บทที่ 1207 ไม่มีแล้วจริงๆ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแสงแห่งบุพกาลของข้าใกล้จะหมดแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่า ดวงตาฉายประกายประหลาด ร่างทั้งร่างแผ่ความมั่นใจอย่างแรงกล้าออกมา ราวกับว่าเขาในเวลานี้ได้ลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตนมีแสงแห่งบุพกาลเหลืออยู่อีกแค่สิบสี่เส้นเท่านั้น!
ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้แสงเส้นหนึ่งลงโทษวิญญาณวัตถุน้อยไป แต่ก็เพราะเป็นช่วงเวลาที่ซ่งจวินหว่านกับโจวจื่อโม่ฟื้นตื่นขึ้นมา จึงเป็นเหตุให้จำนวนรวมสิบห้าเส้นของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับคืนมาเป็นดังเดิมแล้ว
และเวลานี้เขาก็แสร้งทำเป็นแสดงว่าตนมีแสงแห่งบุพกาลให้ใช้อย่างไม่จบสิ้น เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิแส เผชิญหน้ากับสุริยาสีชาดที่พุ่งเข้ามา
มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันยกขึ้นโบกหนึ่งที!
“ไม่ต้องกลัว นายท่านป๋ายของเจ้าเหลืออยู่อีกไม่กี่เส้นแล้วจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องคำราม เมื่อผสานรวมอำนาจจิตเข้ากับพัดวิเศษที่อยู่กลางห้วงอวกาศ บนท้องฟ้าของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็พลันปรากฏ…แสงแห่งบุพกาลเป็นเส้นที่สอง!
ยังไม่สิ้นสุด พริบตานั้นแสงแห่งบุพกาลเส้นที่สามก็จำแลงตามมาติดๆ ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง แสงแห่งบุพกาลทั้งสองเส้นนี้ต่างก็ระเบิดพลังการต่อสู้ของบุพกาลที่แท้จริงตรงดิ่งเข้าหาดวงอาทิตย์สีแดงฉาน!
จักรพรรดิแสสั่นสะท้านไปทั้งกาย ดวงตาก็ยิ่งเบิกกว้าง ในสมองมีเสียงดังอื้ออึง นั่นก็เพราะการลงมือของป๋ายเสี่ยวฉุนในครั้งนี้ ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังเกิดความสั่นคลอนต่อการวิเคราะห์ของตนก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกันเมื่อแสงแห่งบุพกาลพุ่งมาใกล้ พริบตาเดียวก็กระแทกลงบนสุริยาสีชาด ดวงสุริยาทั้งดวงสั่นสะเทือน ส่งเสียงกัมปนาทสะท้านไปทั้งฟ้าดิน ก่อนที่บนดวงอาทิตย์ดวงนั้นจะมีหลุมลึกปรากฏขึ้นมาอีกสองแห่ง!
แสงแห่งบุพกาลนี้ ขนาดแขนของผู้บงการก็ยังได้รับบาดเจ็บเป็นร่องหลุมเท่าเม็ดหมาก และดวงอาทิตย์ดวงนี้ ต่อให้จักรพรรดิแสจะผสานรวมดวงอาทิตย์ของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเข้าไปจนอานุภาพของมันน่าครั่นคร้าม แต่เมื่อเทียบกับแขนผู้บงการแล้วก็นับว่าห่างชั้นกันไม่น้อย
ดังนั้นร่องลึกที่ปรากฏบนดวงอาทิตย์สีชาดที่แม้จะไม่ถูกทะลวงผ่านไป แต่กระนั้นก็น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงมากพอ!!
ส่วนตัวของดวงอาทิตย์เองก็สั่นสะเทือนอยู่หลายที แสงเจิดจ้าหม่นลง ขนาดไอความร้อนก็ยังลดไปมากอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันการถูกจู่โจมจนได้รับบาดเจ็บติดต่อกันสองสามครั้งเช่นนี้ก็ไม่เพียงแต่ทำให้ความเร็วของมันช้าลง แม้แต่ตัวจักรพรรดิแสเองก็ยังถูกพลังแว้งกลับโจมตี ไม่ใช่แค่เลือดสดที่ไหลมาตรงมุมปากอีกต่อไป แต่กลับกระอักเลือดออกมา…เป็นครั้งแรก!
“นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!!” จักรพรรดิแสหายใจหอบกระชั้น จ้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง ท่ามกลางหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด จิตวิญญาณของเขาบัดนี้เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและรับไม่ได้!
ต่อให้จะรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นนายของซากพัดเล่มนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังมิอาจจินตนาการได้ว่า ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามสิบปี ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ เป็นความต่างที่ราวฟ้ากับเหวอย่างไรอย่างนั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนในอดีตที่แม้จะพอต้านทานการโจมตีมายาจากเขาได้ ทว่าหากเขาคิดจะฆ่าคนผู้นี้ อาจไม่ถึงขั้นง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ แต่ก็ย่อมไม่มีปัญหายุ่งยากใดๆ แน่นอน
แต่ตอนนี้…เขาจำต้องยอมรับว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีหมัดผู้บงการ ถือว่ามีพลังในการต่อสู้ของครึ่งก้าวบุพกาลแล้ว! หากเป็นเพียงเท่านี้ เขาก็ยังมีความมั่นใจว่าจะกำราบอีกฝ่ายได้
เพียงแต่ว่า…แสงแห่งบุพกาลของป๋ายเสี่ยวฉุน โดยเฉพาะพลังการต่อสู้ของบุพกาลที่แท้จริงซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในกลับทำให้เรื่องราวทุกอย่างพลิกตลบอย่างสิ้นเชิง ต่อให้จักรพรรดิแสไม่อยากจะยอมรับ แต่บัดนี้เขาก็รู้แก่ใจตัวเองดีว่า…เขาไม่สามารถ…ทำอะไรป๋ายเสี่ยวฉุนได้แล้ว!!
เว้นเสียแต่ว่า…เขาจะเปิดศึกตัดสินเป็นตายกับป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่ต้องสนใจค่าตอบแทนใดๆ ไม่สนใจว่าตนต้องบาดเจ็บสาหัสก็ตาม
หากบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลแห่งนี้มีเขาเป็นบุพกาลเพียงคนเดียว เขาก็อาจจะเลือกทำเช่นนี้ แต่นี่…เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจักรพรรดิเซิ่งเองก็จับตามองศึกนี้อยู่!
ตามความเห็นของจักรพรรดิแส คนที่ต้องการให้ตนสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่สนใจค่าตอบแทนมากที่สุดในเวลานี้ก็คือจักรพรรดิเซิ่ง และหากเขาได้รับบาดเจ็บ จักรพรรดิเซิ่งก็ต้องลงมือทันที เมื่อถึงเวลานั้น ตนก็จะต้องเผชิญวิฤตเป็นตายอย่างแท้จริง!
ถึงขั้นที่ว่าหากเขาเลือกจะหนีไป จักรพรรดิเซิ่งก็ย่อมต้องคว้าโอกาสนี้มาเปิดฉากทำสงคราม เมื่อถึงเวลานั้นจักรพรรดิเซิ่งที่ควบคุมดินแดนเซียนไว้ได้มากกว่า วิชาอภินิหารและเวทลับอาคมของเขาก็ย่อมต้องเหนือกว่าตอนนี้ ต่อให้พลังของตนจะฟื้นคืนและกลับมาเผยตัวอีกครั้งก็ย่อมต้องตกเป็นรองอยู่ดี
หลังจากที่ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านหัวสมองของเขาไป ต่อให้จักรพรรดิแสจะไม่ยินยอมแค่ไหน แต่เขาที่มองหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บแค้นเอาไว้ กดลึกลงไปในใจอย่างสุดความสามารถ!
“สมควรตายนัก หรือว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางแก้ไขได้จริงๆ!” จักรพรรดิแสที่หอบหายใจรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ ดวงตาของเขาฉายประกายเยียบเย็น เขาเกิดความวู่วามอยากจะสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้โดยไม่สนว่าตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บเข้าจริงๆ
“แสงแห่งบุพกาลของเขาไม่มีทางไร้ขีดจำกัด ขอแค่ข้ารู้ว่าขีดกำจัดอยู่ที่ไหน ถ้าเช่นนั้น…การที่คิดจะสังหารอีกฝ่ายโดยเลี่ยงไม่ให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังทำให้จักรพรรดิเซิ่งต้องคิดหนัก ไม่กล้าลงมือง่ายๆ …ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย!”
คิดมาถึงตรงนี้ ปราณสังหารในดวงตาของจักรพรรดิแสก็ยิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม เขาสะบัดร่างบินวูบออกไป มือทั้งคู่ทำมุทรา ทันใดนั้นร่างทั้งร่างก็ผสานรวมเข้ากับสุริยาสีชาด!
ท่ามกลางเสียงอึกทึกสนั่นหวั่นไหว แสงของดวงอาทิตย์ที่หม่นมัวลงพลันสว่างไสวเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้ง การผสานรวมกับสุริยาสีชาดทำให้จักรพรรดิแสอยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด เขาก็คือตะวันแดง ตะวันแดงก็คือเขา!
เพียงแค่ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ความเร็วก็ทะยานมากกว่าเก่า ไอความร้อนแผ่กระจายท่วมเทียมฟ้า พื้นดินแห้งขอด ความว่างเปล่าบิดเบือน คนไม่น้อยที่อยู่บนพื้นดินแผดเสียงร้องโหยหวนดังระงม เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างแต่ละคนซูบเหี่ยวกลายมาเป็นซากแห้งอย่างรวดเร็ว!
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าผู้เป็นจักรพรรดิขอเดิมพันว่าเจ้า…ปล่อยแสงแห่งบุพกาลออกมาได้อีกแค่ไม่กี่เส้นเท่านั้น!” จักรพรรดิแสคำรามกร้าว โผนทะยานดังครืนครั่นอย่างว่องไว ขยับเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้นทุกขณะ
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิแสยังดื้อดึง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หรี่ตาทั้งคู่ลง เขารู้ดีว่าตัวเองยังเหลือแสงให้ใช้อีกสิบสองเส้น เข้าใจดีว่าจะแบไต๋ของตัวเองออกมาไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นจึงหัวเราะร่าอีกครั้ง ดวงตาก็ฉายแววผ่อนคลายเปิดเผย ปากเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย
“โดนเจ้าจับได้อีกแล้ว สู้ๆ นะ ยืนหยัดอีกสักหน่อย ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก ข้ายังเหลืออีกเส้นเป็นเส้นสุดท้าย!” เขาพูดพลางยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังท้องฟ้า ทันใดนั้นแสงแห่งบุพกาลเส้นหนึ่งก็พุ่งตูมลงมา ยังไม่สิ้นสุด เมื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังก้องขึ้นมาอีกคำรบ แสงแห่งบุพกาลเส้นที่ห้าก็ทะยานตามมาติดๆ!
แสงแห่งบุพกาลสองเส้นฟาดลงมาติดต่อกันทำให้จักรพรรดิแสใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งได้ทันที เขาค้นพบว่าตัวเองไม่อาจมองทะลุไปเห็นถึงไพ่ตายของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางใช้พลังเช่นนี้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่กระนั้นเขากลับ…ไม่อาจรู้ถึงจำนวนที่แน่ชัด!
และไม่ว่าจะมองอย่างไร จำนวนที่แน่นอนของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะมากจนทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ!!
โดยเฉพาะบัดนี้ที่หัวใจของเขาถูกสั่นคลอนอีกครั้ง และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดันสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เชิดคางเอ่ยอย่างโอหัง
“ครั้งนี้เป็นเส้นสุดท้ายแล้วจริงๆ!” เสียงตูมตามดังสนั่นไปทั้งแผ่นฟ้า
ก่อนที่จะเห็นว่าหลังจากแสงแห่งบุพกาลสองเส้นเมื่อครู่นี้ปรากฎขึ้นมาแล้ว เวลานี้ก็ได้มีแสงแห่งบุพกาลอีกเส้นจำแลงขึ้นมา ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่กดทับอูฐให้ตาย ทำให้หัวใจของจักรพรรดิแสเกิดคลื่นลูกยักษ์โถมกระหน่ำ
“เขามีกี่เส้นกันแน่!!” จักรพรรดิแสอัดอั้นตันใจ ทั้งยังคับแค้นใจสุดขีด
หากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมรับก็ยังพอว่า แต่นี่อีกฝ่ายดันทำท่าทางเออออคล้อยตาม นี่จึงทำให้จักรพรรดิแสเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ
ขณะเดียวกันก็ยิ่งเดาทางของอีกฝ่ายไม่ออก
บัดนี้เขาได้แต่รีบเบี่ยงหลบอย่างว่องไว ทว่าสุริยาสีชาดนั้นใหญ่เกิน ซ้ำแสงแห่งบุพกาลก็พุ่งมาเร็วเกินไป มันจึงกระแทกลงมาอย่างจัง เป็นเหตุให้สุริยาสีชาดแทบจะแหลกสลาย จักรพรรดิแสก็ยิ่งกระอักเลือด จำเป็นต้องสลายตะวันสีแดงออกไป ส่วนร่างของตัวเองก็ถอยกรูดออกห่างมาอย่างรวดเร็ว
มาจนถึงบัดนี้ เขาได้รับบาดเจ็บจากศึกครั้งนี้หลายครั้งจนจำต้องถอยหนี ในใจอัดอั้น แต่ที่มากกว่านั้นคือความคลุ้มคลั่ง ตอนนี้เขาไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีแสงแห่งบุพกาลให้ใช้กี่เส้นกันแน่
และการถอยหนีของเขาก็อยู่ในสายตาของจักรพรรดิเซิ่งเช่นกัน ในใจของจักรพรรดิเซิ่งเองก็เกิดคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ ลมหายใจกระชั้นรัว ทำท่ายกเท้าขึ้นแต่ก็วางลงซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง ถึงกับตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไรต่อ
ป๋ายเสี่ยวฉุนลอบระบายลมหายใจอยู่ในใจ ตอนนี้เขายังเหลืออยู่อีกเก้าเส้น จำนวนเท่านี้ เขารู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้อีกฝ่ายหยั่งเชิงจนรู้คำตอบไม่ได้เด็ดขาด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าจึงเอามือไพล่หลัง มองจักรพรรดิแสที่ถอยหนีไปพลางถอนหายใจ
“ข้าเหลืออีกแค่เส้นเดียวแล้วจริงๆ …”
“จริงกะย่าเจ้าน่ะสิ!!” พอได้ยินประโยคนี้ ไฟโทสะในใจของจักรพรรดิแสก็มิอาจระงับไว้ได้อีก เขาจึงไม่ถอยหนีอีกต่อไป แต่หมุนขวับกลับมา ดวงตาฉายไอสังหารเข้มข้น พริบตาเดียวก็กระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน!
ทว่าวินาทีที่เขากระโจนออกมานั้นเอง ตามหลังเสียงคำรามกร้าวของป๋ายเสี่ยวฉุน บนท้องฟ้าก็มีแสงปรากฎหนึ่งเส้น สองเส้น สามเส้น…แสงแห่งบุพกาลสามเส้นติดต่อกัน เป็นดั่งอสนีบาตที่ผ่าเปรี้ยงลงมา!
แสงแห่งบุพกาลทั้งสามเส้นนี้ทำให้ใจที่ลังเลของจักรพรรดิแสพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เขาที่ร้องคำรามรีบถอยหนี ท่ามกลางเสียงอึกทึกเกริกก้อง แสงแห่งบุพกาลสามเส้นกระแทกเปรี้ยงลงมาเสียงดังหูดับตับไหม้ ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงแววเสียดายซึ่งทำให้คนฟังของขึ้นได้ง่ายๆ จากป๋ายเสี่ยวฉุน
“ตอนนี้ไม่มีแล้วจริงๆ …”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” จักรพรรดิแสที่ได้ยินประโยคนี้ก็พลันหมุนตัวขวับกระโจนเข้าใส่อีกครั้ง ทว่าชั่วขณะที่เขาขยับเข้าไปใกล้…แสงแห่งบุพกาลอีกสามเส้นก็เยื้องกรายลงมาพร้อมเพรียงกัน!
จักรพรรดิแสกระอักเลือด แหงนหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงคำราม ความลังเลเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ในใจของเขา…หายวับไป ณ บัดนั้น เขาไม่อยากหยั่งเชิงอีกแล้ว ในสายตาเขา นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางหยั่งจนรู้เชิงได้เลย…
โดยเฉพาะเมื่อเสียงกวนโมโหของป๋ายเสี่ยวฉุนดังขึ้นมาอีกครั้ง…
“ตอนนี้ ไม่มีแล้วจริงๆ เจ้าวางใจเถอะ…”