บทที่ 1183 ข้าผ่านแล้ว?
“ทำยังไง จะทำยังไงดี!!” หลายวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่บนลานกว้างของซากพัดเงยหน้ามองไปยังที่ตั้งด่านที่หนึ่งร้อยซึ่งอยู่ห่างไปไกลด้วยสีหน้าหม่นหมอง
เขาสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังลึกล้ำ ความสิ้นหวังเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนไม่มีหวังที่จะผ่านด่านที่หนึ่งร้อยไปได้อีกแล้ว
“ทำกันเกินไปแล้ว ความยากของด่านที่หนึ่งร้อยนี่ ข้าจะผ่านมันไปได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่าข้าจะเป็นบุพกาล…แต่ต่อให้เป็นบุพกาลก็เกรงว่าคงต้องเจ็บหนักเกือบตายเลยทีเดียว…”
“แต่ข้าก็เดินมาได้ถึงด่านนี้แล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คิดไม่ตกทึ้งผมของตัวเองแรงๆ ยิ่งนานดวงตาก็ยิ่งแดงก่ำ มาถึงท้ายที่สุดเขาเลยตบถุงเก็บของหยิบเอากาเหล้าออกมาแล้วเริ่มดื่มอึกใหญ่
การดื่มครั้งนี้ติดต่อกันสามวัน…
ในสามวันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่กับตัวเองตลอดเวลา
บางครั้งก็ลุกขึ้นยืนทำท่าจะไปฝ่าด่าน แต่แล้วก็นั่งลงทอดอาลัย แล้วก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่วิญญาณวัตถุน้อยมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา ซ้ำมันยังนั่งลงแล้วถอนหายใจเฮือกๆ และเมื่อไหร่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืน มันก็จะตัวสั่นแล้วรีบพูดว่า
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมใต้เท้าผู้บงการถึงทำแบบนี้ ข้าเองก็อยากมีเจ้านายใหม่เร็วๆ เหมือนกันนะ แต่เจ้าไม่รู้อะไร ข้าเห็นพวกคนที่โดนตบตายมากับตาตัวเอง แต่ละคนตายอนาถน่าสังเวชยิ่งนัก”
“มีครั้งหนึ่งข้าจำได้ว่า เรือนกายของคนที่ฝ่าด่านคนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก พลังการฟื้นตัวก็น่าตะลึงยิ่งกว่าเจ้า ขนาดข้าเองยังนึกว่าเขาน่าจะกลายมาเป็นนายคนใหม่ของข้าแล้ว แต่เจ้าเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น…เสียงป้าบดังทีเดียว เขาก็กลายมาเป็นโคลนเนื้อในมือผู้บงการ สภาพนั้นอเนจอนาถสุดๆ ไปเลย!” วิญญาณวัตถุน้อยพูดพลางทำมือทำไม้ประกอบ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฟังอยู่อกสั่นขวัญผวา
“อนาถมากจริงๆ นะ เลือดสดทะลักพรั่งพรู เสียงปังดังทีเดียว กะโหลกศีรษะของเขาก็กระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยเลย…”
“ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ๋ย จะอย่างไรพวกเราก็ถือว่ารู้จักกันมาก่อน ข้าแนะนำเจ้าด้วยความหวังดีจากใจจริง อย่าไปรนหาที่ตายเลย ไม่มีประโยชน์หรอก…ข้ามองออกแล้วว่าเจ้าแก่ผู้บงการนั่นไม่ต้องการให้ข้ามีเจ้านายคนใหม่!”
“เอาเถอะๆ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าดีแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ไปฝ่าด่านที่หนึ่งร้อยนี่ เจ้าก็ยังมีสิทธิพิเศษอยู่ในมือเหมือนกัน พวกเราร่วมมือกันได้ เจ้าวางใจเถอะ เจ้าต้องการอะไร ข้าก็ช่วยเจ้าได้ทุกเรื่อง”
เสียงถอนหายใจของวิญญาณวัตถุน้อยดังก้องอยู่เป็นพักๆ
และก็เป็นอย่างนี้จนผ่านไปได้สามวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ดื่มอย่างหนัก ส่วนวิญญาณวัตถุน้อยก็คอยพร่ำรำพันถึงความน่ากลัวของด่านที่หนึ่งร้อยไม่หยุดปาก สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับวางจอกเหล้าในมือลงแล้วหันขวับไปมองเจ้าวิญญาณวัตถุน้อยอย่างกังขา
“เจ้าหวังดีกับข้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ข้าก็หวังดีกับเจ้ามาตลอดอยู่แล้ว เจ้านึกว่าก่อนหน้านี้ที่ข้าแนะนำเจ้าเป็นเพราะต้องการเล่นงานเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าพูดก็เพราะอยากช่วยเจ้า!” วิญญาณวัตถุน้อยรีบพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ท่าทางเอาจริงเอาจัง
“ข้าไม่อยากให้เจ้าแก่นั่นสมปรารถนา ไม่อยากให้มีคนตายอีกแล้ว ข้าแค่อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ แบบนี้พวกเราจะได้พูดคุยกันทุกวัน…เจ้าไม่รู้อะไร ในช่วงเวลาหลายหมื่นปีหรืออาจนานยิ่งกว่านั้นจนแม้แต่ข้าก็ลืมไปแล้วว่านานเท่าไหร่ ข้าอยู่คนเดียวต้องเงียบเหงาว้าเหว่แค่ไหน…” วิญญาณวัตถุน้อยถอนหายใจยาวเหยียดด้วยสีหน้าเจ็บปวด ซ้ำยังเหม่อมองไปยังทิศไกล แต่หางตากลับแอบชำเลืองมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างระมัดระวัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองวิญญาณวัตถุน้อยอย่างกังขา ตอนนี้เขาเริ่มเมากรึ่มๆ แล้ว แต่ลางสังหรณ์กลับบอกกับเขาว่าเจ้าวิญญาณวัตถุน้อยนี่มีปัญหา จึงลุกพรวดขึ้นยืนแล้วแสร้งหัวเราะเสียงดัง
“เจ้าโกหกข้า ข้ารู้แล้ว เจ้ากำลังหลอกข้า เจ้าไม่กล้าให้ข้าไปฝ่าด่านที่หนึ่งร้อยนั่น!” หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะลั่น วิญญาณวัตถุน้อยก็ถึงกับผงะตกใจ
“ข้าเปล่านะ เจ้าอย่าไปฝ่าด่านเด็ดขาดเชียว ข้าไม่อยากให้เจ้าตาย”
เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของวิญญาณวัตถุน้อยและได้ยินคำพูดของมัน
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเป็นประกายวาบ เขารู้สึกว่าเจ้าวิญญาณวัตถุน้อยนี่ยิ่งมีปัญหาเข้าไปใหญ่ จึงแค่นเสียงหึแล้วเดินจ้ำพรวดๆ ออกไปข้างหน้า
“ข้าจับพิรุธเจ้าได้แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนจงใจพูดเสียงดัง แล้วก็แสร้งเดินเร็วๆ อีกหลายก้าว ดิ่งเข้าหาด่านที่หนึ่งร้อย
วิญญาณวัตถุน้อยเครียดขึ้นมาทันใด ในใจอยากจะร้องไห้ รีบบินตามไปด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนพลางพูดเกลี้ยกล่อมไม่ขาดปากราวกับหวังดีเต็มประดา
“เจ้าต้องเชื่อข้านะ เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ ข้าไม่อยากเสียเจ้าไป…”
“โธ่เอ้ย ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อข้านะ ข้าหวังดีกับเจ้าจริงๆ!” ขณะที่วิญญาณวัตถุน้อยละล่ำละลักพูด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งคลางแคลงใจ รีบเพิ่มความเร็วให้มากกว่าเดิมจนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างด่านที่หนึ่งร้อยก็ยกเท้าขึ้น ทำท่าจะเหยียบเข้าไป
“หึ วิญญาณวัตถุน้อย ด่านนี้เป็นของปลอมใช่หรือไม่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหันขวับมาถลึงตาคำรามใส่อีกฝ่าย
วิญญาณวัตถุน้อยใจสั่น ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีใจขึ้นมาทันควัน รีบเหยียบลงไปในด่าน พริบตาเดียวร่างของเขาก็หายวับไป เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในด่านที่หนึ่งร้อยแล้ว และเงาร่างบนรูปปั้นผู้บงการที่อยู่ห่างออกไปก็เดินมาหาอีกครั้ง พลังอำนาจยังคงดุดันเหี้ยมหาญดุจเดิม พลานุภาพสยบก็ยิ่งปะทุพลุ่งพล่านดุจจะบดขยี้ฟ้าดินให้แหลกเป็นผุยผง
เมื่ออยู่ภายใต้พลานุภาพสยบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสะดุ้งโหยง อาการเมามายหายไปถึงเจ็ดส่วน หลังจากอึ้งอยู่ครู่ก็ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ
“เจ้าวิญญาณวัตถุน้อยนั่นปลอบใจข้าจริงๆ หรือว่าหลอกให้ข้ามาตายที่นี่กันแน่?”
“บัดซบ หรือว่าด่านนี้มันจะถ่วงรั้งข้าไว้ได้จริงๆ!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังคลุ้มคลั่ง เงาร่างของผู้บงการก็ได้เดินมาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เขาพลันยกมือขวาขึ้น ท้องฟ้าทั้งผืนสั่นสะเทือนพร้อมๆ กับที่เสียงของเขากึกก้องไปสี่ทิศ
“ผู้ฝ่าด่าน เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง!” ประโยคนี้สั่นสะเทือนไปสี่ทิศ
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันแดงก่ำ เขารู้ดีว่าหากครั้งนี้ตนยังขี้ขลาดอยู่อีกล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นไม่เพียงแต่จะเดินไปบนเส้นทางของบุพกาลได้อย่างยากลำบาก หลังจากนี้ก็อาจไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้านายของพัดเล่มนี้เลยก็เป็นได้
ลำบากมาตั้งนาน มานะพยายามมาตั้งนาน นักพรตของโลกทงเทียนต่างก็แบกรับความขมขื่นยากลำบากกันอยู่ทุกนาที ซ้ำภาพเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ในวังยังผุดขึ้นมาในสมองไม่หยุด ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงร้องดังลั่น
“มาเลย!!” ขาดคำ หม้อกระดองเต่าที่พอเขาฝ่าด่านได้สำเร็จก็หวนคืนกลับมาหาเขาโดยอัตโนมัติ เวลานี้ก็ได้ถูกเขาเรียกออกมาคลุมศีรษะเอาไว้
“ข้าผู้อาวุโสพร้อมแล้ว!!”
ดวงตาของผู้บงการเปล่งประกายแสงวาบ มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำ มือขวาที่ยกขึ้นพลันลดวูบลงมา ในขณะที่หัวสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนว่างเปล่าขาวโพลนนั้น พลังตบะและพลังกล้ามเนื้อของเขาก็ระเบิดออกมาอย่างเต็มที่ เตรียมจะทานรับการจู่โจมนี้เอาไว้ ทว่ามือใหญ่ของผู้บงการกลับทำเพียงแค่ตบลงมาเบาๆ บนหม้อกระดองเต่าที่ครอบอยู่เหนือศีรษะของเขาทีเดียว
เพียงแค่นี้เท่านั้น…ไม่มีลมพายุใดๆ พัดกระหน่ำ ไม่มีพลังอำนาจ ไม่มีริ้วคลื่นใดๆ พอตบเสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ เงาสะท้อนของผู้บงการที่มีสีหน้าเคร่งขรึมก็พยักหน้าให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบาๆ
“ในเมื่อเจ้าพร้อมแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ผ่านด่าน ยินดีด้วย เจ้ากลายมาเป็นผู้สืบทอดของข้าผู้อาวุโสแล้ว นับตั้งแต่ศึกแห่งท้องฟ้ามวลดาวเป็นต้นมา เงาสะท้อนที่ยังหลงเหลืออยู่นี้ของข้าผู้อาวุโสก็พร่าเลือนเต็มที ตอนนี้ได้เวลาที่ควรจะสลายหายไปแล้ว ช่วยใจดีต่อเสี่ยวชือ (เสี่ยวชือ งี่เง่าน้อย) ด้วย หวังว่าเจ้าจะผ่านการสืบทอดของข้าผู้อาวุโส และเดินไปบนเส้นทางที่ชีวิตนี้ข้าผู้อาวุโสไม่อาจเดินไปถึงปลายทาง”
“จงจำชื่อตัวข้าเอาไว้…ตัวข้า ผู้บงการแห่งโลกเซียน โจวหนิง!”
ท่ามกลางเสียงที่ดังสะท้อน เงาร่างของผู้บงการแห่งโลกเซียนก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ส่งไปให้ป๋ายเสี่ยวฉุน ครั้นแล้วจึงหมุนกายเดินจากไปบนท้องฟ้า เงาร่างของเขาพร่าเลือนไปช้าๆ จนกระทั่งหายวับไปอย่างสิ้นเชิง…
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่บนศีรษะมีหม้อกระดองเต่าครอบยืนบื้ออยู่ตรงนั้นด้วยความมึนงง ต่อให้เงาร่างของผู้บงการจะหายไปแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าทุกอย่างนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อราวกับฝันไป เกิดความรู้สึกเลื่อนลอยราวกับนี่ไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งยังหันไปมองซ้ายมองขวา แล้วก็ก้มหน้าลงมองร่างของตัวเองโดยอัตโนมัติ
หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรขาดหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่
“หา?”
“นี่คือผ่านแล้วหรือ?”
“ข้าผ่านด่านแล้ว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จึงเลือกจะย้อนกลับไปด้วยความระแวดระวัง ทว่าชั่วขณะที่ร่างของเขาโผล่ขึ้นมาบนซี่พัดนั้นเอง พัดทั้งเล่มพลันสั่นสะเทือน แสงสว่างแผ่กว้างไกลหมื่นจั้งในเสี้ยววินาที คลื่นเป็นระลอกก็ยิ่งไหลบ่าออกมาจากรอบด้านแล้วตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
แล้วริ้วคลื่นเหล่านี้ก็กลบทับร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้จนมิด ก่อนจะไหลกรากเข้าสู่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน หมายจะจดจำตราประทับและทุกสิ่งที่อยู่บนร่างของเขาให้ตราตรึง และบัดนี้อำนาจในซากพัดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถือครองก็ได้ระเบิดออกมาเช่นกัน จากนั้นมันก็กลายมาเป็นริ้วคลื่นที่แผ่ไปรอบทิศโดยมีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจุดศูนย์กลาง
พริบตานั้นริ้วคลื่นสองชนิดนี้ก็เกิดการขานรับต่อกัน ท่ามกลางการขานรับนี้ ด่านทั้งหมดบนซี่พัดล้วนถูกเปิดออก ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเพียงแค่ความคิดเดียวของตนก็สามารถควบคุมทุกอย่างบนซากพัดนี่ได้!
หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลง ต่อให้ตอนนี้จะยังมึนงง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังตระหนักได้ว่าตนเองน่าจะ…ผ่านด่านที่หนึ่งร้อยได้จริงๆ แล้ว!
ความรู้สึกเช่นนั้นมันเป็นความรู้สึกวิเศษที่ว่าตัวเองสามารถควบคุมการดำเนินการของซากพัดนี่ได้ในระดับหนึ่ง ซ้ำเขายังจะพอสัมผัสได้ด้วยว่าทิศทางการเคลื่อนที่ของซากพัดนี้ก็อยู่ในการควบคุมของเขาเช่นกัน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง พอคิดถึงผลประโยชน์ดีๆ มากมายที่จะได้รับหลังจากได้เข้าควบคุมซากพัด คลื่นอารมณ์อันตื่นเต้นของเขาก็โถมกระหน่ำอย่างที่มิอาจสงบลงได้อีก
“เจ้าวิญญาณวัตถุน้อยนั่นหลอกข้าจริงๆ ด้วย!” พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ห้าวเหิม ขณะเดียวกันปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาก็คือแหกปากตะเบ็งเสียงดังลั่น
“วิญญาณวัตถุน้อย จงไสหัวออกมาพบนายท่านป๋ายของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!!”