บทที่ 1239 ปีนั้นในอดีต
แรงเขย่านี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนถูกปลุกจากอาการหลับลึก และเมื่อเขาลืมตาขึ้น จิตวิญญาณของเขาก็คล้ายสูญเสียความทรงจำเดิมทั้งหมดที่ควรมีอยู่ไป ทั้งยังลืมด้วยว่าตัวเองเป็นใคร ความรู้สึกเดียวในเวลานี้มีเพียงความหนาวเย็นเท่านั้น…
ท้องฟ้าเป็นสีเทาหม่นมัว เกล็ดหิมะสีขาวประดุจขนห่านที่ลอยพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า ไม่เพียงแต่บดบังโลกเบื้องหน้า ยังทำให้มันเปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือน ทั้งยังห่มคลุมไปทั่วพื้นดิน แม้แต่ยอดเขาที่อยู่ห่างไปไกลก็ยังกลายมาเป็นสีขาวโพลน
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผืนป่าแห้งโกร๋นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในเวลานี้เลย เมื่อถูกหิมะทับถมหนาชั้น ต้นไม้หลายต้นของที่นี่ก็ถูกกดทับจนหักโค่น ส่วนบางต้นที่ยังหยัดยืนตระหง่านอยู่ได้ก็เหมือนกลายมาเป็นจุดดำด่างที่มีอยู่ไม่มากในโลกสีขาวใบนี้
“เสี่ยวเฉิน เจ้าอย่าหลับเด็ดขาดเลยนะ รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า…”
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่อนลอย เขารู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งฝันไป ความฝันที่เห็นๆ อยู่ว่ายังจำทุกอย่างในฝันได้อย่างแม่นยำ แต่พอตื่นขึ้นมาแล้วกลับจำอะไรไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออก ราวกับว่าอากาศที่หนาวทรมานนี้ไม่เพียงแต่เกาะกุมจนร่างกายของเขาแข็งทื่อเท่านั้น แม้แต่ความทรงจำของเขาก็คล้ายจะถูกปิดผนึกตามไปด้วย
หลงเหลืออยู่เพียง… ใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดขาวด้วยความหนาวเย็นซึ่งกำลังมองมายังตนด้วยสายตาร้อนรน พลางเขย่าร่างของตนไม่หยุด
นั่นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง มองดูแล้วน่าจะอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี เขาผอมมาก อีกทั้งดูเหมือนว่าบนร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผล เพราะบนเสื้อผ้ามีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่หลายจุด แม้ร่างกายของเขาจะผ่ายผอมอ่อนแอ ทว่าดวงตาของเขากลับมีพลังมากพอ ที่จะทำให้ใครก็ตามที่เพียงสบตาเขาครั้งแรกก็ยากจะลืมได้ลง
นั่นคือดวงตาที่เป็นดั่งดวงดาราคู่หนึ่ง จุดลึกในดวงตานั้นแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดและความเหี้ยมเกรียมที่ไม่เหมาะกับวัย มีเพียงยามที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น ความดุร้ายแข็งกระด้างในดวงตาของเด็กหนุ่มคนนี้ ถึงจะแทนที่มาด้วยความอบอุ่นและความรักเอ็นดู
“พี่…” ริมฝีปากของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยอเบาๆ เปล่งเสียงรวยริน เจ้าของใบหน้าเล็กๆ นี้คือคนเดียวที่อยู่ในความทรงจำของเขาเวลานี้ เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า อีกฝ่าย… คือพี่ชายของเขา พี่ชายแท้ๆ ที่มีพ่อแม่คนเดียวกัน!
เอ่ยคำนี้จบ ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าก็ไหลบ่าท่วมท้นไปทั้งร่างอีกครั้ง ราวกับว่าลมหนาวที่พัดโชยอยู่รอบกายทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจทานทนได้ไหว และเมื่ออยู่ในป่าร้างที่ลมหนาวหวีดหวิวก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความเหงาเปล่าเปลี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งๆ ที่เป็นฤดูหนาว ทั้งๆ ที่เกล็ดหิมะโปรยปราย ทว่าบนท้องฟ้านอกจากเกล็ดหิมะแล้ว กลับยังมีแมลงจำนวนมากบินว่อน และเมื่อมองอย่างละเอียดจึงเห็นได้ว่าแมลงเหล่านั้นคือตั๊กแตนสีขาว!
พวกมันบินว่อนอยู่ท่ามกลางหิมะและสายลม ราวกับว่าเป็นเพราะการดำรงอยู่ของพวกมันถึงได้ทำให้แผ่นดินผืนนี้ตกอยู่ท่ามกลางความอดอยากแร้นแค้นตลอดทั้งปี ห่างออกไปไกล พอจะมองเห็นร่างของผู้ลี้ภัยบางส่วน ที่เรือนกายผอมแห้งราวท่อนฟืน ดวงตาไร้แววนอนขดตัวอยู่ไม่ต่างจากคนตายที่ยังมีลมหายใจ…
ทว่าต่อให้พวกเขาจะหนาวกันถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีใครคิดจะจุดไฟ บางทีอาจไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยาก แต่เป็นเพราะไม่กล้า แววตาเย็นชาที่แผ่ออกมาจากพวกตั๊กแตนที่บินอยู่ท่ามกลางหิมะปลิวปราย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นเพียงแค่ได้มอง ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเข้าใจถึงความพิเศษของตั๊กแตนเหล่านี้แล้ว ต่อให้อากาศจะหนาวเย็นแค่ไหนก็ไม่สามารถคร่าชีวิตพวกมันได้
และหากก่อไฟขึ้นเมื่อไหร่ก็เกรงว่าคงดึงดูดตั๊กแตนพวกนี้มาได้ทันที ท่ามกลางเหมันต์ฤดูที่ไม่มีอาหารอื่นใดนี้ บางที… พวกเขาอาจกลายมาเป็นอาหารของพวกมันก็ได้
ความคิดเหล่านี้ลอยขึ้นมาในสมองป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็ดูเหมือนว่าจู่ๆ เขาจะนึกเรื่องราวมากมายขึ้นมาได้ ทว่าร่างของเขากลับยิ่งอ่อนกำลังลง เขายกมือขึ้นมาอย่างยากลำบาก มองมือของตัวเองที่เหมือนกับมือของเด็กเจ็ดแปดขวบ และไม่นานดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไร้เรี่ยวแรงให้ลืมขึ้นอีกต่อไป…
เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นก็คล้ายจะโล่งใจ ทว่าพอสังเกตเห็นความอ่อนแรงและเปลือกตาที่เหมือนจะลืมไม่ขึ้นอีกของป๋ายเสี่ยวฉุน เด็กหนุ่มคนนี้ก็ร้อนใจขึ้นมาทันควัน เขาเขย่าตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอีกหลายที เมื่อเห็นว่าน้องชายของตนใกล้จะทนไม่ไหว เด็กหนุ่มก็ให้ปวดร้าวหัวใจนัก ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นด้วยความกระวนกระวาย เขารู้ดีว่าน้องชายตัวเองหิว สิ่งเดียวที่จะทำให้น้องชายของตนมีแรงประคองชีวิตต่อไปได้ก็คืออาหาร
“เสี่ยวเฉิน เจ้าอดทนอีกหน่อยนะ พี่จะไปหาอาหารมาให้เจ้า เจ้ารอข้านะ ข้าไปแป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว!”
เด็กชายอายุสิบสามสิบสี่ปีผู้นั้นดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาฉายความเด็ดเดี่ยว เมื่อหมุนตัวหันหลังให้น้องชาย สีหน้าของเขาก็เผยความเหี้ยมดุดัน ครั้นแล้วจึงพุ่งทะยานไปยังป่าที่ห่างไปไกลประหนึ่งหมาป่าเดียวดายตัวหนึ่ง
เมื่อเห็นวิกฤตอันตรายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเผชิญอยู่ เรือนกายที่ผอมแห้งของเขาก็เหมือนจะระเบิดความทรหดออกมาอย่างน่าตะลึง ท่ามกลางอากาศหนาวทารุณ เขาถึงกับไม่สนใจอาการบาดเจ็บและความอ่อนแอของตัวเอง เพียงวิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหายไปจากสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน
“พี่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ ทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา เขารู้ดีว่าพี่ชายจะไปหาอาหารมาให้ตน บัดนี้ความทรงจำในอดีตได้ลอยขึ้นมาในสมอง เขาจำได้อย่างเลือนรางว่านับตั้งแต่ที่ตั๊กแตนสีขาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ชาวบ้านก็ต้องอดอยากติดต่อกันนานหลายปี ทั้งยังมีโรคระบาดแพร่ไปทั่ว คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ล้วนตายไปเพราะความหิว ตายไปเพราะอาการเจ็บป่วย ซึ่งรวมถึงพ่อแม่ของพวกเขาด้วย
หากไม่เป็นเพราะความยืนหยัดของพี่ชาย ที่พาเขาซึ่งร่างกายอ่อนแอขี้โรคหนีออกมาจากหมู่บ้านแห่งนั้น เกรงว่าเขาเองก็คงต้องตายไปแล้ว เป็นพี่ชายที่คอยดูแลเขามาตลอดทาง ทั้งยังต้องคอยแย่งชิงอาหารกับพวกผู้ใหญ่ จากแรกเริ่มที่เป็นฝ่ายถูกตี กระทั่งท้ายที่สุดเมื่อแววอำมหิตปรากฏขึ้นในดวงตาของพี่ชาย หลังจากที่ใช้ความดุร้ายแย่งชิงมาได้ในแต่ละครั้ง แม้แต่พวกผู้ใหญ่ก็ยังหวาดกลัวพี่ชายของเขา
และทุกครั้งที่ได้อาหารมา พี่ชายจะต้องแบ่งอาหารส่วนใหญ่ให้แก่เขา ต่อให้พี่ชายของเขาจะหิวโหยจนต้องลอบกลืนน้ำลาย แต่ก็ยังทำท่าว่าไม่หิว ประโยคติดปากที่เขามักจะพูดเป็นประจำ ก็คือ…
“ก็ข้าเป็นพี่ชายเจ้านี่นา”
เพราะแบบนี้ เขาถึงมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้
อันที่จริงในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนตอนนี้ทำให้เขารู้ว่าตัวเองชื่อโจวเฉิน ส่วนพี่ชายชื่อโจวฝาน หากไม่มีตัวภาระอย่างตน ด้วยความโหดเหี้ยมของพี่ชาย ย่อมต้องมีชีวิตอยู่ในโลกที่วุ่นวายใบนี้ได้ดีกว่าตอนนี้แน่นอน…
แต่ต่อให้มีพี่ชายคอยดูแล เขาที่อ่อนแอขี้โรค หนีมาได้จนถึงที่นี่ก็คล้ายจะทนไม่ไหวอีกแล้ว
“หากไม่มีข้า ท่านพี่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ดีกว่านี้แน่นอน…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ สุดท้ายก็หลับตาลง เมื่อเกล็ดหิมะพร่างพรมลงมา ไฟแห่งชีวิตของเขาค่อยๆ หม่นแสง และวินาทีที่กำลังจะมอดดับไปนั้นเอง ทันใดนั้นหิมะที่พัดปลิวอยู่บนท้องฟ้าก็หยุดชะงัก จากนั้นจึงถูกพลังมหาศาลขุมหนึ่งพัดกวาดออกไปหมด แม้แต่พวกตั๊กแตนสีขาวที่ปะปนอยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะก็ยังหนีหลบกันให้จ้าละหวั่น ก่อนที่บนท้องฟ้าจะมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ยากจะเห็นว่าโฉมหน้าของเขาเป็นเช่นไรค่อยๆ เดินออกมา
วินาทีที่มองเห็นผู้เฒ่าคนนี้ ผู้ลี้ภัยทุกคนที่อยู่บนพื้นล้วนพากันคุกเข่ากราบกรานตัวสั่น คิดจะร้องวิงวอน ทว่าวินาทีที่พวกเขาอ้าปากออก ในปากของพวกเขากลับมีตั๊กแตนจำนวนมากไต่คลานออกมายั้วเยี้ย
ราวกับว่าแม้แต่เรี่ยวแรงให้ร้องคร่ำครวญก็ยังสูญสิ้น เหล่าผู้ลี้ภัยจึงได้แต่รอความตายด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
ผู้เฒ่าคนนี้สวมชุดเต๋า เขาเดินออกมาจากท้องฟ้าเงียบๆ เมื่อเห็นเหล่าผู้ลี้ภัยบนพื้นที่ถูกตั๊กแตนเกาะกินฝังร่างอยู่นานแล้ว ดวงตาของเขาก็มีทั้งความสงสารเคล้าไปด้วยความจนใจ ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วจึงยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ทันใดนั้นเหล่าผู้ลี้ภัยที่ดิ้นรนด้วยความทรมานก็หลับตาลงช้าๆ คล้ายหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ อารมณ์ของผู้เฒ่ายิ่งห่อเหี่ยวมากกว่าเดิม ขณะที่เตรียมจะจากไป สายตาของเขากวาดมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าเสียก่อน เขาพลันร้องเอ๊ะเบาๆ ชะงักฝีเท้า หลังจากเพ่งมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเขาก็ฉายความเหลือเชื่อออกมา
“ร่างแห่งเต๋า?” ลมหายใจของผู้เฒ่าหอบกระชั้นเล็กน้อย รีบพลิ้วกายมาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนทันที เมื่อยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง แสงอ่อนโยนขุมหนึ่งก็พุ่งผสานเข้าสู่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ไฟแห่งชีวิตของเขาที่กำลังจะมอดดับหยุดชะงักคงที่
และเมื่อผู้เฒ่าคนนี้เพ่งพินิจป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างละเอียด ประกายของความตะลึงระคนยินดีในสายตาของเขาก็ยิ่งเด่นชัด สุดท้ายเขาถึงกับแหงนหน้าหัวเราะร่า ครั้นแล้วจึงอุ้มป๋ายเสี่ยวฉุนที่หมดสติทะยานสูงสู่ฟ้าไกล
จนกระทั่งผู้เฒ่าจากไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูป ในผืนป่าที่ห่างไปไกล เงาร่างผอมบางของโจวฝานก็เดินโซซัดโซเซกลับมา บนพื้นหิมะด้านหลังเขา นอกจากรอยเท้าแล้ว ยังมีเลือดสดหยดเปื้อนเปรอะเป็นดวง มองดูแล้วน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
เท้าของเขาได้รับบาดเจ็บ บนใบหน้าของเขาเวลานี้มีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกหลายรอย และหน้าท้องก็มีเลือดสดไหลปริ่ม สภาพกระเซอะกระเซิงชวนเวทนาอย่างมาก ทว่าดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ในอ้อมอกของเขาประคองหมั่นโถวมาชิ้นหนึ่ง หมั่นโถวที่เปื้อนคราบเลือดชิ้นนี้ เขาต้องแลกด้วยชีวิตถึงแย่งชิงมาจากมือของคนอื่นได้
“เสี่ยวเฉิน ข้าหาของกินเจอแล้ว…”
เด็กหนุ่มสาวเท้าเดินเข้ามาเร็วๆ ทว่าเพิ่งพูดขาดคำ หน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนสี เพราะเห็นศพนอนเกลื่อนพื้น นั่นทำให้ลมหายใจของเขาชะงักค้าง ดวงตาฉายแววร้อนรน รีบวิ่งกระโจนไปยังจุดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนอนอยู่ก่อนหน้านี้ เขาไม่เห็นอะไรอยู่ตรงนั้นสักอย่าง สิ่งที่เห็นมีเพียงซากศพที่ถูกตั๊กแตนกัดแทะไปเกินครึ่ง เขาพลันรู้สึกเหมือนถูกบีบเค้นหัวใจอย่างแรง
“เสี่ยวเฉิน!”
“เสี่ยวเฉิน!!”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มรวดร้าว การสูญเสียญาติคนเดียวที่เหลืออยู่เหมือนว่าเขาได้สูญสิ้นทุกอย่าง ร่างที่สั่นสะท้านของเขาวิ่งหาน้องชายอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายได้แต่กลับมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงจุดที่น้องชายหายไป มองหมั่นโถวเลือดในมือ น้ำตาของเขาหลั่งริน
“เสี่ยวเฉิน…” เขาที่อยู่ในสภาวะเศร้าเสียใจอย่างถึงที่สุดไม่ทันสังเกตเห็นว่า กลิ่นเลือดของเขาได้ชักนำตั๊กแตนสีขาวฝูงหนึ่งให้บินฮือจากท้องฟ้า กระโจนลงมากลบทับร่างของเขาไว้ในชั่วพริบตา