บทที่ 1270 เคียงข้าง
ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย ทว่าทุกคนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ตอนนี้ นอกจากคนที่สนิทสนมกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็คือคนที่มีตบะเป็นเทียนจุน หากไม่ใช่ว่าพวกเขารู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี ก็เป็นเพราะเดิมทีก็รู้ความลับมาไม่น้อย เวลานี้ท่ามกลางความเงียบงัน คนเหล่านั้นจึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างขมขื่น
เนิ่นนาน ทุกคนที่พกพาเอาความเลื่อนลอย ความหวาดกลัวต่ออนาคตและความไร้กำลังก็ทยอยกันจากไป ต่อให้เป็นต้าเทียนซือที่แต่ไรไหนมาก็ฉลาดเฉลียวมากด้วยแผนการ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ไม่ว่าจะวางแผนอย่างไรก็มิอาจคลี่คลายได้ครั้งนี้ เขาก็เหมือนว่าจะแก่ชราลงไปอีกเยอะมาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองแผ่นหลังของพวกเขาที่จากไป เผยอปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ได้แต่ขยับปากเบาๆ โดยที่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว เขาไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจทุกคนอย่างไร เพราะเขาเองก็กำลังหนักใจอยู่เหมือนกัน
จนกระทั่งท้ายที่สุดเมื่อในตำหนักเหลือแค่โจวจื่อโม่ ซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยสองอาจารย์และลูกศิษย์ สำหรับกงซุนหว่านเอ๋อร์ หญิงสาวทั้งสามย่อมมองสายสนกลในออกมานานแล้ว เดิมทีทั้งโจวจื่อโม่และซ่งจวินหว่านต่างก็ตั้งแง่กับนาง มีเพียงโหวเสี่ยวเม่ยที่หลังจากคิดไม่ตกอยู่พักใหญ่ก็รู้สึกว่าหากมีอาจารย์ของตนมาร่วมด้วย บางทีอาจมีประโยชน์กับตนมากกว่า นางจึงค่อนข้างจะกระตือรือร้นกับเรื่องนี้
ทว่าตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตเป็นตาย เผชิญหน้ากับอุปสรรคที่มิอาจคาดเดาได้ในอนาคต ซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ที่หันมามองหน้ากันก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ถือว่าเป็นการยอมรับกงซุนหว่านเอ๋อร์ไปโดยปริยาย
บางทีอาจเป็นเพราะรู้ว่าเวลาเหลืออยู่อีกไม่มาก หรืออาจเป็นเพราะเข้าใจว่าหายนะกำลังจะมาเยือนโดยยากที่จะคลี่คลายได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ซึ่งเดิมทีคิดว่าตัวเองที่เผชิญกับความกดดันต้องหวาดกลัวมากอย่างแน่นอน
แต่พอหันไปเห็นพวกซ่งจวินหว่าน เขากลับพลันรู้สึกว่าบางทีตนอาจไม่ได้รู้สึกกริ่งกลัวอย่างที่จินตนาการเอาไว้
กลับกลายเป็นว่า… ในใจของเขาเกิดความละอายและอาลัยอาวรณ์ ที่ละอายก็เพราะเขาตระหนักได้ว่านับตั้งแต่ที่ตนมาอยู่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฝึกตน โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่สถาปนาราชวงศ์จักรพรรดิขุยเป็นต้นมา เขาก็ต้องแบกรับความกดดันที่หนักอึ้งเอาไว้มาโดยตลอด เขากังวลว่าหากมีวันใดที่คนอื่นมองออกถึงการแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งของเขา จะเป็นเหตุให้ราชวงศ์จักรพรรดิขุยล่มสลาย
ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องใช้เวลาแทบทั้งหมดไปกับการฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นการชุบชีวิตป๋ายฮ่าวหรือการเลื่อนขั้นเป็นบุพกาลในห้วงจักรวาล เรื่องราวทุกอย่างที่เดิมทีคิดว่ามีความหมาย คู่ควรแก่การไล่ไขว่คว้า มาบัดนี้จู่ๆ กลับรู้สึกว่า… ตนได้หลงลืมคนในครอบครัว… ที่สำคัญที่สุดไป
ต่อให้เขาจะมีร้อยแปดพันเก้าเหตุผล ต่อให้เขาจะมีข้ออ้างนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังหลงลืมคนในครอบครัว แล้วก็ไม่ค่อยอยู่เคียงข้างพวกเขาอยู่ดี หากไม่มีหายนะในครั้งนี้ บางทีป๋ายเสี่ยวฉุนอาจจะยังไม่สามารถตระหนักได้ถึงความเพิกเฉยของตัวเอง เพียงแต่เรื่องน่าเศร้าบนโลกใบนี้ก็คือ หากยังไม่ถึงท้ายที่สุดของกาลเวลา หากไม่มีหายนะปรากฏ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะตระหนักได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงหาสมดุลระหว่างการฝึกตนและการอยู่เคียงข้างคนในครอบครัวไม่เจอ
บางทีนี่ก็คือภาระและหน้าที่ในฐานะของบุรุษคนหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนมีนิสัยแบบนี้ แต่กลับต้องมาแบกรับภาระที่หนักอึ้งถึงเพียงนี้
และในช่วงเวลาที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าหายนะต้องมาเยือนในอีกไม่นาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงพลันตระหนักได้ถึงความละเลยของตน แต่เวลากลับไม่เหลือให้เขามากพออีกแล้ว ความเสียดายเช่นนี้กลายมาเป็นความอาลัยอาวรณ์ เป็นเหตุให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นหน้าไล่กอดซ่งจวินหว่านสี่หญิงไปทีละคน
“ต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวล่ะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนถามขึ้นเบาๆ ในฐานะบิดา เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ในใจเขาก็ยิ่งรู้สึกซับซ้อน เขาตระหนักได้ว่าเพื่อการฝึกตนแล้ว ตนไม่เพียงแต่หลงลืมภรรยาคู่บำเพ็ญตน ยังละเลยลูกของตัวเองด้วย
“เสี่ยวเสี่ยวและต้าเป่าต่างก็กำลังปิดด่าน”
ซ่งจวินหว่านตอบเสียงแผ่ว
ยามที่เสียงของนางดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุน อำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แผ่ออกไปนานแล้ว จึงได้เห็นเงาร่างของต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ในห้องลับสองห้องลึกเข้าไปในวังหลวง
จากครั้งสุดท้ายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวก็เป็นเวลานานหลายปีแล้ว และอันที่จริงถึงแม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะคอยกลับมาราชวงศ์จักรพรรดิขุยเป็นระยะในระหว่างที่เดินทางกลางห้วงจักรวาล แต่ไม่ค่อยใช้เวลาอยู่เคียงข้างพวกเขาเท่าไหร่จริงๆ
อายุของต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวต่างก็ไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่าในฐานะที่เป็นนักพรต ทั้งยังมีปราณวิญญาณฟ้าดินของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล บวกกับวัตถุดิบวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนและพรสวรรค์ของตัวพวกเขาเอง เป็นเหตุให้มองภายนอกพี่สาวและน้องชายคู่นี้อายุแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พรสวรรค์ของเสี่ยวเสี่ยวกลับดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ขณะที่ปิดด่านนางก็กำลังพยายามฝ่าสู่ขอบเขตเทียนจุน
เสี่ยวเสี่ยวสืบทอดข้อดีทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งจวินหว่านมา นางมีหน้าตางดงามเลิศล้ำ ขณะเดียวกันก็เฉลียวฉลาดปราดเปรียว แค่มองก็รู้ว่า เจ้าเล่ห์แสนกล มากด้วยอุบายและแผนการ
ส่วนต้าเป่านั้นก็เป็นครึ่งเทพขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว
หน้าตาของเขาเหมือนกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก เพียงแต่ว่าขาดความฉลาดเฉลียวไปสักเล็กน้อย แต่กลับไปหนักในด้านความสุขุมเยือกเย็น บนใบหน้าที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจนเผยให้เห็นถึงความยึดมั่นและหนักแน่น หากจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนในลักษณะที่ไม่กลัวตาย
เมื่อทอดสายตามองบุตรชายหญิงสองคนนี้ผ่านอำนาจจิต ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะหันมามองสี่หญิงที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง สุดท้ายสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไปตกอยู่บนท้องที่นูนป่องของโหวเสี่ยวเม่ย โหวเสี่ยวเม่ยใกล้จะคลอดแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นสายเลือดในท้องของโหวเสี่ยวเม่ยแล้ว และเมื่อสังเกตเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าเล็กๆ ของโหวเสี่ยวเม่ยก็แดงปลั่ง แต่ก็ยังดันหน้าท้องของตัวเองให้โดดเด่น
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเช่นนี้ก็ยกยิ้ม ปรี่ขึ้นหน้าไปกอดโหวเสี่ยวเม่ยไว้อีกครั้ง สายตายิ่งอ่อนโยน
“ข้าคิดชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่าคำพูดเขาเพิ่งดังออกมา โหวเสี่ยวเม่ยก็ร้อนใจขึ้นมาครามครัน แม้แต่ซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ก็ยังกะพริบตาปริบๆ มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก ส่วนกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ยิ่งถลึงตาใส่
“เรื่องชื่อไม่รบกวนให้เจ้าต้องลำบากหรอก!” กงซุนหว่านเอ๋อร์ยืนกรานเสียงแข็ง นี่ถึงทำให้โหวเสี่ยวเม่ยพอจะคลายใจลงได้บ้าง
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถูกขัดคอถึงกับสำลักไออยู่หลายที เรื่องแบบนี้เขาต้องสมปรารถนาเท่านั้น แต่เมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาวสี่คนที่พร้อมใจกันแข็งขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หุบปากเงียบอย่างรู้อะไรควรไม่ควร และเวลาแต่ละวันก็ล่วงเลยผ่านไปเช่นนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนกลับไปเป็นดั่งตอนที่เคยอยู่สำนักธาราเทพอีกครั้ง เขาลืมเลือนการฝึกตน ลืมเลือนทุกอย่าง เวลาแต่ละวันใช้ไปกับการอยู่เคียงกายหญิงสาวเหล่านี้ บางครั้งก็ไปตรวจสอบดูระดับความก้าวหน้าในการฝึกตนของต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยว แล้วก็ยิ่งหาเวลาไปพบปะสมาคมกับพวกจางต้าพั่ง
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่ชิงโหวและผู้อาวุโสทุกคนของป๋ายเสี่ยวฉุน เป็นเหตุให้เวลาช่วงนี้เหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนได้ย้อนกลับไปในอดีตอย่างแท้จริง
จนกระทั่งผ่านมาได้สามเดือน โหวเสี่ยวเม่ยก็ได้ให้กำเนิดบุตรในที่สุด
ต่อให้ทั้งซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่และกงซุนหว่านเอ๋อร์จะป้องกันด้วยสารพัดวิธีการแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนต่างหากที่เป็นจักรพรรดิขุย เขาแอบทำแผ่นหยกตัวตนของลูกตัวเองไว้นานแล้ว ทั้งยังนาบประทับชื่อที่ตัวเองคิดไว้ลงไป เป็นเหตุให้วินาทีที่ลูกในท้องของโหวเสี่ยวเม่ยลืมตาขึ้นมาดูโลก ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถือโอกาสป่าวประกาศให้ทั่วหล้ารับรู้โดยตรง
เนื่องจากชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้โด่งดัง จึงเป็นเหตุให้ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วราชวงศ์จักรพรรดิขุยอย่างรวดเร็ว แล้วก็ยิ่งแพร่ไปทั่วดินแดนเซียนนิรันดร์กาล เมื่อซ่งจวินหว่านสามหญิงได้ข่าว คิดจะขัดขวาง ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว…
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าตั้งชื่ออะไรของเจ้าห๊ะ เสี่ยวเป่า? (สมบัติน้อย) เจ้าๆๆ …ลูกชายของเจ้าชื่อต่างกับเจ้าแค่คำเดียวเองรึไง?”
กงซุนหว่านเอ๋อร์คำรามอย่างเดือดดาล ซ่งจวินหว่านและโจวจื่อโม่ที่พอนึกถึงชื่อของลูกๆ ที่ทำให้พวกนางถอนหายใจมาจนถึงทุกวันนี้ ก็โกรธขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“ชื่อเสี่ยวเสี่ยวก็ดีมากไม่ใช่หรือไง เสี่ยวเป่าก็ดีมากเหมือนกันนี่ เจ้าลองคิดตามดูสิ พี่ชายชื่อต้าเป่า น้องชายชื่อเสี่ยวเป่า ดีจะตายไป ยังไงก็คือเป่า (สมบัติ ของมีค่า)”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอธิบายด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเหตุผล เขารู้สึกว่าในฐานะที่ตนเป็นบิดาย่อมมีสิทธิ์ในการตั้งชื่อลูก แถมชื่อที่ตนตั้งไว้นี้ก็ยอดเยี่ยมมีระดับอย่างมาก
การโต้เถียงเกี่ยวกับชื่อในครั้งนี้ รวมถึงการถือกำเนิดของป๋ายเสี่ยวเป่า ทำให้ราชวงศ์จักรพรรดิขุยที่กดดันมาตลอดช่วงที่ผ่านมาคล้ายจะเข้าสู่ความรื่นเริงและมีชีวิตชีวา บนใบหน้าของพวกต้าเทียนซือก็มีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก ราชาผียักษ์ หลี่ชิงโหวและเทียนจุนคนอื่นๆ ที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ต่างก็จิตใจผ่อนคลายกันไม่น้อย
กงซุนหว่านเอ๋อร์สามหญิงที่เห็นว่าไม้กลายเป็นเรือ ป๋ายเสี่ยวฉุนป่าวประกาศให้รับรู้กันทั่วหล้าไปแล้ว จึงถือว่าชื่อนี้เป็นข้อสรุปสุดท้ายก็ทำอะไรกันไม่ได้มากไปกว่านั้น เมื่อโหวเสี่ยวเม่ยรู้เรื่องนี้นางเองก็ถอนหายใจ ลูบใบหน้าเล็กๆ ของลูกชายตัวเองด้วยความจนใจ พอคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่า อันที่จริงชื่อนี้ก็ไม่น่าเกลียดจนเกินจะยอมรับไปนัก
ส่วนพวกซ่งจวินหว่านสามหญิงที่หมดหนทางก็พากันถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายที แล้วก็ได้แต่ยอมรับได้โดยปริยาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจอย่างมาก คอยอุ้มเสี่ยวเป่ามาโอ๋เอาใจอยู่เป็นครึ่งๆ วัน พรสวรรค์ของเสี่ยวเป่าเองก็ไม่เลวเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้รับสืบทอดบทมิวางวายอย่างต้าเป่า แล้วก็ไม่ได้บทอมตะมาอย่างเสี่ยวเสี่ยว ทว่าบนร่างของเขากลับแผ่ปราณของร่างแห่งเต๋าออกมา
ข้อนี้คนนอกไม่สามารถมองออกได้ มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่รู้ได้ในปราดเดียว และที่เขามองออกก็เพราะผู้บงการเต้าเฉินในอดีตก็มีร่างแห่งเต๋าเหมือนกัน!
คำว่าร่างแห่งเต๋าก็คือพรสวรรค์ที่ทำให้การฝึกตนของคนคนนั้นราบรื่นจนแทบไม่เจอกับอุปสรรคปัญหาใดๆ การค้นพบนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงอย่างมาก แต่เขากลับไม่ได้พูดให้ใครฟัง
และนิสัยของเสี่ยวเป่าที่แม้จะเพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก แต่ดวงตากลมโตที่ฉายแววเฉลียวฉลาดคู่นั้น กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่แค่มองครั้งเดียวก็พลันรู้สึกว่า บางทีเสี่ยวเป่าต่างหากถึงจะเป็นเมล็ดพันธ์ที่สืบทอดนิสัยชอบความมั่นคงของตนมา