บทที่ 1233 ผู้บงการโบราณกาล
เสียงพึมพำนี้แผ่วเบามาก ทั้งยังคลุมเครือเหมือนดังมาจากกาลเวลาอันห่างไกล ราวกับว่ามีชายคนหนึ่งกำลังพูดอยู่ แต่กลับได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร
และไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะตั้งใจฟังแค่ไหนก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
ทว่าการปรากฏของเสียงนี้กลับทำให้บทจากโบราณกาลของป๋ายเสี่ยวฉุนลิงโลดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่การไหลหายของเวลารอบด้านก็ยังเกิดความแตกต่างจากเดิม ที่สำคัญที่สุดก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตเห็นว่าคลื่นของพลังแห่งการดึงดูดได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยท่ามกลางเสียงพึมพำที่ดังสะท้อน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม
ต่อให้จะได้ยินไม่ชัด แต่เขากลับมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าถ้อยคำที่อยู่ในประโยคนี้…คล้ายจะเป็นคำตอบที่เขาแสวงหาตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตาโต จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็ฉายแววเฉียบขาดและเด็ดเดี่ยว ครั้นจึงขยับร่างแล้วเลือกทะยานไปยังนาฬิกาทรายชิ้นหนึ่งที่มีขนาดสองร้อยจั้ง!
ความเร็วในการไหลเวียนของที่นี่ คือสองหมื่นเท่า!!
คลื่นแรงดึงดูดของที่นี่ยิ่งเด่นชัด เพียงแต่ว่าแม้เสียงพึมพำจะชัดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังฟังไม่ออกอยู่ดี เขาที่ดวงตาแดงก่ำจึงทำการเลือกอีกครั้งอย่างไม่ลังเล สามร้อยจั้ง สี่ร้อยจั้ง ห้าร้อยจั้ง…
ทว่าจนกระทั่งมาอยู่ตรงนาฬิกาทรายที่สูงแปดร้อยจั้ง เสียงนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม ไร้ความแตกต่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนคลุ้มคลั่งเต็มที่ จึงเลือกเอานาฬิกาทรายที่สูงพันจั้ง ซึ่งที่นี่…เวลาไหลเร็วกว่าเดิมถึงหนึ่งแสนเท่า!
แล้วก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อมาอยู่ข้างนาฬิกาทรายพันจั้งนี้ เสียงนั้นดังชัดเจนขึ้นอีกไม่น้อย แต่กระนั้นกลับยังไม่สามารถจับใจความสำคัญได้ ทว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางกาลเวลาที่ไหลเร็วกว่าเดิมถึงหนึ่งแสนเท่า ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับค่อยๆ ค้นพบว่าการปรากฏขึ้นของแรงดึงดูดเหมือนจะไม่ได้ตายตัว…การค้นพบนี้กระตุ้นให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มเพิ่มระดับการไหลหายของเวลาให้สูงมากขึ้นเรื่อยๆ!
นาฬิกาทรายสูงสองพันจั้ง สามพันจั้ง สี่พันจั้ง…
ยิ่งนานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเลือกอย่างบ้าระห่ำ ท่ามกลางการไล่ค้นหานี้ เขาแทบไม่ต่างจากคนเสียสติ นาฬิกาทรายที่เขาเลือกมีขนาดสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มสูงเกินหมื่นจั้ง และความเร็วในการไหลหายไปของเวลาในนาฬิกาทรายนี้ก็มากถึงล้านเท่ากว่า แต่ถึงกระนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่อาจได้ยินเนื้อความในเสียงนั้นอย่างชัดเจน
ทว่าทุกครั้งที่มีการเพิ่มขนาดให้สูงขึ้น เสียงที่ได้ยินจะชัดเจนขึ้นอีกไม่น้อย ราวกับว่าตรงกลางมีกำแพงชั้นหนึ่งที่มองไม่เห็นกางกั้น ต่อให้อีกฝ่ายที่อยู่หลังกำแพงจะตะโกนดังแค่ไหน เสียงก็ไม่สามารถแว่วเข้ามาได้มากนัก
เว้นเสียแต่ว่า…จะทลายกำแพงทิ้ง! หรือไม่ก็ปีนขึ้นไปบนนาฬิกาทรายที่สูงมากพอจนฝ่าทะลุกำแพงถึงจะได้ยิน!
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น เสียงนั้นดังก้องอยู่ข้างหูของเขาไม่หยุด การเลือกของเขาจึงยิ่งน่าตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ จากหมื่นจั้ง เปลี่ยนมาเป็นสามหมื่นจั้ง แล้วก็เพิ่มขึ้นเป็นหกหมื่นจั้ง สุดท้ายก็สูงถึงแปดหมื่นจั้ง!
นาฬิกาทรายที่มีความสูงระดับนี้ การไหลหายไปของเวลาจึงน่ากลัวถึงแปดล้านเท่า นี่หมายความว่าป๋ายเสี่ยวฉุนใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่ข้างนาฬิกาทรายนานสามเดือน แต่โลกภายนอกเพิ่งจะผ่านไปได้แค่ลมหายใจเดียวเท่านั้น
แต่เขาก็ไม่มัวมาวิเคราะห์อีกแล้วว่าเวลาของนาฬิกาที่ตัวเองเลือกมาเป็นเวลาของที่แห่งนี้หรือเวลาของโลกภายนอกกันแน่ ดังนั้นวิกฤตที่เขากำลังเผชิญอยู่จึงไต่ทะยานสูงขึ้นเป็นลำดับ
หากเดินเข้าไปอยู่ข้างนาฬิกาทรายที่กาลเวลาหมุนย้อนกลับ นั่นก็เท่ากับว่าเขาอยู่ที่นั่นแค่หนึ่งลมหายใจ เวลาของโลกภายนอกก็ผ่านไปแล้วถึงสามเดือน!
เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะที่หมกมุ่นต่อแรงดึงดูดเสียแล้ว ยังดีที่สติของเขายังเหลืออยู่เสี้ยวหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่านาฬิกาทรายชิ้นใดที่สูงเกินกว่าหนึ่งหมื่นจั้งขึ้นไป เขาก็จะไม่หยุดอยู่นาน หากพบว่ายังได้ยินไม่ชัดก็จะเลือกจากไปทันที
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ดี กระนั้นผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับก็มากมหาศาลตามไปด้วย แม้จะได้ยินเสียงพูดนั้นไม่ชัดเจน ทว่าท่ามกลางกาลเวลาที่ไหลหายไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ นี้ ความเข้าใจและการวิเคราะห์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อแรงดึงดูดกลับแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง!
“แรงดึงดูดเกิดขึ้นเพราะการบิดเบือนของความว่างเปล่า การบิดเบือนนี้…ไม่ได้เป็นกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่เป็นเพราะข้าขยับเข้าไปใกล้!!”
“มีเพียงตอนที่ข้าเข้าใกล้เท่านั้น เวลาของนาฬิกาทรายถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง หากข้าไม่ขยับเข้าไปใกล้ พวกมันก็จะหยุดนิ่ง!!”
“เพราะว่าการขยับเข้าไปใกล้ของข้า ถึงทำให้เกิดการบิดเบือน ดังนั้นจึงชักนำให้เกิดแรงดึงดูด เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความเร็วในการไหลหายของเวลา!!”
“และที่ความเร็วในการไหลหายไปของเวลามีความแตกต่างกัน ก็ไม่ได้เป็นเพราะข้า แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีร่างของใครของมัน ซึ่งอยู่ในห้วงมิติที่ต่างกัน อยู่ในห้วงจักรวาลที่ต่างกัน นั่นจึงเป็นเหตุให้มีแรงดึงดูดและความเร็วในการไหลหายของเวลาที่มากน้อยไม่เท่ากัน!”
ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนติดขัด ทว่าความคิดกับแล่นเร็วจี๋ คำตอบเหล่านี้คือคำตอบที่เขาค่อยๆ คลำเจอท่ามกลางการทดลองครั้งแล้วครั้ง เวลานี้เขายืนอยู่บนนาฬิกาทรายที่สูงแปดหมื่นจั้ง ทอดสายตามองไป โลกทั้งใบ…มีนาฬิกาทรายเพียงชิ้นเดียวที่สูงใหญ่กว่าชิ้นที่เขายืนเหยียบอยู่นี้
นั่นคือพื้นที่ใจกลางของโลกที่อยู่ห่างไปไกล ตรงนั้นมีนาฬิกาทรายขนาดมหึมาสูงหลายแสนจั้ง…ตั้งตระหง่านอย่างองอาจ!!
ความเร็วในการไหลหายไปของเวลาในนั้นมีมากน้อยเท่าไหร่ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจวิเคราะห์ได้อีกแล้ว แต่เขาเข้าใจดี หากจะบอกว่าโลกใบนี้มีสถานที่หนึ่งที่ทำให้ได้ยินเสียงพึมพำนั้นจริงๆ ถ้าเช่นนั้นนอกจากนาฬิกาทรายที่สูงที่สุดชิ้นนี้ ก็ไม่มีที่อื่นอีกแล้ว!
แทนที่จะเปลี่ยนนาฬิกาทรายไปเรื่อยๆ ก็ไม่สู้ตรงดิ่งไปที่นั่นเลยจะดีกว่า แม้ทำเช่นนี้อาจดูเสี่ยงอันตราย แต่หากว่ากันในบางระดับแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเลี่ยงความเสี่ยงได้เหมือนกัน
ท่ามกลางความเงียบสงบรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตาแดงก่ำทะยานร่างออกไปเสียงดังอึกทึก ความเร็วของเขาที่เผ่นโผนเข้าหานาฬิกาทรายอันน่าครั่นคร้ามชิ้นนั้นเป็นดั่งดาวตกดวงหนึ่งที่แล่นฉิวผ่านท้องฟ้าไป ไม่นานนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาหยุดอยู่ข้างนาฬิกาทรายที่ใหญ่ที่สุด เพิ่งจะเข้ามาใกล้ ความเร็วในการไหลหายของเวลา ณ ที่แห่งนี้ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้านไปทั้งตัวทันที
ซ้ำร่างกายของเขาในเวลานี้ยังรู้สึกได้ถึงแรงกระชากดึงซึ่งเกิดจากความเร็วในการไหลของเวลาที่ยากจะหาคำมาบรรยายได้ หากไม่เป็นเพราะตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่ง ทั้งยังมีเนื้อหนังมังสาที่น่าตะลึง และการฟื้นตัวของบทมิวางวายก็ระเบิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เกรงว่าร่างของเขาคงถูกฉีกทึ้งจนแหลกลาญเพียงเสี้ยววินาทีไปแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฝืนอดทนต่อความรู้สึกไม่สบายตัวแผดเสียงคำรามแล้วทะยานไปอยู่บนยอดสูงสุดของนาฬิกาทรายใหญ่ยักษ์ เมื่อมาถึง เขาก็กลั้นหายใจจนเส้นเอ็นปูดขึ้นบนหน้าผาก รีบนั่งลงขัดสมาธิอย่างไม่กล้าโอ้เอ้ ครั้นจึงหลับตาลงแล้วแผ่อำนาจจิตออกไปเริ่มทำความเข้าใจ!
ชั่วขณะที่อำนาจจิตของเขาซัดออกไปนั้นเอง เสียงพึมพำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าการปรากฎในครั้งนี้แตกต่างไปจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ฟังคลุมเครืออีกต่อไป แม้ว่าจะไม่ได้ชัดเจนมากเป็นพิเศษ แต่ก็เหมือนมีคนมากระซิบเบาๆ อยู่ข้างหูของเขา ทำให้เขาได้ยินหมดทุกถ้อยคำ!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลามามัวดีใจ เมื่อสมาธิของเขาถูกเสียงนี้ดึงดูดไปหมด ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเทิ้ม ในสมองมีคลื่นลูกยักษ์โถมตัว!!
เจ้าของเสียงเป็นผู้ชายอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ น้ำเสียงของคนผู้นี้ที่ดังก้องอยู่ข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุนฟังแล้วอ่อนโยนยิ่ง ประหนึ่งน้ำเสียงที่อาจารย์พร่ำสอนศิษย์
“นี่ฝาน เต้าเฉิน พวกเจ้าสองคนจงฟังให้ดี…”
“อะไรคือต้นกำเนิด?”
“หากพูดถึงต้นกำเนิด ก็ต้องพูดถึงกฎเกณฑ์เสียก่อน กฎเกณฑ์ก็คือกรอบที่มองไม่เห็น วิชาอภินิหารและเวทอาคมทั้งหมดในจักรวาลแห่งนี้ แท้จริงแล้วแก่นแท้ของพวกมันก็คือการแสดงออกโดยใช้วิธีการและรูปแบบที่ไม่เหมือนกันโดยอิงตามกรอบที่ว่านี้”
“ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่สร้างกรอบแห่งกฎเกณฑ์ขึ้นมา ก็คือต้นกำเนิด ต้นกำเนิดนี้ไร้รูปลักษณ์ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่ก็เป็นเพราะมันที่สร้างกรอบแล้วกรอบเล่าขึ้นมาอย่างลับๆ จึงเกิดเป็นเวทคาถา วิชาอภินิหารนับไม่ถ้วน…”
“แท้จริงแล้วต้นกำเนิดก็คือรากฐานของหมื่นสรรพสิ่ง!”
“ถ้าเช่นนั้น ต้นกำเนิดของเวลาล่ะ…”
“พูดง่ายๆ ก็คือ เวลาเกี่ยวข้องกับแรงดึงดูด ยิ่งแรงดึงดูดมากเท่าไหร่ การไหลหายของกาลเวลาก็จะยิ่งช้าเท่านั้น ส่วนต้นกำเนิด…จะสะท้อนให้เห็นบนตัวของเวลา ไม่ใช่แรงดึงดูด แต่เป็น…สัมพัทธ์กัน!”
“สัมพัทธ์ ต้นกำเนิดของเวลา การสัมพัทธ์ถึงจะเป็นแกนกลางสำคัญ เมื่อรู้จักสองคำนี้ และเข้าใจสองคำนี้ ถึงจะถือว่าเข้าใจ…ต้นกำเนิดแห่งเวลาอย่างกระจ่างแจ้ง!”
“จำเอาไว้ ทุกอย่าง…ล้วนต้องสัมพัทธ์กัน!”
“นี่ฝาน เต้าเฉิน พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง?”
เมื่อเสียงนี้ดังก้อง คลื่นลูกใหญ่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งถาโถมไม่หยุด เขาไม่รู้ว่าคนสองคนที่ชื่อนี่ฝานและเต้าเฉินฟังเข้าใจหรือไม่ ทว่าท่ามกลางคลื่นยักษ์ที่ซัดตลบอยู่ในสมองของเขายามนี้กลับมีความกระจ่างอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนผุดขึ้นมา!
ประหนึ่งถูกกรอกเทสติปัญญาจนกระจ่างแจ้ง คำตอบทั้งหมดที่ก่อนหน้านี้พยายามคลำหา บัดนี้ได้เผยตัวอย่างชัดเจนแล้ว!
“สัมพัทธ์ ใช่แล้ว ก็คือความสัมพัทธ์…หากไม่มีการเปรียบเทียบกับเวลาของโลกภายนอก ความเร็วในการไหลของเวลาในที่แห่งนี้จะมีความหมายอะไร!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะร่า สมองปลอดโปร่งกระจ่างแจ้ง แม้ว่าเมื่อคิดอย่างละเอียดแล้วจะยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง แต่เขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเสียงนี้ถึงปรากฏขึ้นมา!
เห็นได้ชัดว่านี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่บุคคลผู้สูงส่งไร้ทัดเทียมในยุคสมัยใดสมัยหนึ่งได้ถ่ายทอดสู่ลูกศิษย์ของตัวเอง และที่เสียงของเขาดังขึ้นมาได้ ก็เพราะเต๋าของเขาคือต้นกำเนิดแห่งเวลา ซ้ำยังได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ในห้วงจักรวาลแห่งนี้แล้ว!
ดังนั้นเมื่ออาศัยพลังความเร็วในการไหลรินของต้นกำเนิดเวลา ณ ที่แห่งนี้ จึงทำให้เสียงของเขาสามารถดังก้องอยู่ได้ตลอดกาล!