บทที่ 1243 เลื่อนสู่บุพกาล
เทียนจุนเลื่อนสู่บุพกาล แท้จริงแล้วก็คือการยกระดับเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าที่อยู่ในร่างของตน เพื่อให้มันแตกกิ่งก้านสาขาไปทั่วทุกปลายประสาทในร่างกาย และสุดท้ายผลิบานออกมาเป็นดอกไม้แห่งความคิด!
เมื่อถึงเวลานี้เมล็ดพันธ์แห่งเต๋าจะหายไป ในร่างของผู้ที่เลื่อนขั้นเป็นบุพกาลจะถูกเติมเต็มไปด้วยความคิดจำนวนนับไม่ถ้วน และทุกความคิดก็ล้วนสามารถกลายมาเป็นเวทอภินิหาร แม้จะไม่ถึงขั้นอยู่ยงคงกระพัน ยิ่งไม่ถึงขั้นเป็นอมตะไม่มีวันตาย แต่หากว่ากันในบางระดับแล้วก็ถือว่าเป็นการอยู่เหนือปวงชนเสมือนการหลุดพ้นอย่างหนึ่ง คล้ายกลายมาเป็นเทพเจ้า
ยกตัวอย่างเช่นสายตาเดียวของจักรพรรดิแสก็ทำให้เทียนจุนทั่วไปตัวสั่น จักรพรรดิเซิ่งแค่แผ่พลานุภาพสยบก็สามารถทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี หากไม่เป็นเพราะเรือนกายของป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่งจนน่าตะลึง บวกกับตบะที่สูงส่งจนสามารถระเบิดพลังการต่อสู้เหนือกว่าเทียนจุนทุกคนได้ ซ้ำตอนนั้นยังมีแสงแห่งบุพกาลเป็นตัวช่วยสยบขวัญ หาไม่แล้วเขาก็คงไม่มีทางทำให้บุพกาลกริ่งเกรงได้เลย
และที่บุพกาลสามารถชุบชีวิตเทียนจุนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองได้นั้นก็มีความเกี่ยวข้องกับความคิดแห่งเต๋าเช่นกัน นั่นคือการผสานความคิดแห่งเต๋าเสี้ยวหนึ่งที่เป็นของตนลงไปบนเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าของเทียนจุนที่เป็นลูกน้อง เหมือนการนาบประทับตราที่ไม่อาจลบเลือนลงไป ต่อให้เทียนจุนตายไปแล้ว ในบางระดับนั้นผู้แข็งแกร่งบุพกาลก็ยังสามารถอาศัยความคิดแห่งเต๋า อาศัยพลังของเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าของตัวเองที่มีแต่เดิมอยู่แล้ว ซึ่งพลังนี้จะไม่อยู่ในการควบคุมของเทียนจุนมาสร้างร่างกายและวิญญาณขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง!
นี่ก็คือเวทอันเป็นพรสวรรค์ของบุพกาล ซึ่งก็คือรากฐานในการก่อตั้งราชวงศ์หนึ่งขึ้นมา!
เมล็ดพันธ์ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เวลานี้นั่งขัดสมาธิได้แผ่แสงเจิดจ้าพร่างพราว และเมื่อแสงนั้นส่องสว่าง กิ่งก้านสาขาที่ก่อนหน้านี้แผ่ปกคลุมไปทั่วทุกมุมในร่างกายของเขามานานหลายปี แต่กลับไม่สามารถก่อตัวขึ้นเป็นดอกไม้ความคิดแห่งเต๋าได้ บัดนี้เมื่อโชคชะตาเสี้ยวสุดท้ายผสานรวมเข้าไปก็ระเบิดแตกปะทุทันทีเหมือนกับน้ำที่หยดลงบนกระทะน้ำมันร้อนๆ!
และในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งมีเสียงกึกก้องดังไม่หยุด ขณะเดียวกันทุกเส้นชีพจรที่กิ่งก้านสาขาของเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าแผ่ลามไปถึงก็เหมือนถูกจุดไฟ ถึงได้ค่อยๆ พากันส่องแสงสว่างขึ้นมา
มาถึงท้ายที่สุดเมื่อมองไป ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นเหมือนจะมีตาข่ายเส้นชีพจรชั้นหนึ่งเปล่งวูบขึ้นปกคลุม และปราณแห่งการฝ่าทะลุขอบเขตก็ไต่ทะยานขึ้นจากร่างเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
แม้แต่ซากปรักหักพังของโลกแห่งเซียนที่อยู่รอบด้านก็ยังสั่นสะเทือน ฝุ่นผงจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีลอยนิ่งไม่ขยับเขยื้อน บัดนี้เมื่อเจอกับแรงสั่นสะเทือนกลับขยับเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน และเพียงไม่นานซากปรักหักพังและฝุ่นผงเหลือคณานับจากสี่ด้านแปดทิศก็ถูกดึงดูดให้เข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุน
หลังจากที่ฝุ่นธุลีเหล่านั้นขยับเข้ามาใกล้คล้ายถูกชักดึง พวกมันก็พากันล้อมวงอยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วหมุนอย่างเชื่องช้า ตามหลังการหมุนวนของพวกมันคือสัญญาณการฝ่าทะลุบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยิ่งดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ห้วงจักรวาลสะเทือนเลือนลั่น เสียงอึงคะนึงลั่นไปแปดทิศ ฝุ่นผงและซากปรักหักพังจากสี่ทิศมารวมกันเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อกลายมาเป็นน้ำวนที่ใหญ่ขึ้นทุกขณะ
มาถึงท้ายที่สุด เมื่อมองไกลๆ น้ำวนลูกนี้ก็กินอาณาบริเวณมากพอหนึ่งแสนจั้ง พลังอำนาจของมันกว้างใหญ่ไพศาล สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ขณะที่หมุนวนก็ส่งเสียงดังกัมปนาทที่ก้องสะเทือนไปทั้งห้วงจักรวาล
และใจกลางของน้ำวนลูกนี้ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่บนพัดวิเศษ บัดนี้ทั่วร่างของเขาเปล่งประกายรัศมีเจิดจ้าหมื่นจั้ง วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างๆ รู้ดีว่านี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงไม่กล้าเพิกเฉย รีบช่วยแผ่อำนาจจิตออกไปเป็นผู้พิทักษ์ให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน
เมื่อเวลาล่วงผ่าน แสงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเจิดจรัส ส่วนพายุที่โอบล้อมอยู่รอบกายก็ยิ่งซัดขยายออกไปอย่างต่อเนื่องจนเกินขนาดแสนจั้ง จนกระทั่งถึงหนึ่งล้านและมากยิ่งกว่านั้น…
เมื่อทอดสายตามองไป พายุหมุนลูกนั้นยังคงขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามีพลังงานขุมหนึ่งที่สามารถเขย่าคลอนห้วงจักรวาลกำลังก่อตัวขึ้นมาและใกล้จะระเบิดเต็มที เพียงแต่ว่ายังต้องใช้เวลาอีกนานมาก เทียนจุนเลื่อนสู่บุพกาลใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนก็เร็ว บางคนก็ช้า นี่เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของตัวบุคคล แล้วก็เกี่ยวข้องกับระดับของการได้รับการยอมรับจากโลกด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ ตัวเขาเองได้อยู่เหนือขอบเขตของเทียนจุนมามากแล้ว แล้วก็ได้รับการยอมรับจากโลกแห่งเซียนมากพอ เพราะได้โชคชะตาเสี้ยวนั้นมาครอง ดังนั้นเวลาที่ว่านี้จึงไม่ถือว่าช้าเกินไป แต่ก็ไม่เร็วมากนัก
อันที่จริงขอบเขตเทียนจุนของเขาก็ถือว่าฝืนชะตาฟ้าลิขิตมากพอแล้ว และการที่พายุน้ำวนนี้ยังขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง แท้จริงแล้วนี่ก็เป็นการแสดงออกด้านพลังการต่อสู้ของตบะในร่างเขาอย่างหนึ่งด้วย!
เสียงตูมตามดังกึกก้องไม่ขาดหาย ไม่นานขณะที่พายุล้านจั้งนั้นยังคงแผ่ขยายอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงสามล้านจั้ง มันก็ยังไม่หยุดชะงัก แต่ขยับไปถึงห้าล้านจั้ง และในเวลานี้ พายุของทั้งโลกแห่งเซียนก็น่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความเร็วในการแผ่ขยายของมันที่เหี้ยมหาญรุนแรงอย่างถึงที่สุด
จนกระทั่งถึงท้ายที่สุดเมื่อพายุขยายขนาดถึงเกือบสิบล้านจั้ง มันถึงได้หยุดลง คงสภาวะสมดุลเอาไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ ไม่มีใครให้มาเปรียบเทียบ ดังนั้นจึงมองไม่ออกถึงความน่าตะลึงของป๋ายเสี่ยวฉุน
หากเปลี่ยนมาเป็นเทียนจุนคนอื่นของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล เกรงว่าอย่างมากสุดการสร้างพายุหมุนหลายแสนจั้งหรือถึงหนึ่งล้านจั้งก็คงเป็นขีดสูงสุดแล้ว
และในความเป็นจริง ในประวัติการณ์ของโลกแห่งเซียน คนที่สามารถสร้างพายุแบบนี้ได้ ไม่พูดว่าไม่มี แต่ก็มีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน ต่อให้เป็นเต้าเฉินเซียนจุนเอง ในปีนั้นเขาก็ยังทำได้แค่เจ็ดล้านจั้งเท่านั้น คนเดียวที่พอจะเป็นคู่แข่งของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ก็มีเพียงผู้ที่ฝืนชะตาฟ้าลิขิตอย่าง…นี่ฝานหมอจุนเท่านั้น!!
เวลาล่วงเลยผ่านไป พายุหมุนลูกนี้ดำรงอยู่ได้ประมาณสามปี
เวลาสามปีมานี้ซากปรักหักพังตลอดทั้งโลกแห่งเซียนสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ต่อให้อยู่ห่างไปไกลมากก็ยังได้รับผลกระทบอยู่รำไร จนกระทั่งวันนี้หลังจากผ่านมาได้สามปี ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งเข้าฌานอยู่บนพัดวิเศษใจกลางพายุหมุน ร่างทั้งร่างของเขาถูกปิดทับจนมองไม่เห็น สิ่งที่เห็นมีเพียงแสงกลุ่มหนึ่งที่ราวกับจะส่องสว่างให้แก่ทั้งห้วงจักรวาล!
ในแสงนี้แฝงเร้นไว้ด้วยปราณของการฝ่าทะลุ ท่ามกลางการสั่งสมติดต่อกันนานถึงสามปี ตอนนี้ก็ได้มาถึงช่วงขีดสุดแล้ว และสิ่งที่ตามมาก็คือเสียงกัมปนาทที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งโลกแห่งเซียน ท่ามกลางเสียงกัมปนาทและแสงสว่างนี้คล้ายจะมีเสียงลมหายใจดังแว่วมา และยิ่งมีเสียงพึมพำเบาๆ ที่เปี่ยมล้นไปด้วยบารมีและยิ่งมากด้วยพลานุภาพสยบดังกึกก้องไปทั่วทั้งซากปรักหักพังของโลกแห่งเซียน!
“บุพกาล!”
เสียงนี้เอ่ยออกมาแค่สองพยางค์ ทว่าวินาทีที่เสียงนี้ดังออกมา พายุสิบล้านจั้งที่ล้อมวนอยู่รอบด้านกลับระเบิดปะทุอีกครั้ง เสียงอึงคะนึงมาพร้อมกับแรงโจมตีที่ซัดทอดเป็นระลอก ผ่านที่ใด ฝุ่นผงและซากปรักหักพังจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนถูกหอบให้หมุนคว้างขึ้นสูง มาถึงท้ายที่สุด ลมพายุลูกนี้ก็ปกคลุมไปทั่วทุกมุมในโลกแห่งเซียนที่กว้างใหญ่ไพศาลจน…สัมผัสไม่ได้ถึงขอบเขตแห่งนี้!
ก่อเกิดเป็นภาพของ…พายุสะท้านฟ้าอันเป็นปรากฎการณ์อัศจรรย์ชวนพิศวงในห้วงจักรวาล!
พายุหมุนคว้างสั่นสะเทือนทั้งห้วงเอกภพ ขณะเดียวกันน้ำวนที่กลืนกินทุกพื้นที่ของโลกแห่งเซียนซึ่งพอแผ่ขยายไปถึงขีดสุดก็ได้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็น…ดอกไม้ดอกหนึ่งที่คล้ายผลิบานอยู่บนซากปรักหักพัง เบ่งบานอยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาลอันมืดมิด!!
แม้ว่าดอกไม้ดอกนี้จะเป็นภาพมายาพร่าเลือน ทว่าการปรากฎตัวของมันกลับทำให้ฝุ่นผงทั้งหมดของโลกแห่งเซียนสั่นไหว ทำให้เศษชิ้นส่วนจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกแห่งเซียนสั่นสะเทือน และพายุที่ปกคลุมโลกแห่งเซียนลูกนี้ก็พลันหดสวบเข้าหากัน และยิ่งมันหดเล็กลงเท่าไหร่ ดอกไม้ดอกนั้นก็แจ่มชัดเร็วขึ้นเท่านั้น
จนกระทั่งพายุที่ปกคลุมทั่วโลกแห่งเซียนลูกนี้หดเล็กเข้ามาอย่างเต็มที่แล้ว พื้นที่ใจกลางโลกแห่งเซียน เมื่อพัดวิเศษที่ถูกปกคลุมมาสามปีเผยตัวอีกครั้ง ดอกไม้ที่ผลิบานอยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาลก็ชัดเจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นั่นก็คือ…
บุปผาความคิดแห่งเต๋าของป๋ายเสี่ยวฉุน!!
แสงสว่างพร่างพราวไร้ที่สิ้นสุด หากมีใครอยู่ใกล้และได้มาเห็นก็ต้องจิตใจสั่นสะท้านแน่นอน!
ดอกไม้ดอกนี้เบ่งบานอยู่ประมาณหนึ่งก้านธูป ทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพัดวิเศษสูดลมหายใจเข้าลึก ดอกไม้แห่งความคิดดอกนั้นก็จะแผ่ไอหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ก่อนที่ไอหมอกเหล่านั้นจะตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ทะลวงแสงสว่างที่อยู่บนกายเขา ผลุบหายเข้าไปตามทวารทั้งเจ็ด ผสานรวมเข้ากับในร่างกายเขาโดยตรง
เรือนกายของเขามีเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ดังออกมา เส้นผมของเขายาวขึ้นอีกไม่น้อย ผิวพรรณของเขาก็ยิ่งขาวนวลกระจ่าง และหน้าตาของเขาก็ดูหนุ่มกว่าเดิมเยอะมาก
ราวกับกลับไปเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง และเมื่อเขาลืมตา ประกายดวงตาที่เผยให้เห็นไม่ได้พร่ามัวด้วยความแก่ชรา แต่เป็นความลึกล้ำสุดจะหยั่งได้ถึง…
“บุพกาล…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ก่อนหน้านี้เขานึกว่าตอนที่เลื่อนขั้นเป็นบุพกาลจะต้องเจอกับทัณฑ์แห่งบุพกาล ทว่ามาจนถึงตอนนี้เขากลับเข้าใจแล้วว่า หากเขาเลื่อนขั้นบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็อาจจะเจอทัณฑ์ของการเลื่อนขั้นจริง ทว่าที่นี่คือโลกแห่งเซียน และตนก็ดูดซับเอาโชคชะตาเสี้ยวสุดท้ายของโลกแห่งเซียนเข้าไป หากว่ากันในบางระดับแล้วก็เหมือนกับได้รับการดูแลครั้งสุดท้ายจากโลกแห่งเซียน จึงเป็นเหตุให้เขาเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่นโดยไม่พบเจอกับทัณฑ์ใดๆ
เมื่อกระจ่างแจ้งทุกอย่างดีแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ วินาทีที่กายของเขาหยัดตรงขึ้นมา พลังอำนาจที่ระเบิดจากร่างเขาก็ทำให้ห้วงจักรวาลบิดเบือน แปดทิศอึงอลด้วยเสียงเกริกก้องประหนึ่งยักษ์ตนหนึ่งที่พอลุกขึ้นยืนก็ค้ำฟ้าเอาไว้ได้!
วิญญาณวัตถุน้อยที่อยู่ข้างๆ บัดนี้ก็ตัวสั่น มันตื่นตะลึงไปกับพลังอำนาจบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน มันยังเหมือนจะมองเห็นเงาร่างของนายท่านในอดีตทับซ้อนขึ้นมาด้วย!



