Skip to content

A Will Eternal 126

บทที่ 126 สะสมไว้มาก ทยอยใช้ทีละน้อย

เมื่อก่อนตอนที่เขามองรูปปั้นนี้จะรู้สึกแค่เพียงว่ารูปปั้นนี้มีพละกำลังอย่างหนึ่งซึ่งสามารถปลุกเร้าความปรารถนาในการรบให้เผยตัวออกมาได้ เพียงแต่ว่าในขั้นที่ลึกซึ้งลงไปยิ่งกว่านั้น เขาบอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอย่างไร

แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาศึกษาและสังเกตสัตว์พิทักษ์ทั้งสี่เขาติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งปี จมจ่อมอยู่กับความรู้สึกที่ว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนสามารถฝ่าทะลุขอบเขตออกมาได้ตลอดเวลาหรือเปล่า ถึงทำให้ตอนที่เขามองรูปปั้นนี้ จิตใต้สำนึกของเขาจึงใช้วิธีอย่างหนึ่งของการศึกษาและสังเกต ไม่ได้ดูลักษณะโดยรวมของรูปปั้นนี้ แต่กลับมองไปที่เกล็ดบนร่างของมันแทน!

แผ่นเกล็ดที่ราวกับถูกสลักลงไปมองดูแล้วปกติธรรมดาอย่างมาก ทว่าพริบตาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองนั้น กลับทำให้ความรู้สึกที่ว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของวิชาเขตแดนธารากำลังจะเกิดขึ้นพลันโหมซัดสาดอยู่ในสมองของเขา และความรู้สึกนั้นก็รุนแรงเกินสิ่งใดเปรียบ

เวลาเดียวกันนี้ คล้ายว่าเขาจะได้ยินเสียงคำรามแหบแห้งที่ราวกับดังลอยมาจากยุคสมัยดึกดำบรรพ์

ภาพนี้เขาไม่รู้ว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาหรือไม่ ขณะที่กำลังจะรวบรวมสมาธิมองไปให้แน่วแน่ ทุกอย่างกลับหายวับไป ความรู้สึกในสมองที่ว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนกำลังจะเกิดขึ้นก็ค่อยๆ สงบนิ่งลงตามไปด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจถี่กระชั้น เดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าและก็นั่งลงทำสมาธิอยู่ด้านล่างรูปปั้นรูปนี้ เงยหน้าขึ้นมามองด้วยดวงตาแน่วนิ่ง เขาแอบรู้สึกว่าภาพที่ตนเองสัมผัสได้โดยไม่ตั้งใจก่อนหน้านี้ไม่มีทางเป็นภาพลวงตาเด็ดขาด

“รูปปั้นนี้…แปลกประหลาด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก มองนิ่งตาไม่กะพริบ ไม่ได้มองภาพรวมของมัน แต่จ้องไปยังเกล็ดแผ่นหนึ่งท่ามกลางแผ่นเกล็ดจำนวนนับไม่ถ้วน รวบรวมจิตใจมุ่งมั่น

แต่การจ้องมองแผ่นเกล็ดที่ดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายดาย ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับพบว่าการที่ตัวเองจะจดจำมันลงในสมองเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง นี่เป็นสภาวะที่แปลกประหลาดมาก สามารถมองเห็น แต่กลับจดจำไม่ได้

ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อท้อ กลับยิ่งทำให้เขายึดมั่นมากยิ่งขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกาย จมจ่อมอยู่กับแผ่นเกล็ดที่สะท้อนออกมาทางสายตา

เวลาผ่านไป ไม่นานก็ใกล้ถึงยามสายัณห์ เวทีประลองแห่งนี้ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของชายฝั่งทิศเหนือ รอบด้านมักจะมีลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนือปรากฏตัวขึ้นเป็นประจำ พวกเขาล้วนมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่ตรงนั้นจ้องเขม็งไปยังรูปปั้นของเวทีประลอง แต่ละคนพากันแปลกใจ แต่กลับไม่ได้หยุดให้ความสนใจ ดึงสายตากลับมาก็จากไป

เช้าตรู่วันที่สอง เมื่อลูกศิษย์ที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งแต่เมื่อวาน พอเดินผ่านเวทีประลองแห่งนี้แล้วเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง คล้ายว่าตลอดคืนที่ผ่านมาป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่อย่างนี้ตลอด ไม่ได้จากไปไหน ถึงขั้นที่ว่าจ้องรูปปั้นนั้นจนดวงตาแดงก่ำไปหมด ความแปลกใจของทุกคนก็ยิ่งมีมากขึ้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าเขาทำได้เพียงฝ่าทะลุขั้นโดยผ่านรูปปั้นนี้เท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีหนทางอื่นอีก จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขตแดนธารา เขารู้สึกว่าสิ่งใดที่ตัวเองทำได้ก็ล้วนทำไปหมดแล้ว การศึกษาและสังเกตที่หอร้อยสัตว์ การศึกษาและสังเกตสัตว์พิทักษ์ภูเขาทั้งสี่ หรือแม้แต่สัตว์รบทุกตัวที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือมี เขาก็แอบสังเกตมาแล้วไม่น้อย

แต่จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขตแดนธารากลับไม่เกิดขึ้นเสียที หากไม่มีลางบอกให้รู้ก็ยังว่าไปอย่าง บางทีป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะไม่มาเสียเวลาอยู่ที่นี่ แต่จิตวิญญาณแห่งชะตาตนนี้ดันอยู่ในสภาวะที่สามารถก่อเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ประหนึ่งว่าสัมผัสถึงได้ แต่กลับมองไม่เห็น ใกล้แค่คืบ แต่กลับเหมือนห่างไกลสุดขอบฟ้า

ความรู้สึกไม่ขึ้นไม่ลงแบบนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกย่ำแย่อย่างมาก เวลานี้ในที่สุดก็คว้าจุดพลิกสถานการณ์เส้นหนึ่งไว้ได้แล้ว ส่วนของความทรหดอดทนซึ่งเป็นหนึ่งในนิสัยของเขาจึงระเบิดออกมาทันที

ไม่ต่างจากความยึดมั่นตอนหลอมยา วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นก็เกิดความยึดมั่นเช่นเดียวกัน ต่อให้เวลาจะผ่านไปแล้วหนึ่งคืน ต่อให้ดวงตาคู่นั้นจะแดงก่ำ ต่อให้ภาพที่เห็นเมื่อวานจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงไม่ยอมแพ้

เขายังถึงขั้นแอบมีความรู้สึกรุนแรงบางอย่างว่าหากเขายอมแพ้ในครั้งนี้ ถ้าเช่นนั้นเขตแดนธารา…จิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาอาจจะไม่มีวันกำเนิดขึ้นมาอีกเลยตลอดชีวิต และหากเขาคว้าโอกาสครั้งนี้เอาไว้ได้ ถ้าเช่นนั้นจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขตแดนธาราจะต้องก่อกำเนิดขึ้นมาราวกับดักแด้ที่โผล่จากรังไหมอย่างแน่นอน!

“ข้าไม่เชื่อหรอก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน เพ่งสมาธิขึ้นมาอีกครั้ง มองสังเกตเกล็ดแผ่นนั้นอย่างละเอียด วาดเค้าโครงขึ้นในสมองอย่างต่อเนื่อง

เขายังถึงขั้นปิดการรับรู้ทางการได้ยิน ได้กลิ่น รวมถึงการสัมผัสไปอย่างไม่รู้ตัว ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปที่สายตา เวลาผ่านไปทีละวัน เมื่อเช้าตรู่ของวันที่สี่มาถึง ลูกศิษย์หลายคนของชายฝั่งทิศเหนือล้วนตกตะลึงไปกับการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุน ค่อยๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

“ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่ด้านล่างรูปปั้นเวทีประลองนั่นสี่วันแล้ว…เขากำลังทำอะไรอยู่? สังเกตและศึกษารูปปั้นของเวทีประลองรึ?”

“รูปปั้นของเวทีประลองแปลกประหลาดจริงๆ ข้าได้ยินว่าเคยมีคนมากมายไปสังเกตและศึกษาเพราะอยากได้รับผลพวงบางอย่าง แต่จนถึงวันนี้นอกจากศิษย์พี่ใหญ่กุ่ยหยาแล้วก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน!”

ขณะที่ลูกศิษย์ส่วนหนึ่งของชายฝั่งทิศเหนือวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มกันเองอยู่นั้น ลูกศิษย์ฝ่ายในของชายฝั่งทิศเหนือก็สังเกตเห็นเรื่องเหล่านี้เช่นกัน และก็มีบางคนที่ตั้งใจรุดมาดูป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อเห็นสภาพบ้าคลั่งเช่นนั้นของเขาแล้วต่างก็พากันถอนหายใจอยู่ในใจ

“ที่แท้ก็แค่ทดลองสังเกตเพื่อจดจำเท่านั้น ไม่ใช่รู้แจ้งอย่างแท้จริง ข้าก็ว่าแล้ว แม้รูปปั้นของเวทีประลองจะซุกซ่อนความลึกลับเอาไว้ แต่ไม่ใช่ว่าใครก็ล้วนสามารถรู้แจ้งได้”

“ข้าเคยอ่านตำรามาบางส่วน นับตั้งแต่เมื่อสี่พันปีก่อนที่สำนักย้ายรูปปั้นนี้มาจากเขตลึกลับอย่างหุบเหวสัตว์โบราณแล้วเอามาตั้งไว้ที่นี่ พวกรุ่นอาวุโสไม่รู้ว่ามีใครรู้แจ้งหรือไม่ แต่ส่วนของลูกศิษย์…ก่อนหน้ากุ่ยหยา ไม่เคยมีใครไปถึงขั้นรู้แจ้งมาก่อน”

“รูปปั้นนี้ข้าเองก็เคยทดลองสังเกตดู สุดท้ายจำต้องยอมแพ้ ไม่อาจสัมผัสถึงอะไรได้สักอย่าง นอกเสียจากว่าจะทำอย่างกุ่ยหยาที่ยืมการศึกษาและสังเกตครั้งนี้เข้าไปสู่โลกของการประจักษ์แจ้งในตำนาน มิเช่นนั้นล่ะก็ คนมากมายล้วนเคยลองมาแล้ว บางคนใช้เวลาสิบวัน บางคนสิบห้าวัน มากที่สุดคือยี่สิบวัน ร่างกายก็จะอ่อนแอจนหมดสติไปเอง”

เป่ยหันเลี่ย พี่น้องกงซุน สวีซงรวมไปถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายในอีกหลายคน เวลานี้พอมองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่สังเกตและศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการประจักษ์แจ้ง จึงพากันคลายใจลง

แม้แต่ผู้นำของเขาทั้งสี่ก็ยังสังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งอยู่ด้านล่างรูปปั้น ต่างก็พากันแสดงออกถึงการรอคอย

“ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเป็นเหมือนกุ่ยหยาที่ได้ผลพวงความสำเร็จจากรูปปั้นแห่งนี้หรือไม่”

“เรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยจังหวะและโอกาส สติปัญญา ความมานะพยายาม ขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ก็เหมือนภาพวาดที่สะเปะสะปะใบหนึ่ง บางคนมองเห็นเป็นแค่ความยุ่งเหยิง บางคนกลับมองเป็นระบบระเบียบ และยังมีคนบางส่วนที่มองเห็นภาพวาดที่ซุกซ่อนอยู่ในความยุ่งเหยิง ขณะเดียวกันก็มีน้อยคนนักที่จะมองเห็นสิ่งที่…แตกต่างไปจากทุกคน”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสังเกตและศึกษา ไม่ได้ประจักษ์แจ้งจริง ดวงตาทั้งคู่ของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย แผ่นเกล็ดชิ้นนั้นที่อยู่ในเส้นสายตาคล้ายว่าได้ขยายขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เข้ามาแทนที่โลกทั้งใบ ราวกับว่าในแผ่นเกล็ดชิ้นนี้เขาได้มองเห็นฟ้าดินแห่งหนึ่ง มองเห็นการดำรงอยู่ของบางอย่างที่ล่องลอยอยู่มากมายเกินจะนับหมด พูดไม่ถูกว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร บางทีอาจเป็นแค่ภาพลวงตาที่เกิดจากดวงตาพร่าลายเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สนใจ ความคิดเดียวของเขาก็คือต้องจดจำรูปร่างของเกล็ดชิ้นนี้ เพื่อวาดเค้าโครงของมันขึ้นมาในสมอง

เขาไม่รู้ว่าตัวเองทดลองไปแล้วกี่ครั้ง บางทีอาจจะหนึ่งพันครั้ง ไม่ก็หนึ่งหมื่นครั้ง หรืออาจจะมากกว่านั้น ถึงขั้นที่ว่าท่ามกลางการศึกษาและสังเกตครั้งนี้ กำลังวังชาของเขาเองก็ค่อยๆ ถดถอยลงไปอย่างช้าๆ แต่ก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดี

และเวลาก็ค่อยๆ ผันผ่านไป วันที่ห้า วันที่หก วันที่เจ็ด…จนกระทั่งวันที่สิบผ่านไป ดั่งว่าการศึกษาและสังเกตรูปปั้นนี้จะเผาผลาญพลังชีวิตไปมากมาย ร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนแห้งเฉาลงมาถึงหนึ่งรอบ แต่เขายังคงยืนหยัดอยู่เช่นเดิม

ไม่นาน เมื่อสิบเก้าวันผ่านไป พวกเป่ยหันเลี่ยก็พากันวางใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขามองออกว่าด้วยสภาพของป๋ายเสี่ยวฉุน อย่างมากยืนหยัดอยู่ได้อีกแค่วันเดียวก็ต้องหมดสติไปเพราะพลังชีวิตอ่อนแอ

“ตอนที่กุ่ยหยานั่งอยู่หน้ารูปปั้นนี้ ใช้เวลาไปสิบห้าวันก็เหยียบย่างเข้าสู่โลกของการประจักษ์แจ้งในตำนาน ใช้เวลาในการประจักษ์แจ้งยี่สิบเจ็ดวันถึงจะฟื้นขึ้นมา ที่เขาสามารถฝึกขบวนภูตรัตติกาลขั้นต้นได้สำเร็จก็เกี่ยวข้องกับการประจักษ์แจ้งครั้งนั้นอย่างใหญ่หลวง!”

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่เสียเวลาไปสิบเก้าวันแล้วก็ยังไม่เข้าสู่การประจักษ์แจ้ง ถ้าไม่พูดถึงตบะของเขาล่ะก็ ในจุดนี้เขาสู้กุ่ยหยาไม่ได้”

“รูปปั้นนี้ลึกลับเกินคาดเดา ก่อนหน้านี้มีคนมากมายเคยทดลองมาก่อน หากครั้งแรกทำไม่สำเร็จ ภายหลังจะยิ่งยากกว่าเดิม พรุ่งนี้เขาก็สลบแล้ว ต่อให้ตื่นมาแล้วพลังชีวิตจะฟื้นคืนกลับมาก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

ไม่เพียงแต่พวกเป่ยหันเลี่ยที่คิดเช่นนี้ แม้แต่ผู้นำทั้งสี่เขาก็ยังพากันถอนหายใจ รู้สึกเสียดาย

ไม่นาน การศึกษาและสังเกตรูปปั้นในวันที่สิบเก้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เช้าตรู่วันที่ยี่สิบ เมื่อแสงอรุณสาดส่อง ขณะที่แทบทุกคนล้วนคิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องหมดสติลงไปอย่างแน่นอนนั้นเอง ท่ามกลางสายตาจับจ้องของพวกเขาก็ค่อยๆ มีเสียงตื่นตะลึงเหลือเชื่อดังขึ้นมา วันที่ยี่สิบผ่านไปแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่สลบไสล เพียงแต่ว่าร่างกายซูบผอมลงไปอีกหนึ่งรอบตัว ทว่ายังคงยืนหยัดได้เช่นเดิม

วันที่ยี่สิบเอ็ด วันที่ยี่สิบสอง วันที่ยี่สิบสาม…เมื่อเวลาผันผ่านไป เริ่มมีคนตกตะลึงเพิ่มมากขั้นเรื่อยๆ เมื่อวันที่สามสิบผ่านไป แม้แต่ผู้นำทั้งสี่เขาก็ยังสะท้านสะเทือน

“ความเข้มข้นของพลังชีวิตป๋ายเสี่ยวฉุนมีมากถึงเพียงนี้เชียวรึ!”

“ลูกศิษย์ทั่วไปมากสุดก็สิบวัน ลูกศิษย์ที่ฝึกวิชาหลอมร่างกายมากสุดก็สิบห้าวัน ต่อให้เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างกุ่ยหยามากสุดก็ได้แค่ยี่สิบวัน หากไม่สามารถเข้าสู่โลกของการประจักษ์แจ้งได้ พลังชีวิตก็จะถูกทำลายจนหมดสติไปเอง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…เขากลับยืนหยัดได้นานถึงเพียงนี้!”

“แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไรเล่า? ไม่อาจประจักษ์แจ้งได้ก็เท่ากับเสียเวลาเปล่า”

พวกเป่ยหันเลี่ยเองก็ตกใจเช่นกัน เวลานี้พวกเขาถึงเพิ่งได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในระดับไหน แต่ก็ทอดถอนใจอยู่ในใจไปด้วย เพราะเมื่อไม่อาจประจักษ์แจ้งได้ ต่อให้เวลานานแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

ไม่นาน เวลาผ่านไปอีกสิบวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงตกอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ว่าในสมองของเขาได้ทดลองวาดเค้าโครงของแผ่นเกล็ดขึ้นมาแล้วกี่ครั้ง บางทีอาจจะห้าหมื่นครั้ง หรือหนึ่งแสนครั้ง หรือมากกว่านั้น แต่ก็ยังคงล้มเหลวเช่นเคย

จนกระทั่งวันที่ห้าสิบ วันที่หกสิบผ่านไป คนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนสะท้านสะเทือนอย่างลึกล้ำ พวกเขาไม่อาจจินตนาการออกเลยว่าพลังชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นลึกซึ้งถึงระดับไหนกันแน่ ความยืนหยัดที่เกินกว่าการคาดการณ์เช่นนี้ หากไม่มีพลังกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งมากเพียงพอย่อมไม่มีทางทำได้

เขาถูกฝูงชนจับตามองอยู่นานแล้ว เมื่อร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือกขึ้นจึงได้รับความสนใจจากคนมากมายทันที

“ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว อีกไม่กี่วันนี้แหละ เดี๋ยวเขาก็ต้องหมดสติ”

“ไม่ได้ประจักษ์แจ้ง สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงความว่างเปล่า”

แต่วินาทีที่ทุกคนตัดสินกันออกมาเช่นนี้ ยามสายัณห์ของวันที่เจ็ดสิบ ขณะที่ดวงอาทิตย์ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปร่วงลงต่ำ แสงอาทิตย์งดงามย้อมให้ขอบฟ้ากลายเป็นแสงสีส้มอมเหลืองนั้นเอง…

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเผยให้เห็นถึง…ความเลื่อนลอย

ท่ามกลางความเลื่อนลอยนี้ ดวงตาทั้งคู่ของเขาค่อยๆ ปิดเข้าหากัน!

ชั่วขณะที่ปิดประสานกันนั้น ในสมองของเขา แผ่นเกล็ดสมบูรณ์แบบหนึ่งชิ้น…ภายใต้การทดลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็สามารถวาดโครงร่างออกมาได้สำเร็จ!

พริบตาที่แผ่นเกล็ดชิ้นนี้ปรากฏตัวขึ้น ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงดังกัมปนาทราวเสียงฟ้าผ่าลอยมา เขาสูดลมหายใจยาวๆ เข้าไปหนึ่งครั้ง และลมหายใจนั้นก็พลันขาดหายไป คล้ายว่าเหลือเพียงกายเปลือกนอกของเขา จิตวิญญาณได้เหยียบเข้าไปยังขอบเขตในตำนานที่เรียกว่า…การประจักษ์แจ้ง!

ชั่วขณะนั้นดวงตาของกลุ่มคนที่จับตามองมายังที่แห่งนี้หดตัวเข้าหากัน ช่างเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการคาดการณ์อย่างยิ่ง ทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อ

การประจักษ์แจ้งของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และยิ่งไม่ใช่ชะตากำหนด แต่เป็นเพราะความพยายามของตัวเขาเอง!

มีโชควาสนากับจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขตแดนธารา มีความสามารถในการทำความเข้าใจที่แน่นอน และที่ยิ่งสำคัญไปกว่านั้นก็คือราคาความพยายามที่เขาจ่ายไป มากเกินกว่าทุกคน!

บางทีความสามารถในการทำความเข้าใจของเขาอาจสู้กุ่ยหยาไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาจ่ายไปคือเวลาที่แทบจะเป็นห้าเท่าของกุ่ยหยา และที่ทำได้นานขนาดนี้ก็เป็นเพราะกล้ามเนื้อและพลังชีวิตอันเปี่ยมล้นของเขา และที่กล้ามเนื้อกับพลังชีวิตของเขาแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะเขาฝึกวิชาอมตะมิวางวาย ซึ่งเป็นความอุตสาหะที่สะสมมาตลอดหลายปีนี้!

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เขาเข้าสู่การประจักษ์แจ้ง!

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!