บทที่ 122 การรบครั้งนี้ ข้ารับ!
ขณะที่ชายฝั่งทิศเหนือมองการท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่นั้น เนื่องด้วยสะท้านสะเทือนเกินไป เรื่องนี้จึงแพร่ไปถึงชายฝั่งทิศใต้เช่นกัน ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้มองหน้ากัน ใช้สายตาเห็นใจมองไปยังชายฝั่งทิศเหนือ ไม่ได้เห็นใจป๋ายเสี่ยวฉุน แต่เห็นใจลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนือ
“พวกเจ้าไม่รู้จักเขา…”
“คอยดูเถอะ ไม่นานเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้รู้แล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้น่ากลัวมากแค่ไหน”
เวลาผันผ่าน จนกระทั่งผ่านไปได้สิบวัน ลูกศิษย์ฝ่ายในที่ท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งมีจำนวนรวมกันเกินสองพันคนได้พุ่งขึ้นสูงถึงสองพันสามร้อยกว่าคนแล้ว อีกทั้งยังเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
เหมือนว่าใครก็ตามที่เป็นลูกศิษย์ฝ่ายในของชายฝั่งทิศเหนือ หากไม่ท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนสักหน่อย ไม่ไปส่งนกกระสากระดาษออกจากเวทีประลองสักตัว จะถือเป็นเรื่องน่าอายอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ทำให้คนอื่นดูถูกด้วย
เมื่อกระแสนิยมเช่นนี้เกิดขึ้น คนที่ท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน…จึงยิ่งมีมากขึ้น
“ฮ่าๆ วันนี้ข้าสวีต้าเป่าได้ใช้คะแนนคุณความดีสิบคะแนนไปท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว!”
“หึๆ ข้าโจวอวิ๋นชง ส่งสารท้ารบให้กับศัตรูร่วมชายฝั่งทิศเหนือนั่นตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้ว เสียดายที่เจ้าไก่อ่อนนั่นไม่กล้ามาสู้ด้วย!”
วันที่สิบสาม ลูกศิษย์ฝ่ายในที่ท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนทะลุไปถึงสามพันคน ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือสะเทือนเลือนลั่นกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดของชายฝั่งทิศเหนือก็ตาม หัวข้อที่ทุกคนพูดคุยล้วนเป็นเรื่องท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งสิ้น
พายุลูกโซ่ที่เกิดขึ้นจากคนคนเดียวเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน และทุกวันบริเวณโดยรอบของเวทีประลองจะต้องมีคนหลายหมื่นมารวมตัวกัน คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอก พวกเขามองดูลูกศิษย์ฝ่ายในแต่ละคนเหยียบย่างลงบนเวทีประลอง ส่งสารท้ารบกลายเป็นนกกระสากระดาษด้วยความทะนงองอาจก็ล้วนไชโยกู่ร้อง ส่วนคะแนนคุณความดีจะมากจะน้อยนั้น พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว
ส่วนเป่ยหันเลี่ยที่เป็นคนเริ่มท้ารบก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ ตอนนี้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังมากกว่าที่เคยเป็นมา ถึงขั้นที่ว่าเนื่องจากฐานะของผู้เคราะห์ร้ายในตอนนั้น ทำให้เขาในตอนนี้กลายเป็นที่จับตามองของผู้คนนับหมื่นไปแล้ว
จนกระทั่งวันที่สิบเจ็ด หลังจากที่ลูกศิษย์ฝ่ายในซึ่งท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนทะลุไปถึงสี่พันคน พายุที่เกิดขึ้นบนชายฝั่งทิศเหนือลูกนี้ก็ได้กวาดตะลุยไปทั่วสำนักธาราเทพ
ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่การท้ารบอีกต่อไป แต่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ใช้คะแนนคุณความดีมากหรือน้อยนั้นไม่สำคัญ ถึงกระทั่งที่ว่ามีคนไม่น้อยจ่ายคะแนนคุณความดีแค่หลักหน่วย แต่ยังไงก็จำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับเรื่องสนุกสนานเช่นนี้ให้ได้
“ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวแล้ว เขาไม่กล้าเปิดการต่อสู้กับชายฝั่งทิศเหนือของเรา!”
“ฮ่าๆ ต่อให้เขาแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องคุกเข่าให้กับความสามัคคีของชายฝั่งทิศเหนือเรา!”
“ปณิธานของชายฝั่งทิศเหนือสูงส่งไร้เทียมทาน!!”
ไม่เพียงแต่ผู้นำของทั้งสี่เขาที่พูดไม่ออก แม้แต่เจิ้งหย่วนตงเองก็ยังเบิกตากว้างอ้าปากค้าง หรือกระทั่งผู้อาวุโสไท่ซ่างของสำนักธาราเทพก็ยังให้ความสนใจ เพราะยังไงซะเรื่องแบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และความฮึกเหิมของชายฝั่งทิศเหนือก็เหมือนว่าจะพุ่งสู่จุดสูงสุดหลังจากที่ลูกศิษย์ฝ่ายในแทบทุกคนส่งสารท้ารบออกไป ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่ต้องไปหอร้อยสัตว์ทุกวัน มองเห็นนกกระสากระดาษแต่ละตัวที่บินมาไม่หยุดก็เฮฮากู่ร้อง
จนกระทั่งวันที่ยี่สิบ ลูกศิษย์ฝ่ายในเกือบแปดเก้าส่วนล้วนส่งคำท้ารบไปหมดแล้ว ในที่สุดเรื่องนี้ก็หยุดชะงักไปได้พักหนึ่ง แต่ตามมาติดๆ คือเช้าตรู่ของวันนี้ เนื่องจากโดยรอบเวทีประลองมีลูกศิษย์ฝ่ายนอกร่างใหญ่คนหนึ่งเกิดคึกขึ้นมา เขาเห็นว่าลูกศิษย์ฝ่ายในมากมายล้วนได้รับเสียงไชโยให้กำลังใจจากการที่ท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจก็ให้ฮึกเหิม บอกกับตัวเองว่าก่อนหน้านี้มีคนท้ารบไปสี่พันกว่าคนแล้ว ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่เลือกคะแนนคุณความดีเล็กน้อยของตัวเองหรอก จะยังไงเขาก็เป็นถึงผู้ชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเชียวนะ
ได้ท้ารบกับผู้ชนะ ทั้งอีกฝ่ายยังหนีการต่อสู้ เรื่องแบบนี้แค่คิดก็อารมณ์ดี ต่อไปยังสามารถเอาไว้คุยโม้ให้คนอื่นฟังได้ด้วยว่าตัวเองท้ารบป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว แต่อีกฝ่ายหลบเลี่ยงไม่กล้าสู้ด้วย
คิดมาถึงตรงนี้ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกร่างใหญ่คนนี้ก็ตื่นเต้นห้าวหาญขึ้นมาทันที ใช้ฐานะลูกศิษย์ฝ่ายนอกพลังรวมลมปราณขั้นสี่ พุ่งถลาออกไปด้วยท่าทางจองหอง กลายเป็นคนแรกของวันที่ขึ้นไปบนเวทีประลอง เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง
“ข้าหลิวต้าเปียว ใช้คะแนนคุณความดีหนึ่งร้อยคะแนนเพื่อท้ารบศัตรูร่วมชายฝั่งทิศเหนือ ป๋ายเสี่ยวฉุน!” หลิวต้าเปียวหัวเราะเสียงดัง เขาเอามือไพล่หลัง มองไปยังหอร้อยสัตว์ด้วยความทะนงองอาจ
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ได้รับสารรบจากข้านายท่านเปียว ตัวเจ้าเป็นลูกศิษย์ฝ่ายใน กล้าสู้กับข้าหลิวต้าเปียวหรือไม่!”
จากการปรากฏตัวของคนผู้นี้ ทุกคนที่อยู่รอบด้านเงียบกริบ ความคิดแรกของทุกคนก็คือหลิวต้าเปียวผู้นี้ช่างโง่ยิ่งนัก ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะน่ารังเกียจแค่ไหนเขาก็เป็นถึงผู้ชนะศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ไม่ใช่ว่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งจะไปท้าทายด้วยได้ ทว่าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ทันควันว่าหลิวต้าเปียวผู้นี้มองเห็นโอกาสเหมาะ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธีการที่ดีในการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ดังนั้นดวงตาทุกคนจึงเปล่งประกายวิบวับ
พอคิดว่าตัวเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกแต่ได้ท้ารบกับลูกศิษย์ฝ่ายใน ผลคืออีกฝ่ายดันหนีการต่อสู้ นี่ช่างเป็นเรื่องที่ได้หน้าได้ตาเหลือเกินแล้ว ดังนั้นไฟในใจแต่ละคนจึงถูกจุดติดขึ้นมา
พากันส่งสารท้ารบอย่างห้าวหาญ อยากเข้าร่วมกับเรื่องยิ่งใหญ่อย่างการต่อสู้กับศัตรูร่วมชายฝั่งทิศเหนือ
ขณะที่หลิวต้าเปียวผู้นี้กำลังลำพองใจอยู่นั้นเอง ในหอร้อยสัตว์ ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นมาจากการนั่งสมาธิ ถอนหายใจเฮือกแล้วผลักประตูออก
ยี่สิบวันมานี้เรื่องที่เขาปวดหัวที่สุดก็คือการเปิดประตู แต่จะไม่เปิดก็ไม่ได้ หากนกกระสากระดาษที่สะสมไว้มีมาก ปณิธานในการรบก็ยิ่งดุเดือด เขารับไม่ไหวแล้ว จึงทำได้เพียงเปิดประตูหอเป็นสิ่งแรกของทุกวัน
ทุกครั้งจะต้องได้ยินเสียงท้ารบมากมายดังลอยมาจากนกกระสากระดาษหลายร้อยตัวพวกนั้น เมื่อวานตอนเช้าเขายังลองตั้งใจนับดู พบว่านกกระสากระดาษทะลุสี่พันชิ้นไปแล้ว กองเกลื่อนอยู่เต็มพื้น
เวลานี้เพิ่งจะเปิดประตูออก พบว่ามีนกกระสากระดาษแค่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตกใจระคนดีใจอยู่นั้น พลันมีนกกระสากระดาษนับพันลอยมาจากท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกล กลายเป็นพลังในการสู้รบมหาศาลคำรามเข้ามาหา ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังอึ้งอยู่นั้น นกกระสากระดาษพวกนี้ก็พากันร่วงลงมา ระเบิดทะลักทลายต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน จนกระทั่งทับร่างป๋ายเสี่ยวฉุนจนมิด
นั่นคือการร่วงหล่นลงมาพร้อมกันของนกกระสากระดาษพันกว่าชิ้น ภายใต้การถูกปกคลุมด้วยปณิธานการต่อสู้อันดุเดือด นกกระสากระดาษพวกนี้จึงฝังกลบร่างเล็กบางของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ด้านล่าง
ไม่นานนักป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะเกียกตะกายออกมา เขาอึ้งตะลึงงัน มองดูนกกระสากระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบกาย เขาเซ่ออยู่พักใหญ่ เหมือนว่าสมองไม่แล่น ใช้การไม่ได้
และตอนนี้ในมือของเขาถือนกกระสากระดาษชิ้นหนึ่งที่ร่วงลงมาเป็นชิ้นแรกจากคลื่นนกกระสากระดาษก่อนหน้า ข้างหูยังคงมีเสียงไร้อารมณ์ลอยมาจากนกกระสากระดาษชิ้นนั้นดังสะท้อนอยู่
“ลูกศิษย์ฝ่ายในป๋ายเสี่ยวฉุน หลิวต้าเปียวแห่งชายฝั่งทิศเหนือ รวมลมปราณขั้นสี่ ใช้คะแนนคุณความดีหนึ่งร้อยคะแนน ต้องการท้ารบกับเจ้า”
ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องนกกระสากระดาษเขม็ง โดยเฉพาะหลังจากได้ยินคำว่ารวมลมปราณขั้นสี่ ดวงตาเขาก็เปล่งแสงวาบ โกรธขึ้นมาทันควัน
“ชายฝั่งทิศเหนือรังแกกันเกินไปแล้ว ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะทำตัวสงบเสงี่ยม แต่ในเมื่อทำไม่ได้ ช่างเถอะๆ เป่ยหันเลี่ยเล่นลูกไม้ บอกว่าจะปิดด่านสิบปี แต่แปบเดียวก็ดันออกมาแล้ว นี่ยังไม่เท่าไหร่ ลูกศิษย์ฝ่ายในท้ารบข้าก็อดทนให้ แต่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกยังมาท้ารบกับเขาด้วย ไม่ทนแล้ว ข้ารับคำท้าก็ได้ หลิวต้าเปียวรึ? พลังรวมลมปราณขั้นสี่ เขานี่แหละ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจก็ปลงอนิจจังเช่นกัน หากไม่เป็นเพราะสัตว์ของหอร้อยสัตว์ที่ไม่ประทับตราผูกพันธะสัญญาไม่สามารถเอาออกไปได้ อีกทั้งเขายังใช้วิชาควบคุมสัตว์ทงเทียนไม่เป็น ไม่อย่างนั้นเขาก็อยากจะพาสัตว์ร้ายนับพันพวกนี้ออกไปกวาดล้างสนามท้ารบให้หมดเลยเชียว!
เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าด้วยความเสียดายเล็กน้อย พูดไปทางนกกระสากระดาษ
“การรบนี้ข้ารับ เริ่มรบทันที!”
เวลาเดียวกันนี้ บนเวทีประลอง หลิวต้าเปียวเอามือไพล่หลัง ยืนดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ถูกสายตาของคนนับหมื่นจับจ้องอยู่ตรงนั้น ความฮึกเหิมโหมซัดสาด
“ป๋ายเสี่ยวฉุน นายท่านเปียวของเจ้าจะรอเจ้าอีกสิบชั่วลมหายใจ เจ้ามันคนกระจอก เจ้ามันไก่อ่อน สรุปแล้วเจ้าจะกล้ารับการท้ารบของนายท่านเปียวหรือไม่!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน โผล่หัวออกมาสิวะ!” หลิวต้าเปียวฮึกเหิมไปทั้งร่าง ตะเบ็งเสียงดังก้อง ยิ่งเขาทำเช่นนี้ คนรอบด้านก็ยิ่งโห่ร้อง
ส่วนหลิวต้าเปียวก็ยิ่งคึกคัก เขาไม่เคยคิดเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะรับคำท้ามาก่อน ในสายตาของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนหนีการต่อสู้มายี่สิบวันแล้ว ต่อให้คิดจะรับจริงก็คงรับคำท้าของพวกลูกศิษย์ฝ่ายในมากกว่า ยังไงก็ไม่ไร้ยางอายถึงขั้นรับคำท้าของตัวเองแน่ๆ เพราะยังไงซะ…เขาก็คือผู้ชนะอันดับหนึ่งของศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ
คิดมาถึงตรงนี้หลิวต้าเปียวก็ยิ่งลำพองใจ รู้สึกว่านี่คือโอกาสอันดีที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แถมเขายังถึงขั้นวาดภาพไว้แล้วว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป ในกลุ่มของศิษย์ฝ่ายนอกตัวเองจะต้องกลายเป็นคนที่ไม่ว่าใครก็รู้จัก และศิษย์น้องหญิงหลายคนที่ตัวเองถูกใจก็ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดความชื่นชอบในตัวเองเพิ่มขึ้นด้วยภาพวีรบุรุษครั้งนี้
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ยังเหลืออีกสามชั่วลมหายใจ เร็วเข้าหน่อย กล้าสู้กับนายท่านเปียวของเจ้าหรือไม่!” หลิวต้าเปียวตะโกนเสียงดังอีกครั้ง เสียงหัวเราะดังก้อง กระปรี้กระเปร่าคึกคักไปหมด กำลังจะเดินลงจากเวที
แต่เวลานี้เอง…
ทันใดนั้นม่านแสงเส้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ตรงเข้ามาขวางหลิวต้าเปียวเอาไว้ ทำให้เขาไม่อาจจากไปได้ จากการปรากฏตัวของม่านแสง ทุกคนรอบด้านล้วนอึ้งตะลึง
ตามมาติดๆ ด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ที่ดังสะท้อนไปทั่วเวทีประลองแห่งนี้
“ลูกศิษย์ฝ่ายในผู้ถูกท้าป๋ายเสี่ยวฉุน รับคำท้ารบจากผู้ท้า ลูกศิษย์ฝ่ายนอกหลิวต้าเปียว การต่อสู้เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
พริบตาเดียวก็คล้ายมีแสงนำส่งลอยขึ้นมา เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยืมใช้พลังของนกกระสากระดาษมาปรากฏตัวอยู่บนเวทีประลองโดยตรง สามารถมองเห็นลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือหลายหมื่นคนที่อยู่รอบด้านได้ในทันที และก็มองเห็นชายร่างใหญ่ที่เวลานี้ยืนอึ้งเหมือนคนโง่ ซึ่งยืนอยู่บนเวทีประลองร่วมกับเขา หลิวต้าเปียว
ยามนั้นรอบด้านเงียบสงัด ในจำนวนคนหลายหมื่นนี้ มีทั้งลูกศิษย์ฝ่ายนอกและลูกศิษย์ฝ่ายใน แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนเซ่อไปหมด มองอึ้งราวกับไก่ไม้ไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งอยู่บนเวทีประลอง
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุน…จะดันรับคำท้านี้ รับคำท้าก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่เขาดัน…ดันรับคำท้ารบจากลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่มีพลังแค่รวมลมปราณขั้นสี่คนหนึ่ง…
ระดับความไร้ยางอายเช่นนี้อยู่เหนือล้ำเกินกว่าที่ทุกคนคิดเอาไว้ ทำให้พวกเขานิ่งอึ้ง ในหัวสมองว่างเปล่า
“เจ้าคือหลิวต้าเปียว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง พูดด้วยเสียงเอาจริงเอาจัง
หลิวต้าเปียวแข้งขาอ่อนเปลี้ย น้ำตาใกล้จะไหลออกมาอยู่รอมร่อ มึนงงอย่างสมบูรณ์แบบ นัยน์ตาเผยความสับสน รู้สึกเหมือนทั้งหมดนี้คือความฝัน เขาก็แค่อยากคว้าโอกาสนี้ให้ตัวเองได้มีหน้ามีตาก็เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะรับคำท้าขึ้นมาจริงๆ!!
เขาไม่รับของลูกศิษย์ฝ่ายใน ไม่รับของลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่แข็งแกร่ง แต่รับสารท้ารบจากตัวเอง…
“ข้า…ข้า…” หลิวต้าเปียวตัวสั่นเทิ้ม อึกๆ อักๆ ยังไม่ทันได้พูดจบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง เอ่ยปากเนิบนาบ
“เจ้ายอมแพ้เถอะ เมื่อใดที่ข้าลงมือ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง”
ประโยคนี้ดังเข้าไปในหูของหลิวต้าเปียว กลายเป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่าทันที ทำให้ในสมองของหลิวต้าเปียวมีภาพเรื่องราวเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่เคยได้ยินลอยขึ้นมา โดยเฉพาะความน่าสังเวชของเป่ยหันเลี่ย ทำให้หลิวต้าเปียวหนีบขาเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ตกใจจนสติเกือบกระเจิดกระเจิง ใกล้จะร้องไห้อยู่เต็มแก่ กรีดเสียงแหลมขึ้นมา
“ข้ายอมแพ้!!”
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง หลังจากที่หลิวต้าเปียวยอมแพ้ ม่านแสงจึงหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางห้าวหาญ ในแผ่นหยกประจำตัวของเขามีคะแนนคุณความดีเพิ่มขึ้นมาเองอีกร้อยคะแนน
“ชีวิตช่างเงียบ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อ กำลังจะปลงอนิจจังเสียงเบา แต่เวลานี้เอง ทุกคนที่อยู่รอบด้านพลันเปล่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งถึงที่สุด เสียงคำรามอันดุเดือดนี้สะท้อนไปทั่วทั้งชายฝั่งทิศเหนือ ขนาดที่ว่าแม้แต่ชายฝั่งทิศใต้ก็ยังได้ยินแว่วๆ
———-