บทที่ 1215 เสินซ่วนจื่อผู้ได้รับความไม่เป็นธรรม
ในอดีตโจวจื่อโม่ใช้ยากระสันซ่านหนึ่งเม็ด ต่อให้เป็นซ่งจวินหว่านก็ยังใช้แค่หนึ่งเม็ด ทว่าตอนนี้โหวเสี่ยวเม่ยกลับบีบยากระสันซ่านให้แหลกละเอียดถึงสองเม็ด ซ้ำสถานที่ที่ยาแตกกระจายยังเป็นห้องลับห้องหนึ่งด้วย…
ผลลัพธ์เป็นอย่างไรไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ได้…
หมอกควันพวกนี้เข้มข้นอย่างถึงที่สุด ทั้งยังไม่สามารถสลายหายไปได้เอง มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนกับโหวเสี่ยวเม่ยที่ต้องคอยดูดซับเอาไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ดังนั้นเวลาหลายวันที่ผ่านพ้นไป…เมื่อหมอกควันพวกนี้สลายหายไปสิ้นและประตูใหญ่ของห้องลับถูกเปิดออก โหวเสี่ยวเม่ยก็เดินออกมา แม้ว่านางที่เดินออกมาจะกะปลกกะเปลี้ยอยู่บ้าง แต่ดวงหน้ารูปไข่กลับแดงปลั่งอิ่มเอิบ โดยเฉพาะดวงตาทั้งคู่ที่เป็นประกายแจ่มใสอย่างถึงที่สุด หลังจากหันกลับไปมองด้านหลังครู่หนึ่ง โหวเสี่ยวเม่ยก็ลูบคลำหน้าท้องตัวเองแล้วจากไปด้วยความเบิกบานใจ
จนกระทั่งนางจากไปนานมากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เดินขาสั่นออกมาจากห้องลับ เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสีหน้าเศร้าสลด
“ข้าจักรพรรดิขุยผู้ยิ่งใหญ่ หนึ่งในผู้แข็งแกร่งสามท่านของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวเหยียด เขารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวยิ่งนัก เหตุใดทุกครั้งต้องถูกคนใช้ยากระสันซ่านมาปลุกปล้ำ
“หากบนโลกนี้ไม่มียากระสันซ่าน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เศร้ารันทดเพิ่งจะคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม หากไม่มียากระสันซ่าน เขาก็คิดว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะยังอยู่ตัวคนเดียว…เพราะอย่างไรซะตนก็บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเกินไป
“ช่างเถอะๆ มีก็มีไปเถอะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหน้าถอนหายใจ เขาพอจะเดาความคิดของโหวเสี่ยวเม่ยได้ไม่มากก็น้อย เพราะอย่างไรซะนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ตนรู้จัก
ทว่าตอนนี้ทั้งซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ต่างก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขตนอยู่ในท้อง ทว่าโหวเสี่ยวเม่ยกลับยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางย่อมอดไม่ได้ที่จะใช้วิธีการสุดโต่งบางอย่าง
“เฮ้อ พวกนางต่างก็ชิงดีชิงดีเด่นกันเพื่อหวังอุ้มท้องลูกของข้า นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของพวกนาง เป็นความผิดของข้าเอง ต้องโทษข้าคนเดียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหน้า หลังจากไปเดินเตร่อยู่ด้านนอกรอบหนึ่งก็กลับเข้ามาในห้องลับอีกครั้ง
ตอนนี้ทุกอย่างในราชวงศ์จักรพรรดิขุยล้วนมั่นคงหมดแล้ว พวกต้าเทียนซือต่างก็แบ่งกันรับผิดชอบงานบ้านงานเมือง เป็นเหตุให้ราชวงศ์จักรพรรดิขุยพัฒนาไปอย่างมีระเบียบ การหลอมพลังจิตก็ยิ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่โดดเด่นที่สุด แล้วก็เพราะการตกลงร่วมกันกับราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งและราชวงศ์จักรพรรดิแสก่อนหน้านี้ ต่างฝ่ายต่างจึงมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด
ขณะเดียวกันเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ถูกจักรพรรดิแสสั่งให้คนเอามาส่งให้นานแล้ว เพราะจะไม่ส่งมาก็ไม่ได้ เพราะตามข้อตกลงระหว่างสามจักรพรรดิใหญ่แล้ว จักรพรรดิแสรู้สึกว่าการทำเช่นนี้มีประโยชน์ต่อตัวเขาเองอย่างมาก เพราะเขาไม่อยากเปิดโอกาสให้ป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งมาสร้างปัญหาให้กับตนได้
และเมื่อทุกอย่างสงบลง วันคลอดของโจวจื่อโม่และซ่งจวินหว่านก็ใกล้เข้ามาทุกที ระดับความสำคัญของเรื่องนี้ก็ถูกยกขึ้นจนถึงขั้นที่เหนือเกินกว่าทุกสิ่งอย่าง แทบทุกคนล้วนจับตามองเรื่องนี้ แม้แต่จักรพรรดิแสและจักรพรรดิเซิ่งเองก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน
เพราะในสายตาของคนมากมาย ยังไม่ต้องพูดถึงความโชคดีของป๋ายเสี่ยวฉุน เอาแค่พรสวรรค์ของเขาก็น่าตะลึงเกินกว่าทุกคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะวิชาอมตะมิวางวายของเขา เวทวิชาคาถาที่มาจากสายเลือดของจักรพรรดิขุยเช่นนี้ หากบุตรของเขาได้รับสืบทอดต่อไปก็มากพอจะทำให้ผู้คนกริ่งเกรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือวิชาการหลอมพลังจิต!
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับสายเลือด นี่จึงเป็นเหตุให้ยังไม่ทันที่บุตรทั้งสองคนซึ่งกำลังจะถือกำเนิดของป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นมาดูโลกก็ถูกคนจำนวนนับไม่ถ้วนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลให้ความสนใจแล้ว
เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นเต้นมากเหมือนกัน ช่วงเวลาหลังจากนั้นมา เขาแทบจะไม่ออกห่างจากวังหลวง ต่อให้เป็นสถานที่เข้าฌานก็ยังถูกย้ายมาอยู่ใกล้ๆ กับซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่
ต่อให้จะพอวิเคราะห์ได้ว่าจะไม่มีคนในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอาจหาญกล้ามาทำอันตราย แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
แต่ว่าระยะเวลาการตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นยาวนานเกินไป ทั้งๆ ที่สัมผัสได้ว่าพวกนางใกล้จะคลอดกันแล้ว ทว่าก็ยังห่างจากช่วงระยะเวลาที่แท้จริงอยู่อีกช่วงหนึ่ง
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือน เด็กๆ ยังไม่ลืมตามาดูโลก
ทว่าสวีเป่าไฉกับเสินซ่วนจื่อกลับมาถึงเสียก่อน
การปรากฏตัวของคนทั้งสองนี้พิเศษมาก…เพราะเสินซ่วนจื่อถูกสวีเป่าไฉจับตัวมา จนกระทั่งมาถึงในดินแดนเซียนของราชวงศ์จักรพรรดิขุย สวีเป่าไฉถึงได้กล้าเผยกาย ดังนั้นไม่นานจึงมีคนบินออกมาจากในนครจักรพรรดิขุยเพื่อรับพวกเขาสองคนเข้าไปในเมือง
พอเข้ามาในเมืองและได้พบหน้าพวกบุรพาจารย์ธาราเทพ สวีเป่าไฉก็รีบร้องตะโกนเสียงดังทันทีว่าต้องการพบป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนเสินซ่วนจื่อที่ถูกสวีเป่าไฉจับตัวมานั้นมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ตลอดเวลา พบเจอใครก็ไม่ยอมพูดด้วย เอาแต่ถอนหายใจและเหม่อลอยไม่หยุด
ภาพเหตุการณ์นี้ประหลาดอย่างมากจนแม้แต่พวกบุรพาจารย์ธาราเทพก็ยังเริ่มลังเล ไม่นานเรื่องนี้ก็ผ่านการรายงานเป็นทอดๆ จนไปถึงหูป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็แปลกใจมาก จึงเรียกสวีเป่าไฉและเสินซ่วนจื่อไปพบที่ห้องรับรองเล็กด้านข้าง
รอจนป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นกับตาตัวเองก็พบว่าเสินซ่วนจื่อถูกจับมัดเชือกเดินนำมาด้านหน้าด้วยสีหน้าระทมทุกข์ บางครั้งยังถูกสวีเป่าไฉถีบมาจากด้านหลังอยู่หลายที ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
“ถวายบังคมจักรพรรดิขุย!” สวีเป่าไฉที่พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ผลักเสินซ่วนจื่อออกไปให้พ้นทาง คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุ้บ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ฮึกเหิมและกระตือรือร้น ปากก็ตะโกนเสียงดัง
เขาดีใจมากจริงๆ อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในราชวงศ์จักรพรรดิเซิ่งและได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นจักรพรรดิขุย สวีเป่าไฉก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน ยิ่งนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็รู้สึกว่าตนรุ่งโรจน์แน่แล้ว ดังนั้นจึงรีบเดินทางมาที่นี่ และเพื่อแสดงความจงรักภักดี สวีเป่าไฉที่คุกเข่าถวายบังคมจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า
“ฝ่าบาท คราวนี้เป่าไฉไม่ได้มามือเปล่า ข้าได้จับโจรกบฏใหญ่มาให้ท่านด้วยคนหนึ่ง!”
“โจรกบฏผู้นี้ก็คือเสินซ่วนจื่อ!” เสียงของสวีเป่าไฉดังก้องอยู่ในห้องเล็กด้านข้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองสวีเป่าไฉด้วยความตะลึง ก่อนจะหันไปมองเสินซ่วนจื่ออีกที แล้วก็ให้รู้สึกว่าปัญหาระหว่างสองคนนี้คงจะไม่น้อยเลยทีเดียว
“ข้าไม่ใช่โจรกบฏ!” เสินซ่วนจื่อเองก็เงยหน้าพรวด แผดเสียงตะโกนตอกกลับทันควัน
“ป๋าย…ฝ่าบาท ข้าไม่ได้ทรยศต่อพวกท่าน ข้า…” ลมหายใจของเสินซ่วนจื่อหอบรัว เตรียมจะอธิบาย ทว่าสวีเป่าไฉที่อยู่ด้านข้างกลับถลึงตาใส่เสียก่อน
“หุบปาก เสินซ่วนจื่อ ข้าสวีเป่าไฉเป็นคนทำงานด้านการข่าวโดยเฉพาะ เจ้าอย่าหวังว่าจะปั่นหัวข้าได้!”
“ฝ่าบาทขอรับ เจ้าเสินซ่วนจื่อผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งนัก เขาทรยศพวกเรา และที่น่าโมโหที่สุดก็คือเขายังคิดจะติดสินบนข้าด้วย!”
“ฝ่าบาท ท่านไม่รู้อะไร เพื่อจับเจ้าคนทรยศอย่างเสินซ่วนจื่อผู้นี้ ข้าต้องทนแบกรับภาระหน้าที่หนักอึ้ง แสร้งอ่อนน้อมคล้อยตาม ต่อให้เสินซ่วนจื่อจะส่งนักพรตหญิงหนึ่งร้อยกว่าคนมาให้เพื่อหวังกะเทาะจิตวิญญาณ เขย่าคลอนจิตใจแห่งเต๋าของข้า แต่กระนั้นความจงรักภักดีที่ข้ามีต่อฝ่าบาทก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน!” ประโยคนี้ของสวีเป่าไฉพูดได้น่าซาบซึ้งยิ่ง ทว่าเสินซ่วนจื่อที่อยู่ข้างกันกลับหันมาถลึงตาใส่สวีเป่าไฉด้วยความเดือดดาล
“ข้าส่งนักพรตผู้หญิงพวกนั้นไปให้เจ้าก็จริง แต่มีครั้งไหนบ้างที่เจ้าไม่ได้รับไปด้วยความเต็มใจ ที่มากถึงหนึ่งร้อยกว่าคนก็ไม่ใช่เพราะเจ้ามาขอข้าเพิ่มในภายหลังหรอกรึ!”
“นั่นเป็นเพราะใจแห่งเต๋าของข้าสวีเป่าไฉมั่นคงไม่คลอนแคลน เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง เพื่อจับโจรกบฏตัวฉกรรจ์อย่างเจ้า ข้าถึงได้ยอมลำบากตัวเอง ได้แต่ฝืนรับสินบนของเจ้ามาอย่างไม่เต็มใจ ทุกอย่างที่ข้าทำไปก็เพื่อจับตัวเจ้า!”
สวีเป่าไฉโต้กลับทันที ทั้งยังถลึงตาคืนเสินซ่วนจื่อ
คนทั้งสองที่อยู่ในห้องรับรองโต้เถียงกันไม่หยุด คนหนึ่งประณามอีกฝ่ายว่าเป็นโจรกบฏ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไม่ยอมรับ ขณะเดียวกันต่างฝ่ายต่างก็พูดถึงความไร้ยางอายของฝั่งตรงข้าม
“ฝ่าบาท ท่านอย่าไปสงสารเจ้าเสินซ่วนจื่อผู้นี้ ตอนนั้นที่ข้าไปหาเขาเคยเกลี้ยกล่อมให้เขามาที่นครจักรพรรดิขุยด้วยกัน แต่เขาอาศัยที่ตัวเองมีคู่บำเพ็ญตนเป็นครึ่งเทพเอ่ยปฏิเสธ ดังนั้นข้าจึงจำต้องแบกรับภาระหนักอึ้ง จนได้รับความเชื่อใจจากเขา ถึงได้วางยาพิษแอบจับตัวเขามาได้!” สวีเป่าไฉกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากมา…แต่ข้ามีครอบครัวแล้ว ทั้งยังเป็นครอบครัวใหญ่ จึงยังไม่สามารถตัดใจจากมาได้ทันทีทันใด ข้าไม่เคยพูดเสียหน่อยว่าไม่อยากมา”
เสินซ่วนจื่อถอนหายใจหนึ่งทีก่อนจะเอ่ยอธิบาย
“เจ้าอย่าหวังว่าจะโกหกฝ่าบาทได้ เสินซ่วนจื่อ เจ้ามันคนทรยศเนรคุณ ตอนอยู่ข้างนอกเจ้าก็แพร่พันธ์ไปมั่วซั่ว เป็นเหตุให้สายเลือดของโลกทงเทียนเราขยายเป็นวงกว้าง แม้แต่ความลับด้านการหลอมพลังจิต ข้าก็ว่าคงเก็บรักษาไว้ไม่ได้อีกแล้ว!”
สวีเป่าไฉกล่าวเดือดดาล
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่รับฟังอยู่เงียบๆ ตอนแรกยังพอจะรู้สึกว่าน่าสนุกอยู่บ้าง แต่ฟังไปฟังมาและเห็นว่าทั้งสองทะเลาะจนทำท่าเหมือนจะตีกันขึ้นมาจริงๆ โดยเฉพาะเสินซ่วนจื่อที่เห็นได้ชัดว่าอ่อนแรง ส่วนสวีเป่าไฉก็ยังปรี่ขึ้นมาแตะอัดอยู่หลายที เขาจึงต้องรีบยกมือห้ามปราม
เขาฟังเข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลังจากเสินซ่วนจื่อมาอยู่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็มีชีวิตสุขสบาย ไม่ต้องยากลำบากเหมือนคนอื่น ดังนั้นพอราชวงศ์จักรพรรดิขุยสถาปนาขึ้นมา เขาจึงค่อนข้างจะลำบากใจและคิดไม่ตก
“เสินซ่วนจื่อ จะอย่างไรทุกคนก็เคยเป็นพี่น้องกันมาก่อน เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าอยากกลับมาหรือไม่? หากเจ้าไม่อยาก ข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้ เราทุกคนต่างก็เป็นคนของโลกทงเทียน ขอแค่เจ้าสบายใจและไม่ทำเรื่องที่เป็นการทรยศหักหลังพวกเรา พวกเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันดังเดิม!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเดินขึ้นหน้าไปคลายเชือกที่รัดร่างของเสินซ่วนจื่อออก ทั้งยังตบลงไปบนร่างเขาหนึ่งครั้งเพื่อขับไล่ความอ่อนแอที่เกิดจากยาพิษออกไป
ร่างของเสินซ่วนจื่อสั่นสะท้าน ยืนคิดอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก
“กลับ ข้าอยากกลับมา แต่ข้าไม่สามารถกลับมาเพียงลำพังได้ ข้าอยาก…พาคนในครอบครัวข้ามาด้วย!”
“ไม่มีปัญหา มีเท่าไหร่ก็พากันมาให้หมดนั่นแหละ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะร่าแล้วจึงโอบกอดเสินซ่วนจื่อเอาไว้ จากนั้นก็หันไปกอดสวีเป่าไฉ
เสินซ่วนจื่อทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไปก่อน สวีเป่าไฉเองก็มีท่าทีลังเล แต่พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ดีขนาดนี้ สุดท้ายเขาจึงอดกลั้นไว้ไม่พูดออกมา
และไม่นานเสินซ่วนจื่อก็จากไป ตามคำอนุญาตของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงจะนำบุตรและภรรยาทั้งหมดของตัวเองมาอยู่ที่นครจักรพรรดิขุย
“หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะไม่ตกใจไปเสียก่อนนะ…” เสินซ่วนจื่อหันกลับมามองนครจักรพรรดิขุยด้วยสีหน้าปั้นยาก