บทที่ 1261 บรรพบุรุษ
เสียงกัมปนาทที่ดังอยู่ในเส้นชีพจร คนของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลมิอาจได้ยิน หรือแม้แต่อันตรายที่พบเจออยู่ข้างในนั้น คนข้างนอกก็มองไม่เห็นเช่นกัน พวกเขาได้แต่มองไกลๆ ไปยังจุดแสงอันเป็นตัวแทนของป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อชักนำเส้นใยตราผนึกไปยังจุดตันเถียนทีละนิดเท่านั้น
และหากมีการหยุดชะงัก ก็เท่ากับว่าพวกเขาพบเจอกับการขัดขวาง!
เวลานี้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนได้หยุดชะงักลงเป็นครั้งแรก ท่ามกลางความบิดเบือนของพื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาได้มีเงาดำอีกชุดหนึ่งโผล่ขึ้นมา เงาดำชุดนี้มีทั้งหมดเก้าตน ซึ่งต่างก็แผ่ตบะของบุพกาล!
ต่อให้ตบะของพวกมันจะอ่อนจางมากแล้ว แต่เงาบุพกาลทั้งเก้าก็ยังคงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ยิ่งหลังจากที่พวกมันปรากฏตัวยังแสดงท่าทางดุร้ายอำมหิต ราวกับว่ามองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นนี่ฝาน ปณิธานของการเข่นฆ่าจึงเด่นชัดมากเป็นพิเศษ!
“บัดซบ ข้าไม่ใช่นี่ฝานสักหน่อย ทำไมพวกเจ้าต้องเอาความแค้นที่มีต่อนี่ฝานมาระบายกับข้าด้วย!”
ต่อให้จะรู้ว่าอีกฝ่ายก่อตัวขึ้นจากอำนาจจิตของนี่ฝาน ซึ่งอีกฝ่ายจงใจรักษาความเกลียดแค้นตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่เอาไว้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังอดโมโหไม่ได้
ยามนี้มือขวาของเขากำแน่น เพื่อซ่อมแซมตราผนึกให้ได้โดยเร็วที่สุด หลังจากหยุดชะงักไปในช่วงเวลาสั้นๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระโจนออกมาอีกครั้ง มือขวาที่กำเป็นหมัดของเขารวบรวมพลังกล้ามเนื้อเอาไว้ แม้จะไม่ใช่หมัดผู้บงการมิดับสูญ แต่ด้วยพลังการต่อสู้ของเขาในเวลานี้ หมัดนี้ก็ยังน่าตะลึงมากอยู่ดี!
เสียงตูมตามดังขึ้นหลังจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย ปล่อยให้การฟื้นตัวด้วยบทมิวางวายของตนทำหน้าที่ไป ส่วนตัวเขาก็กระโจนออกไปเข่นฆ่า เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว หลังจากที่หมัดหนึ่งต่อยให้เงามืดของบุพกาลท่านหนึ่งระเบิดแตกกระจายได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดกายวูบมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเงามืดบุพกาลอีกครั้ง แล้วก็ปล่อยไปอีกหนึ่งหมัด!
และเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดพลังอย่างเต็มกำลังเช่นนี้ เขาอาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่ง อาศัยความเร็วที่น่าตะลึงและพลังการฟื้นตัวของบทมิวางวาย ใช้บาดแผลแลกด้วยบาดแผล เพื่อสังหารเงามืดทั้งเก้า!
เขาทำทุกอย่างได้คล่องแคล่วฉับไวอย่างถึงที่สุด ยังไม่ทันรอให้เงามืดทั้งเก้ามารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บินทะยานออกไปจากพื้นที่แห่งนี้ได้แล้ว พอหลุดพ้นมาได้ ลมหายใจของเขาก็หอบกระชั้นเล็กน้อย จำต้องหยิบยามากลืนลงไป ก่อนจะตะลุยไปเบื้องหน้าอีกครั้ง
แต่ไม่นานเบื้องหน้าของเขาก็มีเงาบุพกาลปรากฏขึ้นมาอีก คราวนี้จำนวนมากกว่าก่อนหน้านั้น เพราะมีมากถึงยี่สิบตน นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโอดครวญขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มมีเส้นเลือดฝอยปรากฏ เขาคำรามกร้าว รีบยกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราแล้วร่ายคัมภีร์แห่งอนาคตกาลแดนนิพพาน!
เมื่อคัมภีร์ถูกร่ายออกมา เมื่อชะตาชีวิตเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่แผดเสียงตะโกนก็พุ่งเข้าไปเข่นฆ่าอีกครั้ง ตรวนสลายลำคอ ชนาเขย่าภูเขา ตะเกียงอมตะ วิชาอภินิหารที่ไม่ได้เผาผลาญพลังตบะมากนักล้วนถูกป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้ทั้งหมด
เขารู้ดีว่าเส้นทางสายนี้ยาวไกล อีกทั้งยิ่งเป็นช่วงหลังก็เกรงว่าคงยิ่งยากลำบาก เขาจึงไม่กล้าเผาผลาญพลังตบะของตนอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะเมื่อมาอยู่ในเส้นชีพจรเส้นนี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ว่ารอบกายไม่มีพลังวิญญาณ ซึ่งหากตบะถูกเผาผลาญไปก็ยากมากที่จะหามาชดเชยได้
แต่ว่ายังดีที่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งสายเลือด เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อและการฟื้นพลังของป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้ดีขึ้นกว่าตอนอยู่ข้างนอกอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางเสียงดังอึกทึกที่ก้องกังวานไม่ขาดหาย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บุกฝ่าเข่นฆ่าไปตลอดทางอีกครั้ง และทุกอย่างก็เริ่มเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ เมื่อเวลาในการบินทะยานของเขานานขึ้น การปรากฎตัวของเงามืดก็ลดน้อยลงไปเป็นลำดับ
แต่ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเพิ่มความระแวงมากขึ้น ยิ่งขยับไปข้างหน้า อำนาจจิตของเขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่าเบื้องหน้ามีปราณที่น่าตะลึงอยู่ขุมหนึ่งซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันชะงักฝีเท้า ม่านตาทั้งคู่หดตัว เวลานี้ในเส้นชีพจรเบื้องหน้าเขา เมื่อความว่างเปล่ารอบด้านบิดเบือน ก็มีโลงศพสีแดงโลงหนึ่งลอยออกมาช้าๆ
ในโลงนี้แผ่ปราณที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญผวา ดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในโลงศพนั้นจะไม่ใช่นักพรต แต่กลับแผ่กลิ่นอายความอำมหิตและบ้าคลั่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังโลงใบนั้น โลงนี้ก็พลันส่องแสงจ้าบาดตาและลอยหวืดเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ความเร็วนั้นมีมากจนเข้ามาใกล้เพียงชั่วกะพริบตา!
“ขนาดผี… นายท่านป๋ายของเจ้าก็ยังไม่กลัว แล้วจะกลัวโลงศพอย่างเจ้างั้นรึ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่ ยกมือขวาทำมุทราแล้วพลันชี้ไป ทันใดนั้นความว่างเปล่าที่อยู่รอบโลงก็บิดเบือน แรงดึงดูดปรากฏขึ้นมา ความเร็วในการไหลหายไปของเวลาชะลอช้าลง เป็นเหตุให้ความเร็วที่น่าตะลึงของมันลดฮวบลงไปทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับร่างไปใกล้ในเสี้ยววินาทีโดยไม่มีความลังเลใด เมื่อยกมือขวาขึ้นก็เป็นครั้งแรกที่เขาร่ายหมัดผู้บงการมิดับสูญ หมัดกระแทกไปข้างหน้า แปดทิศอื้ออึงไปด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมๆ กับที่เงามายาด้านหลังเขาก็ปล่อยหมัดออกไปเช่นกัน
เสียงตูมตามดังลั่นเกริกก้อง โลงใบนั้นพยายามจะเบี่ยงหลบ แต่กลับถูกกาลเวลาพันธนาการเอาไว้จนมิอาจหลบเลี่ยงการโจมตีเต็มพลังของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ พริบตาเดียวพายุที่เกิดจากหมัดของเขาก็กระแทกลงไปบนโลง โลงทั้งใบพลันสั่นสะเทือน เสียงเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นไม่นาน โลงทั้งใบก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ!
ทว่าวินาทีที่โลงแตกออกนั้นเอง เสียงร้องคำรามโหยหวนกลับดังออกมาจากในโลงที่แหลกลาญใบนี้ ครั้นแล้วแสงเลือดผืนหนึ่งก็แผ่กว้างไปแปดทิศจนเหมือนจะก่อตัวขึ้นเป็นมหาสมุทรเลือด ก่อนที่จระเข้สีเลือดขนาดมหึมาตัวหนึ่งจะเผ่นพรวดออกมาอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากกว้างเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนจะเคี้ยวกลืนพลังชีวิตของเขาให้สิ้นซาก!
อีกทั้งบนร่างของมันยังมีริ้วคลื่นบุพกาลที่สร้างความพรั่นพรึงให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ออกมา ริ้วคลื่นนี้แข็งแกร่งจนแทบไม่เป็นรองกับคลื่นที่แผ่จากจักรพรรดิแสก่อนหน้านี้เลย
หากเปลี่ยนมาอยู่ข้างนอก การรับมือกับเจ้าสิ่งนี้อาจจะดีกว่าหน่อย ทว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าอีกฝ่ายแทบไม่ตายไม่ดับ มีทั้งตบะอันแข็งแกร่ง มีทั้งเรือนกายที่ไม่รู้จักตาย ต่อให้เวทคาถาของเขาจะสลายร่างของมันได้ มันก็ยังกลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง และหากโรมรันพันตูกันไม่เลิก ก็ไม่เพียงแต่เสียเวลาในการซ่อมแซมตราผนึก ยังอาจจะชักนำเงามืดจากรอบด้านมาเพิ่มมากกว่าเดิมด้วย
“หากจะสู้เร็วจบเร็ว… ก็คงมีแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันถอยกรูดไปด้านหลัง สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับยกมือขวาขึ้นทำมุทรา แล้วยกมือกดทับลงไปเบื้องล่าง
“เขตแดน!” เสียงกัมปนาทระเบิดอึกทึก ต่อให้ที่นี่จะเป็นในร่างของผู้บงการ แต่เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา รอบด้านก็ยังมีไอน้ำระเหยอบอวล ซ้ำเบื้องล่างยังมีภาพมายาปรากฏ ราวกับว่าจะจำแลงมาเป็นหนองบึงขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง
“ธารา!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามร้าว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร่ายใช้เขตแดนธาราหลังจากกลายมาเป็นบุพกาล แล้วก็มีเพียงใช้วิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถทำลายเจ้าจระเข้สมควรตายตัวนี้ให้วอดวายไปได้โดยตรง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปได้อย่างรวดเร็ว
แทบจะวินาทีเดียวกับที่คำว่าธาราหลุดออกมาจากปาก หนองบึงที่มีไอน้ำแผ่กำจายแห่งนี้ก็พลันระเบิดปราณที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าจระเข้ตัวนั้นหลายเท่าจนเกินจะคณานับ จระเข้ที่เมื่อครู่ยังดุร้ายเหี้ยมหาญ มาบัดนี้กลับตัวสั่นสะท้าน ดวงตาที่แต่เดิมฉายความบ้าคลั่งของมันกลับแทนที่มาด้วยความหวาดกลัวและเสียขวัญ ยังไม่ทันรอให้สัตว์แห่งชะตาชีวิตในเขตแดนธาราของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยตัว จระเข้ตัวนี้กลับหันหัวกลับเผ่นหนีไปในทันที!
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตาค้าง เขายกมือเกาหัวอย่างอดไม่อยู่ นั่นเป็นเพราะว่าในอดีตเวลาที่เขาร่ายใช้เขตแดนธารา ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ปรากฏมาก่อน อีกทั้งในการวิเคราะห์ของเขา จระเข้ตัวนั้นก็น่าจะเกิดจากอำนาจจิตของนี่ฝาน แต่มันกลับยังรู้จักหนีเอาตัวรอด นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจอย่างมาก
“หรือว่ามันไม่ได้เกิดจากอำนาจจิตของนี่ฝาน? หรือจะบอกว่าเป็นเพราะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ จระเข้ตัวนั้นแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นพอตายไปแล้วจึงยังเหลือสัญชาตญาณอยู่อีกเสี้ยวหนึ่ง?”
หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น ไม่แน่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะปล่อยให้สัตว์แห่งชะตาชีวิตของตัวเองเผยตัว ทว่าตอนนี้เขารีบทำเวลา ทั้งยังเสียดายหากต้องใช้พลังวิญญาณ จึงทำเพียงโบกมือหนึ่งครั้ง ขณะที่เสียงคำรามอย่างอัดอั้นดังมาจากสัตว์แห่งชะตาชีวิตในเขตแดนธารา เขตแดนธาราของเขาก็สลายวับไปโดยตรง
ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเพิ่มความเร็วห้อตะบึงไปเบื้องหน้า และเวลานี้เอง ทางฝ่ายของจักรพรรดิเซิ่ง การซ่อมแซมตราผนึกสายเลือดของเขาก็สำเร็จไปแล้วถึงเก้าส่วน และกำลังจะไปถึงจุดตันเถียนของผู้บงการ แต่จู่ๆ เขากลับได้มาเจอ… ผู้ขัดขวางที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน ซ้ำร้ายคือไม่มีทางที่จะสามารถเอาชนะได้!!
ในช่องทางที่จักรพรรดิเซิ่งอยู่ จักรพรรดิเซิ่งยืนตัวสั่น มองเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ซึ่งเดิมทีเขายืนนิ่งไม่ขยับ แต่บัดนี้กลับลืมตาทั้งคู่ขึ้น!
คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ลักษณะสุภาพสง่างาม ตรงหว่างคิ้วมีปานรูปเปลวเพลิงอยู่กองหนึ่ง เมื่อเขาลืมตาทั้งคู่ขึ้น ในลูกตาดำของเขากลับแผ่แสงแห่งการเวลาอันยาวนานแจ่มจ้า!
“บรรพบุรุษเซิ่ง!” จักรพรรดิเซิ่งพึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงขมขื่น
คนที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็คือบรรพบุรุษเซิ่ง หนึ่งในบุตรแห่งนิรันดร์กาลสามท่าน! แล้วก็เป็นบรรพบุรุษของจักรพรรดิเซิ่ง เป็นต้นกำเนิดทางสายเลือดของเขา!
ศึกนี้ไร้ซึ่งความพะวงห่วงหา เมื่อบรรพบุรุษเซิ่งลืมตา เมื่อเขายกเท้าก้าวออกมา สงครามจากผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน แต่ปณิธานต่างกันก็พลันระเบิดปะทุ!
การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินไปได้ไม่นานนัก จักรพรรดิเซิ่งก็เป็นฝ่ายกระอักเลือด ท่ามกลางรอยยิ้มขื่นขม เขาจำต้องเลือกไปจากเส้นตราผนึกแห่งสายเลือดเส้นนี้ เพราะหากไม่ไปเขาก็ต้องตายอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเขาจากไป เส้นตราผนึกสายเลือดเส้นนี้ก็พลันดับแสงวูบ และเพียงแค่ชั่วพริบตา ท่ามกลางการจับตามองของทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล พวกเขาก็เห็นว่าเส้นใยที่อยู่บนร่างของผู้บงการเส้นนี้กลับ… ปริแตกออกทีละชุ่นแล้วระเบิดแตกทั้งสาย!!
ไม่สำเร็จ ทั้งยังล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง!
ภาพนี้ทำให้จักรพรรดิเซิ่งที่จากไปยิ่งสิ้นหวัง เขาพลันเข้าใจแล้วว่า บางทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุที่ยักษ์ผู้บงการตนนี้ดิ้นรน ทุกอย่างนี้…ล้วนเป็นกลลวงอย่างหนึ่ง!
เขาต้องการจะใช้พลังของจักรพรรดิเซิ่งและของป๋ายเสี่ยวฉุน มาเพิ่มความเร็วในการพังทลายตราผนึกของตัวเอง!