บทที่ 1260 ซ่อมแซมตราผนึก
ร่างของผู้บงการนี่ฝานใหญ่โตเกินไป ในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เส้นตราผนึกสายเลือดที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าจึงมโหฬารดั่งเทือกเขาหลายสิบเส้นที่เรียงตัวอยู่ด้วยกัน หากไม่เป็นเพราะปราณสายเลือดของบรรพบุรุษขุยที่แผ่ออกมาขานรับกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ต่อให้เขาลอดทะลวงเขตปราการมาได้ ก็คงยากที่จะขยับเข้ามาใกล้เส้นตราผนึกสายเลือดนี้ได้
เวลานี้เมื่อเหยียบเข้ามา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันตาลาย แต่เมื่อมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนอีกครั้ง เขาก็เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่มืดมิดแห่งหนึ่ง หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ที่นี่เป็นทั้งเรือนกายของผู้บงการนี่ฝาน แล้วก็เป็นทั้งสถานที่ตั้งของตราผนึกสายเลือดด้วย และหากจะกล่าวให้แม่นยำยิ่งกว่านั้น แท้จริงแล้วที่นี่ก็คือ… เส้นชีพจรเส้นหนึ่งของผู้บงการนี่ฝาน!
เส้นชีพจรเส้นนี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่เขาเกิด แต่ถูกฝืนสร้างขึ้นโดยอาศัยพลังของตราผนึก ในขณะที่บุตรแห่งนิรันดร์กาลทั้งสามท่านต่อสู้กับเขาในปีนั้น! บัดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้มาอยู่ในเส้นชีพจรที่ถูกสร้างขึ้นเส้นนี้แล้ว
แม้ว่ารอบด้านจะกว้างใหญ่ไพศาลอย่างมาก แต่กลับเงียบกริบไร้สรรพสำเนียง และวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาในสถานที่แห่งนี้นั้นเอง ร่างของเขาก็มีแสงสีเลือดแผ่ออกมา!
เมื่อแสงนี้แผ่ออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ทันทีว่าร่างของตัวเองคล้ายกลายมาเป็นน้ำวนลูกหนึ่ง และทุกอย่างที่อยู่รอบด้านก็มีตนเป็นจุดศูนย์กลาง!
เส้นชีพจรเส้นนี้เป็นเหมือนแผ่นดินที่แห้งขอด การมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่บนร่างมีแสงสายเลือดแผ่ออกมา จึงเท่ากับไปหล่อเลี้ยงสร้างความชุ่มชื้นให้กับแปดทิศ ทั้งยังชักนำการขานรับจากสายเลือดที่อยู่โดยรอบได้รุนแรงมากกว่าเดิม ราวกับว่าเขาได้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของเส้นชีพจรเส้นนี้!
เมื่อสัมผัสถึงการแผ่ซ่านของสายเลือดในร่าง และสัมผัสได้ว่าพอตนมาถึงก็เกิดการขานรับกับสายเลือดรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตระหนักรู้ได้ทันทีว่าควรจะซ่อมแซมตราผนึกนี้อย่างไร!
“ข้ากลายมาเป็นต้นกำเนิด ถ้าเช่นนั้นการซ่อมแซมตราผนึกก็ต้องให้ข้าชักนำพลังสายเลือดที่อยู่รอบด้านมา ก็เหมือนกับชักนำให้เส้นใยตราผนึกแห่งสายเลือดนี้ตรงไปที่จุดตันเถียนของผู้บงการ และเมื่อเชื่อมโยงกับจุดนั้นได้แล้ว ก็เท่ากับว่าซ่อมแซมตราผนึกนั่นเสร็จสิ้น!”
“และท่ามกลางขั้นตอนนี้ หากข้าตายไปก่อน การปิดผนึกก็จะล้มเหลว ขณะเดียวกันหากข้าถอดใจแล้วหนีไปก่อน การซ่อมแซมครั้งนี้ก็ล้มเหลวเช่นกัน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวเหยียด เข้าใจดีว่าตัวเองไม่เหลือทางถอยอีกแล้ว จึงได้แต่กัดฟันกรอด ครั้นแล้วจึงพาแสงสีเลือดที่แผ่ออกมาจากร่างบินทะยานไปยังปลายทางของชีพจรเส้นนี้!
ยิ่งขยับเข้าไปใกล้จุดตันเถียนมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งซ่อมแซมตราผนึกได้ไวมากเท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงระเบิดความเร็วอย่างเต็มกำลัง ห้อทะยานไปตลอดทางโดยไม่มีหยุดชะงักแม้แต่น้อย!
และเวลานี้ในเส้นชีพจรอีกเส้นหนึ่ง ทั่วร่างของจักรพรรดิเซิ่งแผ่แสงสายเลือดแห่งบรรพบุรุษเซิ่ง และเขาเองก็กำลังบึ่งไปที่จุดตันเถียนเช่นเดียวกัน!
ส่วนนอกร่างของนี่ฝานในเวลานี้ ทุกคนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่กำลังสังเกตการณ์อยู่ต่างก็มองเห็นว่า เส้นใยสองเส้นบนเรือนกายใหญ่ยักษ์ของผู้บงการนี่ฝานบนท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้แผ่แสงหม่นมัว บัดนี้เส้นใยทั้งสองเส้นต่างก็ส่องแสงเจิดจ้า และกำลังมีการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า!
เมื่อแสงเคลื่อนไหว การดิ้นรนของร่างผู้บงการนี่ฝานก็คล้ายจะได้รับผลกระทบ จึงค่อยๆ ชะลอช้าลง ทว่าการซ่อมแซมตราผนึกไม่มีทางทำได้อย่างราบรื่นเช่นนี้แน่นอน ท่ามกลางความตึงเครียดของทุกคน ในเส้นชีพจรที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ ยิ่งทะยานลงไปข้างล่าง ม่านตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งหดตัวลงเรื่อยๆ
เบื้องหน้าเขาที่เดิมทีเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บัดนี้กลับพลันบิดเบือน ก่อนที่จะมีเงาดำมืดหลายเงาจำแลงออกมาอย่างรวดเร็ว บ้างก็เป็นนักพรต บ้างก็เป็นสัตว์ประหลาด มากมายแน่นขนัดหลายหมื่นตัว แต่ที่เหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้นก็คือ พวกมันต่างก็ไม่มีพลังชีวิตใดๆ บนร่างแต่ละตนแผ่กลิ่นอายแห่งความตายอบอวล ขณะเดียวกันร่างของพวกมันต่างก็เป็นภาพมายา ทว่าความดุร้ายที่แผ่ออกมากลับเด่นชัดมากเป็นพิเศษ
และก็ราวกับว่าในสายตาของพวกมัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือ… ศัตรูตัวฉกาจที่พวกมันต้องฆ่าให้ตาย ดังนั้นพอปรากฏตัวขึ้นมา แต่ละตัวจึงร้องคำรามแล้วกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ในบรรดาเงามายาเหล่านี้ บ้างก็มีตบะก่อกำเนิด บ้างก็มีตบะคนฟ้าซึ่งพวกมันต่างก็พากันกระโจนเข้ามาใกล้ในเสี้ยววินาทีจนมืดฟ้ามัวดินไปหมด แม้ว่าจำนวนจะมากมาย แต่กลับไม่มีตนไหนที่มีพลังการต่อสู้ของบุพกาล ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองแวบหนึ่ง ครั้นแล้วจึงร่ายชนาเขย่าภูเขาโดยไม่คิดจะหยุดชะงัก มองไปไกลๆ ร่างของเขาก็ราวกับกลายมาเป็นดาวตกดวงหนึ่ง ที่พุ่งชนทำลายทุกอย่างที่กีดขวางอยู่เบื้องหน้า เสียงตูมตามดังสะเทือนไปแปดทิศ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งเข้าชน เงามืดทั้งหลายที่อยู่ด้านหน้าเขาก็พากันพังทลายอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนชนแหวกออกเป็นเส้นทางสายหนึ่ง แต่ต่อให้ร่างของเงามืดพวกนั้นจะพังทลาย ทว่าเศษซากของพวกมันกลับไม่สลายหายไป กลับกันคือยังมาประกอบรวมตัวกันใหม่อีกครั้ง แล้วพุ่งเข้ามาขัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่สนใจสิ่งใด
หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่นี่รอบด้านยังมีเงามืดจำนวนมากกว่าเดิมจำแลงออกมาและเข้าร่วมการขัดขวางเขาครั้งนี้ด้วย มาถึงท้ายที่สุด จำนวนของพวกมันก็มีมากมายจนยากจะคำนวณได้ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเงามืดจำนวนน่าตะลึง แถมฆ่าก็ฆ่าไม่ตายแบบนี้ ความเร็วของเขาก็ยังต้องชะลอช้าลงอย่างห้ามไม่ได้
“สมควรตายนัก!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหเสียแล้ว เขาพลันยกมือขวาขึ้นทำมุทราแล้วชี้ออกไป ทันใดนั้นตะเกียงอมตะดวงหนึ่งก็จำแลงขึ้นมา เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ตบะเข้าใส่ เงามืดทั้งหมดที่อยู่รอบกายเขาก็กลายมาเป็นตะเกียงอมตะทั้งหมดแล้วลุกไหม้ติดไฟ ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดขึ้นอีกครั้ง พยายามจะสังหารฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้
“นี่ฝาน เจ้าหนีไม่รอดหรอก!!”
“นี่ฝาน ข้าจะฆ่าเจ้า!!”
“นี่ฝาน ต่อให้ข้าตายไป ก็ต้องให้เจ้าจ่ายค่าตอบแทนให้ได้!”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าวงล้อมออกมาก็เริ่มมีเสียงแผดคำรามดังมาจากในเงามืดที่อยู่รอบด้าน ท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังกึกก้องนี้ ก็มีเงามืดอีกชุดหนึ่งจำแลงขึ้น ครั้นจึงร้องคำรามเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็พอจะรู้ต้นสายปลายเหตุ เข้าใจได้ว่าเงามืดเหล่านี้น่าจะเป็นคนที่ผู้บงการนี่ฝานสังหารมาตลอดชีวิต ตัวเขาเองถูกปิดผนึก ไม่สามารถขัดขวางการเล่นงานจากคนนอกได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงใช้อำนาจจิตมาจำแลงเป็นเงามืดพวกนี้ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีพลังการต่อสู้อย่างที่เคยเป็นในอดีต ทว่าพวกมันก็ไม่ตายไม่ดับเหมือนกัน!
เมื่อเห็นว่ายิ่งนานจำนวนเงามืดพวกนั้นก็ยิ่งมากขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มร้อนใจเหมือนกัน ตบะบุพกาลระเบิดออกอีกครั้ง นอกกายเขามีพายุลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นแล้วโจมตีไปตลอดทางเสียงดังครืนครั่น ผ่านที่ใดก็ทำลายทุกสิ่งกีดขวางจนพังราบเป็นหน้ากลอง ฝืนบุกสังหารไปท่ามกลางเส้นชีพจรที่มีเงามืดห้อมล้อมอบอวลอย่างไม่หยุดยั้ง
บางครั้งก็ร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขา บางครั้งก็ร่ายใช้ตะเกียงอมตะ มาถึงท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถือโอกาสทำมุทราร่ายคัมภีร์วัฏจักรแห่งอดีตออกไปเป็นวงกว้าง ทำให้อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นมา แล้วทำการปิดผนึกเงามืดเหล่านี้โดยอัตโนมัติ!
เมื่อทอดสายตามองไป อักขระเหล่านี้เปล่งแสงพร่างพราวอย่างไร้ที่สิ้นสุด เหมือนกลายมาเป็นมหาสมุทรอักขระ ส่วนเงามืดพวกนั้นก็ถูกกักตัวอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรผืนนี้ ไม่สามารถสลัดหลุดออกมาได้ในทันทีทันใด จึงเป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าออกไปได้ในที่สุด หลังจากผ่อนลมหายใจโล่งอก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดความเร็วทะยานต่อไปโดยไม่เหลียวกลับมามองข้างหลัง
อีกทั้งเมื่ออยู่ภายใต้การทำมุทราของเขา รอบกายเขายังค่อยๆ มีสายฟ้าหลายเส้นก่อตัวขึ้นมา สายฟ้าเหล่านี้ไล่ล่ากันเอง แล้วก็เริ่มก่อตัวขึ้นรอบร่างเขามากขึ้นเรื่อยๆ พอเจอกับเงามืดอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเพียงแค่กวาดตามองไป สายฟ้าทั้งหมดก็พุ่งเข้าเขมือบกลืนเงามืดเหล่านั้นด้วยพลังอำนาจพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร!
และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใช้วิธีการเช่นนี้บุกฝ่าออกไปจนเกิดเป็นเส้นทางเส้นหนึ่ง
ขณะเดียวกันทางฝ่ายจักรพรรดิเซิ่งเองก็พบเจอกับเงามืดลักษณะเดียวกัน ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งบุพกาล แม้ว่าเขาจะเทียบกับป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ ทว่าตัวจักรพรรดิเซิ่งเองก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน ต่อให้วิธีการที่ใช้จะแตกต่างกันมาก แต่ในด้านความเร็วกลับไม่เป็นรองกันสักเท่าไหร่ รอบกายเขาแผ่แสงจันทร์นวลตา ผ่านที่ใดแสงจันทร์เป็นเส้นๆ ก็พุ่งไปเบื้องหน้ากระแทกแหวกทางให้แก่เขา เป็นเหตุให้เขาที่พกพาแสงแห่งสายเลือดทะยานไปได้อย่างไม่หยุดชะงัก!
อีกทั้งบางครั้งบนร่างของเขายังมีดอกบัวมายาเบ่งบานขึ้นมา ทุกครั้งที่ดอกบัวปรากฏขึ้น ความว่างเปล่ารอบกายเขาก็จะพังครืนลงมากลบฝังเงามืดจำนวนมากเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
จักรพรรดิเซิ่งเองก็ทุ่มสุดกำลังเหมือนกัน นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิแสถูกเปิดโปง เขาก็สัมผัสได้ถึงวิกฤตร้ายแรงที่มาจากยักษ์ผู้บงการ และเมื่ออยู่ท่ามกลางหายนะความเป็นความตายนี้ ทุกประโยคที่เขาพูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเป็นความจริงทั้งหมด
ท่ามกลางเสียงคำรามเหี้ยมเกรียมของเขา ทั่วร่างของจักรพรรดิเซิ่งแผ่แสงเจิดจ้า ระเบิดความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
บนพื้นดินของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ในสายตาของคนนับไม่ถ้วน บัดนี้เส้นใยสองเส้นที่อยู่บนร่างผู้บงการนี่ฝานแผ่แสงเจิดจ้าพร่างพราว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เส้นของจักรพรรดิเซิ่งที่เนื่องจากเดิมทีก็ไม่ได้หม่นแสงลงไปมากนัก ตอนนี้เมื่อมองดูแล้วจึงมีความมั่นคงมากกว่า ยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้ความเร็วสูงสุดของเขา ตอนนี้พอเมื่อมองไปจึงเห็นว่าบนเส้นทางการไปสู่ตำแหน่งตันเถียน เขาได้เดินมาครึ่งทางแล้ว!
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น ก่อนหน้านี้ตราผนึกแห่งสายเลือดของบรรพบุรุษขุยหม่นแสงลงไปถึงแปดส่วน แม้จะไม่ถือว่าเขาต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่หมด แต่ก็แทบจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ท่ามกลางการระเบิดความเร็วของเขาในเวลานี้ เขาก็ได้ซ่อมแซมตราผนึกสายเลือดจากก่อนหน้านี้ที่มีแค่หนึ่งส่วนกว่ามาถึงสองส่วนขึ้นแล้ว!
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ยิ่งตึงเครียดกระวนกระวาย โดยเฉพาะพวกต้าเทียนซือที่ยิ่งไม่สบายใจ แต่ละคนมีสีหน้ากลัดกลุ้มเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวกันก็บังเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างลึกล้ำ เรื่องครั้งนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป
แต่ก็เนื่องจากความกะทันหันนี้ที่ทำให้ทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งมีโอกาสที่จะได้ชดเชยแก้ไข หาไม่แล้ว หากไม่มีการสังหารจักรพรรดิแสในครั้งนี้ เกรงว่าเมื่อแผนการทั้งหมดของจักรพรรดิแสมั่นคงดีแล้ว สิ่งที่รอดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอยู่ย่อมต้องเป็นหายนะแห่งความตาย ที่ไม่มีโอกาสหวนคืนมาแก้ไขได้อีก!