็น่าจะเริ่มร้อนใจบ้างแล้ว…ไม่แน่ว่าอาจจะยอมอะลุ้มอล่วยให้ข้าก็เป็นได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจเข้าลึก เลือกที่จะกลับเข้าไปในด่านที่หนึ่งร้อยอีกครั้ง

เพิ่งจะเข้าไป เงาร่างของผู้บงการบนรูปปั้นก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ พลางระเบิดพลังอำนาจเสียงดังเกริกก้องไปทั้งฟ้าดิน เขาเดินออกมาข้างหน้าอีกครั้ง และคำพูดแบบเดิมก็ดังก้องอีกคำรบ

โดยเฉพาะครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะอ้าปาก ผู้บงการก็ยกมือขวาขึ้นอย่างฉับไว พลังอำนาจระเบิดปะทุเทียมฟ้า พายุทำลายฟ้าพินาศดินลูกหนึ่งพลันหมุนคว้างขึ้นรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน

ความรู้สึกที่ต้องตายแน่ๆ เช่นนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น เบิกตากว้าง รีบร้องตะโกนเสียงดังลั่น…

“ข้ายังไม่พร้อม คราวหน้า คราวหน้าข้าค่อยมาใหม่”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!