บทที่ 1265 ผู้บงการ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างนอก ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไม่เห็น แล้วก็ไม่มีเวลาไปให้ความสนใจ ตอนนี้เมื่อผ่านการต่อสู้กับบรรพบุรุษขุยมาแล้ว ร่างกายของเขาจึงรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างหนัก ยังดีที่ด้านหนึ่งมีการฟื้นตัวของบทมิวางวายซึ่งยังคงโคจรไปอย่างต่อเนื่อง
อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะว่าตอนที่ต่อสู้กับบรรพบุรุษขุย เขาได้กักเก็บพลังตบะเอาไว้ไม่น้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกสิ่งที่ทำมาเสียเปล่าเมื่อมาถึงช่วงสุดท้ายของการซ่อมแซมตราผนึก
“สิ่งที่บรรพบุรุษขุยทิ้งไว้ในอวัยวะทั้งห้าของข้า น่าจะเป็นบทที่หกของบทมิวางวาย!”
ขณะที่ห้อทะยานไปข้างหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คอยรับสัมผัสกับแสงห้าสีที่ได้จากบรรพบุรุษขุยซึ่งแผ่ออกมาจากในอวัยวะทั้งห้าของเขาไปด้วย และนั่นทำให้ในใจของเขาบังเกิดความอบอุ่น
แต่นอกจากความอบอุ่นแล้ว เขากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างอื่น น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาให้มัวมาคิดลึก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้แต่ทำใจให้สงบ ไม่ใคร่ครวญเรื่องของแสงในอวัยวะทั้งห้าอีกต่อไป ยังคงทะยานไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องระยะทางช่วงสุดท้ายนี้แตกต่างไปจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไว้เล็กน้อย เพราะไม่มีเงามืดตัวไหนปรากฏขึ้นอีก ราวกับว่าเมื่อมาถึงที่นี่ เงามืดจะไม่สามารถก่อตัวขึ้นมาได้อีกแล้ว แต่กระนั้นใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังคงไม่เป็นสุข เขามักจะมีความรู้สึกว่าตำแหน่งปลายทางที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งก็คือตำแหน่งจุดตันเถียนของนี่ฝานจะต้องมีศัตรูตัวฉกาจที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงรออยู่
ความรู้สึกเช่นนี้มาจากลางสังหรณ์โดยตรงของบุพกาล ภายใต้อารมณ์ที่ตึงเครียดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงตั้งใจชะลอความเร็วให้ช้าลง
จนกระทั่งเมื่อพลังกล้ามเนื้อของเขาฟื้นตัวได้เกินครึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาวุ่นวายที่ไม่จำเป็นตามมา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเพิ่มความเร็วทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่มัวลังเลอีก
ไม่นานนักเมื่อในสายตาของทุกคนที่อยู่ในดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเห็นว่าจุดแสงที่เป็นตัวแทนของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เข้าไปถึงตำแหน่งจุดตันเถียนแล้ว
เบื้องหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีห้วงจักรวาลมืดดำผืนหนึ่งปรากฏขึ้นมา!
ประหนึ่งน้ำทะเลสีดำแล้วก็เป็นดั่งราตรีที่มืดมิด กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งใหญ่ไพศาลสุดประมาณ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าขอแค่ตนสัมผัสเข้ากับห้วงจักรวาลผืนนั้นก็จะสามารถซ่อมแซมตราผนึกสายเลือดได้อย่างสัมบูรณ์ และจะสามารถเชื่อมโยงหว่างคิ้วเข้ากับจุดตันเถียนของผู้บงการนี่ฝานได้
เพียงแต่ว่า… ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมจะพุ่งเข้าไปในพื้นที่นั้นนั่นเอง ทันใดนั้นข้างหูของเขาก็มีเสียงถอนหายใจที่เหมือนกับแว่วมาจากกาลเวลาอันห่างไกลดังขึ้นมา!
เสียงถอนหายใจนี้เพิ่งจะดังขึ้นก็มีพละกำลังมหาศาลขุมหนึ่งแผ่พุ่งมาจากเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก่อตัวกลายมาเป็นปราการชั้นหนึ่งที่สกัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ข้างนอก
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ร่ายใช้ผนึกมิวางวายทันทีอย่างไม่มีลังเล ทว่าผนึกมิวางวายที่เคยลอดทะลวงทุกตราผนึกได้อย่างราบรื่นในทุกครั้งกลับล้มเหลวเป็นครั้งแรกที่นี่!
เสียงตูมดังสนั่น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกดีดกระเด็นออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังจุดที่ห่างไปไม่ไกลซึ่งบัดนี้ในความว่างเปล่าเริ่มค่อยๆ มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
เงาร่างนี้นั่งขัดสมาธิหันหลังให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาสวมชุดจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ ตบะทั้งร่างแผ่ความยิ่งใหญ่ไพศาล ลึกล้ำจนเกินคาดเดา เป็นเหตุให้เพียงมองครั้งเดียวป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกปวดตา ในใจก็ยิ่งมีคลื่นยักษ์ถาโถม
นั่นก็เพราะ… เขาคาดไว้แล้วว่าอาจต้องได้พบเจอใครสักคนในที่แห่งนี้ แล้วก็เคยคิดด้วยว่าบางทีอาจได้พบคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ทว่าคนผู้นี้กลับเป็นคนที่เขาไม่อยากพบเจอเอาเสียเลย
ขณะที่สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่น่ามองสักเท่าไหร่ เงาร่างที่นั่งหันหลังให้เขาก็ค่อยๆ หันหน้ากลับมา เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายที่ทั่วร่างแผ่ความเป็นเซียนอบอวล เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมสูงส่ง
ใบหน้าที่แผ่บารมีน่าเกรงขามได้โดยที่ไม่ต้องแสดงความโกรธ แฝงเร้นด้วยกลิ่นอายของความหนักแน่นมั่นคง ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายอยู่ตรงหน้า คนผู้นี้ก็ไม่มีทางแสดงความหวั่นไหวใดๆ ออกมา เขา…ก็คือ…
“ผู้บงการเต้าเฉิน…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยเน้นย้ำทีละคำ ในใจขมขื่น ขณะเดียวกันก็แอบถอนหายใจอยู่ในใจ เขาไม่รู้ว่าคราวนี้ตนจะทำสำเร็จได้หรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากจะลองสื่อสารหมายดูว่าผู้บงการเต้าเฉินยังคงมีจิตสำนึกอยู่หรือไม่
เพียงแต่ว่ายังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยอะไร ดวงตาของเต้าเฉินพลันฉายแสงคมกริบ มือขวายกขึ้นชี้ใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน การชี้ครั้งนี้มาพร้อมกับแสงสว่างสีขาวเส้นหนึ่งที่ปรากฎตัวขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าแล้วตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
“แสงแห่งบุพกาล!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องอุทานเสียงหลง ร่างถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว เสียงตูมดังสนั่น สถานที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ก็แตกทลายออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะแสงแห่งบุพกาลเส้นนี้!
“หรือว่าแสงแห่งบุพกาลไม่ใช่เวทอาคมแห่งกระดานหมากรุกที่อยู่บนเรือในพัดวิเศษ? แต่เป็นเวทอาคมที่ผู้บงการเต้าเฉินนาบประทับไว้ข้างใน? หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นแท้จริงแล้วแสงแห่งบุพกาลก็น่าจะเป็น…แสงแห่งผู้บงการ?”
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหนัก แม้ว่าเขาจะได้ความทรงจำช่วงหนึ่งของผู้บงการเต้าเฉินมา แต่ในความทรงจำช่วงนี้ไม่มีส่วนที่เกี่ยวกับคาถาอาคมของเขา ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนถึงเพิ่งตระหนักเอาตอนนี้ว่า บางทีทุกอย่างที่อยู่บนพัดวิเศษอาจจะไม่เหมือนกับที่ตัวเองคาดเดาเอาไว้
และวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหนีนั้นเอง เมื่อเต้าเฉินโบกมือ ทันใดนั้นแสงแห่งบุพกาลเส้นแล้วเส้นเล่าก็จำแลงออกมาแล้วพุ่งเข้าประหัตประหารป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเบี่ยงตัวหลบว่องไว นั่นเป็นเพราะแสงแห่งบุพกาลทุกเส้นล้วนทำให้เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตราย และในที่สุดเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ลิ้มรสกับความรู้สึกปวดหัวของจักรพรรดิแสยามที่เขาต้องเผชิญกับแสงแห่งบุพกาลแล้ว
แสงแห่งบุพกาลพวกนี้มีมากเกินไป เมื่อมาอยู่ในมือของผู้บงการเต้าเฉินก็ราวกับไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีขีดจำกัดทางด้านจำนวน ท่ามกลางเสียงกัมปนาทเกริกก้องก็ราวกับฝนห่าใหญ่ที่เทกระหน่ำลงมา ผ่านที่ใดทุกสิ่งที่กีดขวางก็ล้วนพังราบเป็นหน้ากลอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้เพียงถอยหนี และไม่นานเขาที่สภาพกระเซอะกระเซิงสุดขีดก็คำรามขึ้นมาดังลั่น
“แสงแห่งบุพกาลแล้วจะอย่างไร!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตบลงไปบนถุงเก็บของของตัวเอง ทันใดนั้นก็มีไฟหลายสีบินออกมา ยี่สิบสี ยี่สิบเอ็ดสี ยี่สิบสองสี…จนกระทั่งถึงยี่สิบเจ็ดสี!
ไฟหลายสีเหล่านี้ล้วนเหลือมาจากตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมไฟสามสิบสี เวลานี้ถูกเขาหยิบออกมาไม่น้อย ครั้นแล้วก็โบกมือไปข้างหน้าหนึ่งที ทันใดนั้นทะเลเพลิงก็ลุกโชติช่วงไปสี่ด้าน เผาไหม้แปดทิศ แม้ว่าแสงแห่งบุพกาลเหล่านั้นจะคมกริบ แต่เมื่อต้องปะทะกับทะเลไฟหลายสีก็ยังถูกลดทอนกำลังลงไปไม่น้อย และเมื่ออาศัยทะเลไฟหลายสีเหล่านี้ ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจได้อย่างโล่งอก จากนั้นดวงตาของเขาก็ฉายประกายลุกเรือง
“เขาอ่อนแอกว่าที่อยู่ในความทรงจำของข้าไปมากจริงๆ ศึกนี้… ใช่ว่าจะเอาชนะไม่ได้เสียเลย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็เตรียมจะกระโจนออกไป ทว่าเวลานี้เอง ดวงตาของผู้บงการเต้าเฉินกลับเปล่งแสงวาบ มือซ้ายของเขายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง การโบกครั้งนี้กลับทำให้มือซ้ายของเขาเปลี่ยนมาเป็นโปร่งแสง เมื่อตั้งใจมองกลับเหมือนว่ามือของเขาประกอบขึ้นจากน้ำ และพอเขาโบกมือ หยดน้ำจำนวนมากก็ดีดกระเซ็นออกมาจากในมือซ้ายของเขา
หยดน้ำเหล่านี้มีมากจนพอมารวมตัวกันก็กลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่เส้นหนึ่ง แม่น้ำสายนี้ซัดตะลุยไปแปดทิศ ระลอกคลื่นที่อยู่ในแม่น้ำ มองไกลๆ ก็ราวกับมังกรคะนองน้ำตัวหนึ่ง!
ไม่ว่าหยดน้ำหยดใดที่อยู่ข้างในล้วนแฝงเร้นไว้ด้วยพลังหนักอึ้งนับหมื่นจั้ง พอพวกมันพากันจำแลงขึ้นมาทั้งหมดก็ทำให้สี่ทิศอื้ออึงไปด้วยเสียงกัมปนาท ทั้งยังมีพลานุภาพสยบรุนแรงที่ยากจะบรรยายขุมหนึ่งเยื้องกรายลงมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ยังมีไอความเย็นที่แผ่เป็นระลอกไปสี่ทิศ ไอความเย็นนี้น่าครั่นคร้ามอย่างมาก แม้แต่ทะเลเพลิงของไฟหลายสีก็ยังกำราบเอาไว้ไม่อยู่ เพียงแค่ชั่วพริบตาทะเลไฟหลายสีก็มอดดับลงไปเกินครึ่ง!
เป็นเหตุให้แสงแห่งบุพกาลพวกนั้นระเบิดพลังออกมาอีกครั้ง!
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้แค่ถอยหนีไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว วินาทีที่มองเห็นแม่น้ำสายนี้ เขาก็พลันยิ้มเจื่อน เพราะมองปราดเดียวก็จำได้ว่านั่นคือแม่น้ำสายใหญ่ที่อยู่ในหน้าพัดของพัดวิเศษ และเวลานี้เขาก็ยิ่งมั่นใจต่อการคาดเดาเกี่ยวกับพัดวิเศษมากขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันขยับร่าง ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกเช่นกัน!
วิชาอภินิหารอย่างที่สี่ เวทลับล่อสังหารพลันถูกร่ายออกมา!
พื้นที่ตั้งของแม่น้ำสายนี้ยุบยวบลงเป็นหลุมแล้วเกิดการบิดเบือนในทันที และพอมีการบิดเบือนแรงดึงดูดก็พลันเกิดขึ้น จึงไปส่งผลกระทบต่อความเร็วในการไหลหายไปของเวลา แม่น้ำสายใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ยังไหลเชี่ยวรุนแรงอย่างถึงที่สุด มาบัดนี้กลับค่อยๆ ชะลอความเร็วลงราวกับเริ่มถูกปิดผนึกไปทีละนิดอย่างไรอย่างนั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่าถึงแม้วิชาล่อสังหารจะเป็นเวทแห่งต้นกำเนิดเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับผู้บงการเต้าเฉินแล้วก็ยังคงมีความแตกต่าง ต่อให้คนที่อยู่เบื้องหน้านี้จะไม่มีพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเต้าเฉิน
แต่กระนั้นก็ยังสร้างความกดดันมหาศาลให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้อยู่ดี เวลานี้เขาจึงกระโจนเข้าใส่เต้าเฉินอย่างไม่เหลือความลังเล!
“ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาเอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้น หากข้าทิ้งระยะห่างกับเขา เมื่อเจอกับแสงแห่งบุพกาล ข้าก็ไม่มีทางขยับเข้าไปใกล้เขาได้เลย ตอนนี้… คงได้แต่เข้าไปสู้ในระยะประชิดเท่านั้น!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกระโจนออกไป ขณะที่เขากำลังจะขยับเข้าไปใกล้เต้าเฉิน เต้าเฉินกลับขมวดคิ้วน้อยๆ และเมื่อเขายกมือขวาขึ้นโบกอีกครั้ง กลางฝ่ามือเขาก็มีภูเขาลูกหนึ่ง…จำแลงขึ้นมา!
“ภูเขาแห่งต้นกำเนิด!!”
ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีการเตรียมใจมาก่อน ทว่าวินาทีที่มองเห็นภูเขาลูกนี้ เขาก็ยังใจหายวาบ เพราะภูเขาลูกนี้ก็คือยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของ… ต้นกำเนิดเต๋าเป็นตาย!
“เต้าเฉินเอ๋ย นี่เจ้านาบประทับวิชาอภินิหารทั้งหมดของเจ้าไว้ในพัดเล่มนั้นหรอกหรือนี่” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันปวดหัวแปล๊บ หากไม่เป็นเพราะว่าเมื่ออยู่ที่นี่เขาไม่สามารถเรียกพัดวิเศษให้มาหาได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อยากจะเรียกพัดวิเศษมาสู้กับเต้าเฉินดูสักตั้งจริงๆ