บทที่ 1249 ทุกอย่างที่ข้าทำก็เพื่อลูกศิษย์
การเดินทางในห้วงอวกาศที่ยาวนานครั้งนี้ เป้าหมายเดียวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือ หลอมไฟสามสิบสีเพื่อชุบชีวิตป๋ายฮ่าวลูกศิษย์ของตน!
มาจนถึงวันนี้เวลาผ่านไปแล้วหลายปี เขาไม่เพียงแต่หลอมไฟหลายสีได้ถึงสีที่ยี่สิบเก้า ตบะของเขายังเลื่อนสู่บุพกาล เป้าหมายสุดท้ายที่รออยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงแค่เอื้อมมือคว้าก็ถึง
โดยเฉพาะเมื่อตบะฝ่าทะลุ การอนุมานที่มีต่อไฟสามสิบสีจึงรวดเร็วมากขึ้น บวกกับประสบการณ์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่งสมมาก่อนหน้านี้ ท่ามกลางการห้อทะยานของพัดวิเศษ ตำรับไฟสามสิบสีจึงค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน
สำหรับข้อที่ว่าไฟสามสิบสีจะเป็นขั้นสูงสุดของไฟหลายสีหรือไม่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจวิเคราะห์ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจมากก็คือ จากการอนุมานของเขาในเวลานี้ อีกไม่นานเท่าไหร่เขาก็จะสามารถสร้างตำรับไฟสามสิบสีขั้นต้นได้สำเร็จ
อันดับต่อมาก็คือการใช้วิญญาณจำนวนมากมาทดลองหลอม ซึ่งระหว่างขั้นตอนการหลอมไฟนี้เขาจะคอยสรุปสาเหตุของความล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสุดท้ายที่สามารถหลอมไฟสามสิบสีออกมาได้สำเร็จ
ส่วนเรื่องของวิญญาณนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลอีกต่อไป
หลังจากที่ราชินีเซียนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บไปไว้ในถุงเก็บของ วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่นางเก็บสะสมไว้ในร่างตลอดเวลาหลายปีซึ่งถูกนางปลดปล่อยออกมามีมากพอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทำการทดลองได้หลายต่อหลายครั้ง หากไม่เป็นเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์ไว้ว่า ถ้าการหลอมไฟสามสิบสีล้มเหลว พลังของมันจะแผ่กระจายกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลจนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอาจต้านรับได้ไม่ไหว หาไม่แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงตรงกลับไปที่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลนานแล้ว
“ใกล้แล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ความรอคอยและความคาดหวังในใจยิ่งรุนแรง และเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งปรับปรุงตำรับไฟสามสิบสีของตัวเองได้สมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ
และไม่นานเขาก็เริ่มนำวิญญาณออกมาหลอม การหลอมครั้งนี้… มากหลายสิบครั้ง ต่อให้ทุกครั้งจะล้มเหลวในขั้นที่แตกต่างกัน แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ความล้มเหลวได้กลายมาเป็นบทเรียนและประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเวลาก็ผ่านไปเช่นนี้อีกหลายปี
เมื่อเห็นว่าตนขยับเข้าใกล้ความสำเร็จมากแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งฮึกเหิมและตื่นเต้นมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะเมื่อตบะมาถึงขั้นบุพกาล ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมีความสามารถที่จะไปตามพื้นที่มากมายในห้วงจักรวาลแห่งนี้ได้อย่างเสรี
เวลาหลายปีที่ผ่านมา ซากปรักหักพังที่เขาไปเยือนมีมากหลายสิบกว่าแห่ง และยังมีซากปรักหักพังจำนวนมากกว่านั้นที่เนื่องจากหลงเหลือเพียงแค่พื้นที่เล็กๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงแค่กวาดอำนาจจิตผ่าน โดยที่ไม่ได้แวะเข้าไป
จนกระทั่งมาวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่บนพัดวิเศษ เบื้องหน้าของเขามีทะเลเพลิงห้าแสงสิบสีกลุ่มหนึ่งกำลังเผาไหม้ แต่ไม่นานกลับหม่นแสงและดับลง
เผยให้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เบื้องหลังทะเลเพลิง
“ขาดแค่ก้าวสุดท้ายนี่เท่านั้น แต่ก็ยังล้มเหลวจนได้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย เขาเองก็รู้ดีว่า บางทีอาจเป็นเพราะตนใจร้อนเกินไป หาไม่แล้วคงไม่มีทางพบอุปสรรคมากมายหลายครั้งในขั้นตอนสุดท้ายเช่นนี้
หลังจากหาต้นสายปลายเหตุเจอ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถือโอกาสหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองได้สงบใจช้าๆ พยายามขจัดความหงุดหงิดเพราะหวังให้ตัวเองประสบความสำเร็จในขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมไฟสามสิบสี
ความสงบนิ่งของเขาดำเนินไปได้หนึ่งเดือนกว่า เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามจะทดลองอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็พลันนิ่วหน้า ก้มลงมองตราประทับของป๋ายฮ่าวบนหลังมือตัวเอง ที่เวลานี้แผ่ริ้วคลื่นออกมาเป็นระลอก ราวกับว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้ป๋ายฮ่าวตื่นเต้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจจึงค่อยๆ เงยหน้ามองไปยังห้วงจักรวาลที่ห่างไปไกล พลางแผ่อำนาจจิตออกไปตรวจสอบด้วย
ห้วงจักรวาลที่มืดมิดมองดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่แตกต่าง ทว่าเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนร้องเอ๊ะเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน ไม่นานเขาก็ได้เห็นว่าในห้วงจักรวาลที่ห่างไปไกลเริ่มค่อยๆ มีแสงเทียนปรากฏขึ้นมา!!
เมื่อมองอย่างละเอียดจึงเห็นว่า… นั่นไม่ใช่แสงเทียน แต่เป็นแสงตะเกียง แสงนี้ไม่ได้มีแค่ดวงเดียว แต่ส่องสว่างเป็นผืนใหญ่ ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะแสงที่ปรากฏขึ้นในห้วงจักรวาลที่มืดมิดนี้ ถือเป็นภาพเหตุการณ์ที่น้อยครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนจะได้พบในการเดินทางท่ามกลางห้วงจักรวาลครั้งนี้
ต่อให้จะเป็นโคมไฟของแม่เฒ่าผี แสงไฟที่มาจากนางก็ยังมีปราณแห่งความตาย หรือต่อให้เป็นในโลกแห่งเซียนก็ยังไม่มีแสงที่สว่างพร่างพราวถึงเพียงนี้ สิ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอยู่เวลานี้ราวกับเป็นตัวแทนของพลังชีวิต ประหนึ่งแสงตะเกียงในบ้านพักที่มีคนอยู่อาศัย
นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนประหลาดใจ ต้องรู้ว่านับตั้งแต่ที่เขาเดินทางในห้วงจักรวาลมาจนถึงวันนี้ ทุกสิ่งที่เขามองเห็นมีแต่ความตาย แล้วก็รู้ด้วยว่าหลังจากที่นี่ฝานคร่าสรรพชีวิตในห้วงจักรวาลแห่งนี้ ที่นี่จึงกลายมาเป็นสุสานแห่งใหญ่ตั้งนานมาแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นตระหนักได้ด้วยว่า ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็คือสถานที่เดียวในห้วงจักรวาลที่ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย ทว่าตอนนี้เมื่อแสงตะเกียงพวกนี้ปรากฏขึ้นมา จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอดตะลึงระคนแปลกใจไม่ได้
“หรือว่าที่นี่ยังมีเผ่าพันธุ์อื่นอยู่อาศัย?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ก่อนจะบังคับพัดวิเศษให้ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด จนกระทั่งมองเห็นแสงไฟเหล่านั้นได้ถนัดตา
ที่นั่นก็เป็นซากปรักหักพังแห่งหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ดูเหมือนว่าพื้นที่ใจกลางของซากปรักหักพังแห่งนี้จะไม่ถูกทำลายไปมากนัก และตรงนั้นก็มีหอเรือนอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งแสงไฟทั้งหมดที่เห็นล้วนลอดออกมาจากหน้าต่างหลายสิบบานของหอเรือนหลังนี้!
แล้วก็เห็นได้ชัดว่าแสงพวกนี้มีปัญหา ขนาดอยู่ห่างไปไกลมากก็ยังสว่างจนมองเห็นชัดเจน แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนว่าจะไม่สว่างจ้าสะดุดตาจนเกินไป ราวกับว่าต่อให้มายืนอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีความแตกต่างจากตอนที่เห็นอยู่ไกลๆ สักเท่าไหร่
ม่านตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลงน้อยๆ ความรู้สึกแรกที่ทุกภาพเหตุการณ์นี้มอบให้เขาคือ… มันผิดปกติ!
หลายปีที่ผ่านมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ มากมายทั่วห้วงจักรวาล เรื่องประหลาดที่ได้พบเจอก็มีอยู่ไม่น้อย เวลานี้เขาที่ยืนอยู่บนพัดวิเศษจึงจ้องนิ่งไปที่ภาพเบื้องหน้าอยู่พักใหญ่ ครั้นแล้วจึงเก็บความสงสัยใคร่รู้เอาไว้ เตรียมบังคับพัดวิเศษให้จากไป
ต่อให้จะมีตบะเป็นถึงบุพกาล แต่นิสัยระมัดระวังชอบความมั่นคงของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป สถานที่ที่เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาในสายตาเขาเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่า… ตนไม่มีความจำเป็นจะต้องไปตรวจสอบเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะเมื่อริ้วคลื่นในตราประทับของป๋ายฮ่าวได้สงบนิ่งลงไปแล้ว
เขาก็รู้สึกว่าต่อให้ตัวเองจะแข็งแกร่งมากพอแล้ว ทว่าประสบการณ์ที่พบเห็นมาตลอดทาง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจได้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลและความลึกลับของห้วงจักรวาลแห่งนี้เป็นอย่างดี
“ห้วงจักรวาลกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ จะขาดความอยากรู้อยากเห็นไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิด”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำพลางควบคุมพัดวิเศษไปด้วย ไม่นานก็อ้อมผ่านซากปรักหักพังแถบนั้นและค่อยๆ จากไปไกล ทว่าชั่วขณะที่เขาเตรียมจะอนุมานไฟสามสิบสีต่อนั้นเอง ทันใดนั้นหัวคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง เขาหรี่ตาลง จ้องมองห้วงจักรวาลมืดมิดเบื้องหน้าที่เวลานี้มีแสงไฟปรากฏขึ้นอีกครั้ง!
เหมือนกับที่เห็นก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น ครั้นแล้วจึงควบคุมพัดวิเศษให้อ้อมออกไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็แผ่อำนาจจิตออกไปตรวจสอบ แต่ไม่นานเบื้องหน้าเขาก็มีแสงไฟปรากฏขึ้นมาอีก
“น่าสนใจแฮะ…”
สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไหร่นัก หลังจากทดลองอยู่หลายครั้ง เขาก็ค้นพบแล้วว่าดูเหมือนตนจะพลัดหลงเข้ามาในวงกลมแห่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็อ้อมผ่านซากปรักหักพังแถบนั้นไปไม่ได้เสียที อีกทั้งทุกครั้งที่อ้อมผ่านแล้วมาโผล่ใหม่อีกครั้ง ก็จะต้องขยับเข้ามาใกล้หอเรือนหลังนั้นมากขึ้น โดยเฉพาะบัดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นมองเห็นเงาคนที่อยู่ในหอเรือนหลังนั้นแล้วด้วยซ้ำ
จากความรู้และประสบการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงมองออกว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเคยมีชนเผ่าอยู่อาศัย แม้จำนวนประชากรจะไม่มาก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีผู้บงการ ทั้งยังเป็นชนเผ่าที่มีความพิเศษเฉพาะตัว ห้วงจักรวาลทรงกลมที่โอบล้อมอยู่รอบด้านก็คือ ค่ายกลส่วนหนึ่งของชนเผ่านี้
และการที่ตนบุกเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ หากคิดจะออกไปก็จำเป็นต้องเจอกับอุปสรรคบางอย่าง ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังคิดว่าควรจะบุกออกไปอย่างไรนั้นเอง จู่ๆ แสงไฟจากหอเรือนแห่งนั้นก็สว่างขึ้นจากเดิมอีกไม่น้อย แล้วก็พอจะได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานดังออกมาจากด้านในเป็นระลอก ซ้ำยังมีหน้าต่างบานหนึ่งถูกผลักให้เปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวที่สวมเอี๊ยมชั้นในสีชมพู
หญิงสาวคนนี้หน้าตางดงามเรือนกายเย้ายวน ในมือของนางถือผ้าเช็ดหน้าผืนบางซึ่งกำลังโบกเบาๆ มาทางป๋ายเสี่ยวฉุน
“มาสิ เข้ามานี่สิ…”
น้ำเสียงอ่อนหวานยั่วยวนพลันก้องกังวานไปทั่วห้วงจักรวาล พอดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้เขาเบิกตากว้าง มองหญิงสาวที่โผล่ออกมาจากหน้าต่าง แล้วก็หันมามองหอเรือนแห่งนี้อีกที ครั้นแล้วเขาก็พลันกระจ่างแจ้ง
“ที่นี่คือหอนางโลมงั้นรึ?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ จิตใจหวั่นไหวเล็กน้อย แต่พอคิดๆ ดูกลับรู้สึกว่าจะอยากรู้อยากเห็นเกินไปนักไม่ได้ ดังนั้นจึงแค่นเสียงหนึ่งครั้งแล้วควบคุมพัดวิเศษให้จากไป เพียงแต่ว่าเขาวนอยู่ที่นี่นานมากจนค้นพบว่าหากต้องการออกไปจากที่นี่ ก็มีเพียงหาใจกลางค่ายกลให้พบเท่านั้นถึงจะได้ ซึ่งใจกลางค่ายกลที่ว่านี้ก็คือหอโคมเขียวแห่งนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีหนทางอย่างอื่นอีกแล้ว เขาคิดว่าในเมื่อตอนนี้ตนร้ายกาจมากแล้ว ขนาดแม่เฒ่าผียังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน แค่ลูกไม้เล็กๆ ของที่แห่งนี้ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
และเวลานี้เอง ริ้วคลื่นจากตราประทับของป๋ายฮ่าวก็รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมาเป็นเหยเกในฉับพลัน พูดกับตัวเองว่า หรือบางทีลูกศิษย์ของตนอยากจะเข้าหอนางโลม?
“ฮ่าวเอ๋อร์ เจ้านิสัยไม่ดีใหญ่แล้วนะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมไอ แต่ยังคงเอาความมั่นคงเป็นหลัก จึงกวาดอำนาจจิตไปปกคลุมหอนางโลมเบื้องหน้าก่อนเป็นอันดับแรก และไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็วางใจลงได้ เพราะเขามองเห็นแล้วว่าที่นี่ก่อตัวขึ้นมาจากวิญญาณที่พิเศษบางอย่าง ซึ่งไม่มีภัยคุกคามต่อตนเลยแม้แต่นิดเดียว
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองเข้าไปดู แม้ว่าข้าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อลูกศิษย์ของข้า ข้าจะลองเข้าไปดูสักครั้งก็แล้วกัน”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมอีกที ก่อนจะเรียกทาสบุพกาลสองคนมาเป็นองค์รักษ์ของตน จากนั้นก็ให้วิญญาณวัตถุน้อยเตรียมพร้อมเอาไว้ หากท่าไม่ดีก็ให้มาช่วยเหลือตนทันที ครั้นแล้วเขาจึงเดินอาดๆ ออกมาจากพัดวิเศษ บินดิ่งไปยังหอโคมเขียวที่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเบื้องล่าง ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของวิญญาณวัตถุน้อย
เมื่อขยับเข้ามาใกล้พื้นที่ร้องรำทำเพลง เสียงหัวเราะเริงรื่นสนุกสนานก็ยิ่งดังชัดเจน จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนเดินมาใกล้เบื้องหน้าของหอเรือน ประตูใหญ่ของหอเรือนก็เปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ก่อนที่หญิงสาวซึ่งแต่งตัวเป็นแม่เล้า บนศีรษะทัดดอกไม้จะเดินยักย้ายส่ายเอวออกมา พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเข้า ดวงตาของนางก็พลันเป็นประกาย ร้องเสียงสูง
“สาวๆ ทั้งหลาย มารับแขกเร็วเข้า!”
จากนั้นหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีสันฉูดฉาด ก็พากันเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มชื่นบานเต็มใบหน้า
“นายท่าน รีบเข้ามาข้างในเถิดค่ะ!”
“ที่นี่เรามีสาวงามมากมาย รับรองว่านายท่านจะต้องพอใจ”