Skip to content

A Will Eternal 1277

บทที่ 1277 ในทางกลับกัน ก็อาจได้เป็นผู้บงการ

บัดนี้ทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ต่างก็มองดวงตาที่ลืมขึ้นมาผ่านภาพบนท้องฟ้า แต่ละคนสัมผัสได้ถึงความสนิทสนมคุ้นเคยและความอบอุ่นที่ส่งมาจากจุดลึกของจิตวิญญาณ ส่งมาจากสายเลือดทั่วร่างกาย สมองของพวกเขาก็พลันโปร่งโล่ง

นั่นคือมารดาผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิต นั่นคือต้นกำเนิดของสายเลือดทั้งหมด นั่นคือมารดาแห่งนิรันดร์กาล

ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิเซิ่งหรือป๋ายเสี่ยวฉุน บัดนี้ต่างก็ไม่สามารถควบคุมคลื่นสายเลือดที่อยู่ในร่างกายของตัวเองได้ ในสายตาของพวกเขา ดวงตาที่อยู่ในระฆังใหญ่เป็นเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่งที่เบ่งบาน ปราณที่มันแผ่ออกมาทำให้พวกเขาเกิดความสนิทสนมตามสัญชาตญาณ อีกทั้งวินาทีนี้ยังมีกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ แผ่อวลไปทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล กลิ่นหอมนี้โชยกรุ่นไปทั่วโลกแม้แต่ห้วงจักรวาลก็ยังเหมือนถูกอาบย้อมไปด้วย เป็นเหตุให้ห้วงจักรวาลรอบด้านดินแดนเซียนนิรันดร์กาลสว่างไสวพร่างพราวขึ้นอีกไม่น้อย

มีเพียงเรือนกายใหญ่โตของผู้บงการนี่ฝานเท่านั้นที่ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ทว่าปราณดุร้ายและกลิ่นอายแห่งความตายที่โชยแผ่ออกมาจากร่างของเขาตลอดเวลา กลับเหมือนจะกำราบพลังชีวิตและกลิ่นหอมทั้งหมดนี้ไว้ โดยที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

มีเพียง… เจ้าเต่าน้อยเท่านั้นที่เป็นปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่เหมือนคนกินปูนร้อนท้องที่เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังจักรพรรดิเซิ่ง ไม่กล้าโผล่หน้าออกมา

ขณะที่จิตใจของทุกคนสั่นสะท้านนั้นเอง ดวงตาของมารดาแห่งนิรันดร์กาลที่อยู่ในระฆังใหญ่ฉายแววเลื่อนลอย ราวกับว่าเพราะหลับสนิทมานานเกินไป พอเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจึงเหมือนว่ายังตกอยู่ในภวังค์ของความฝันและความทรงจำ ยังสะลึมสะลือไม่ตื่นคืนสติอย่างเต็มที่ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ แสงที่นางแผ่ออกมาก็ยังคงทำให้ทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลสว่างเจิดจ้า พร่าพราวตาอย่างถึงที่สุดอยู่ดี

จนกระทั่งผ่านไปนานมาก ภายใต้การโค้งคำนับจากป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่ง เสียงจากอำนาจจิตของมารดาแห่งนิรันดร์กาลถึงได้ดังขึ้นมาในใจของคนทั้งสองอย่างแช่มช้า

“เหตุใด…ถึงปลุกข้าขึ้นมา…”

เสียงนี้ไม่มีความดุดันน่าเกรงขาม มีเพียงความอ่อนโยนอย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุด ราวกับว่าหลังจากที่เด็กซนๆ คนหนึ่งปลุกให้มารดาฟื้นตื่น มารดาก็ส่งยิ้มให้บางๆ แล้วเอ่ยถามแผ่วเบา

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถี่กระชั้นขึ้นมาอีกนิด ความรู้สึกที่ราวกับได้พบมารดาแท้ๆ ของตัวเองทำให้ความอบอุ่นท่วมท้นทั้งหัวใจของเขา จักรพรรดิเซิ่งที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกแบบเดียวกัน หลังจากพวกเขาสองคนหันมาสบตากัน จักรพรรดิเซิ่งก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะขยับไปข้างหน้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“ผู้บงการศัตรูนอกโลกกำลังจะฟื้นตื่น ข้าไม่มีวิธีรับมือแล้วจริงๆ ถึงได้ปลุกให้ท่านตื่นขึ้นมา ขอมารดาแห่งนิรันดร์กาลโปรดให้การยอมรับ เพื่อให้เหล่าข้าได้ฝ่าทะลุขอบเขตบุพกาลกลายเป็นผู้บงการ เพื่อที่จะสามารถต้านทานกับศัตรูตัวฉกาจนอกโลกได้!”

น้ำเสียงของจักรพรรดิเซิ่งเต็มไปด้วยความเกรงใจ ราวกับว่านี่คือสัญชาตญาณของเขา แล้วก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพที่เขามีต่อผู้สร้างสรรพชีวิตผู้นี้ด้วย

“นี่ฝาน…จะทำลายตราผนึกได้แล้วหรือ…”

มารดาแห่งนิรันดร์กาลเงียบไปนาน หลังจากที่นางเอ่ยขึ้นเบาๆ ก็เหมือนมีอำนาจจิตที่น่าตะลึงขุมหนึ่งแผ่ออกมาจากบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล แล้วล้อมพันไปรอบเรือนกายมหึมาของผู้บงการนี่ฝาน ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไป กลายมาเป็นเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นในหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนและจักรพรรดิเซิ่งแทน

“เมื่อถึงเวลาเกิดก็ต้องเกิด เมื่อถึงเวลาตายก็ต้องตาย…”

“เดิมทีบนโลกไม่มีวัฏจักรสังสาร เมื่อมอบความหวังไว้ให้ถึงได้มีวัฏจักรสังสารปรากฏขึ้น เดิมทีโลกใบนี้ไม่มีนิรันดร์กาล แต่เป็นเพราะฝากความหวังให้ ถึงได้มีนิรันดร์กาล”

“ข้าในอดีตเดิมทีไม่มีสติปัญญา แต่เมื่อเผชิญกับวิกฤตเป็นตาย สัญญาตญาณจึงกลายมาเป็นสติปัญญาที่ส่งมอบเมล็ดพันธ์ทั้งสามออกไป แล้วกลายมาเป็นบุตรสามคน…”

“มาวันนี้… ข้าก็ได้แต่ยืดเรื่องราวทุกอย่างให้มาถึงตอนนี้เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถคลี่คลายหายนะแห่งการดับทำลายครั้งนี้ไปได้…”

“น่าเสียดาย… การปิดผนึกนี่ฝานชั่วคราวทำให้ข้าหลับลึก และการฟื้นตื่นในครั้งนี้ก็ยากที่ข้าจะกลับไปมีสภาพสมบูรณ์พร้อมได้เหมือนเดิม ข้าไม่มีพลังของการยอมรับเหลืออีกแล้ว พวกเจ้าสองคน…อย่างมากสุดข้าคงทำได้แค่ให้ใครคนใดคนหนึ่งกลายมาเป็นครึ่งก้าวผู้บงการเท่านั้น”

แม้ว่าเสียงของมารดาแห่งนิรันดร์กาลจะยังคงอบอุ่น แต่เมื่อฟังนานเข้ากลับค่อยๆ สัมผัสได้ว่าไม่มีพลังของความมีชีวิตใดๆ กระนั้นก็ยังมอบความรู้สึกที่จริงใจให้แก่คนฟัง และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ มารดาแห่งนิรันดร์กาลในเวลานี้ที่ต่อให้จะฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว แต่นางก็ไม่มีพลังเฉกเช่นในอดีตอีกแล้ว

คิดจะให้บุพกาลท่านหนึ่งเลื่อนขั้น การยอมรับที่มองดูเหมือนง่ายดายนี้ แท้จริงแล้วกลับจำเป็นต้องใช้พลังต้นกำเนิดจากมารดาแห่งนิรันดร์กาลที่แบ่งออกมา แล้วจำแลงมาเป็นตราประทับของการยอมรับ ถึงจะสามารถทำให้บุพกาลคนหนึ่งเลื่อนขั้นได้สำเร็จ

หลังจากได้ยินคำตอบรับจากมารดาแห่งนิรันดร์กาล ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้าเปลี่ยนสี ประกายสดใสในดวงตาพลันหม่นมัวลงไปไม่น้อย

ส่วนร่างของจักรพรรดิเซิ่งกลับโงนเงน หน้าซีดขาว ก่อนหน้าที่มารดาแห่งนิรันดร์กาลยังไม่ตื่น นางคือความหวังทั้งหมดของเขา แต่พอได้ยินคำตอบรับจากนางที่ฟื้นตื่น ความหวังนี้ก็กลายมาเป็นความสิ้นหวังไปในทันที

“ครึ่งก้าวผู้บงการ…” ท่ามกลางเสียงหัวเราะขมขื่น จักรพรรดิเซิ่งเข้าใจดีว่าหากแม้แต่มารดาแห่งนิรันดร์กาลก็ยังไม่สามารถทำได้ ถ้าเช่นนั้นเส้นทางของการเป็นผู้บงการก็คงต้องขาดออกจริงๆ!

“เวลาในการฟื้นตื่นของข้าไม่อาจนานมากนัก และเวลาที่จะประคับประคองตัวเองก็ไม่อาจอยู่ได้นาน สรรพชีวิตบนโลกใบนี้ ลูกทุกคนของข้า เวลาหนึ่งวันในชีวิตของพวกเขา ทุกคนสามารถเปลี่ยนมาเป็นการฟื้นตื่นของข้าสิบชั่วลมหายใจ”

“จะเลือกอย่างไร พวกเจ้าจงรีบตัดสินใจ…”

เสียงของมารดาแห่งนิรันดร์กาลแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า กลุ่มแสงที่นางอยู่ในเวลานี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นหม่นหมอง ดวงตาข้างนั้นเหมือนว่าจะค่อยๆ ปิดลง

จักรพรรดิเซิ่งขมขื่น หันกลับไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน ความขมขื่นในใจเขาก็ไม่น้อยไปกว่าของจักรพรรดิเซิ่ง แต่เขาไม่อยากเลือกที่จะกลายมาเป็นครึ่งก้าวผู้บงการ เพราะมันไม่มีความหมาย เพราะมันยังคงไม่สามารถรับมือกับนี่ฝานที่ฟื้นตื่นขึ้นมาได้อยู่ดี

“มารดาแห่งนิรันดร์กาล ข้าต้องการรู้ว่าวิธีเลื่อนขั้นเป็นผู้บงการมีเพียงแค่ได้รับการยอมรับจากท่านและจากปณิธานแห่งโลกใบนี้เท่านั้นหรือ? จะมีวิธีอื่นที่ทำให้กลายเป็นผู้บงการได้อีกหรือไม่?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก เขาก็หันไปถามมารดาแห่งนิรันดร์กาลเบาๆ

กลุ่มแสงที่จำแลงมาจากมารดาแห่งนิรันดร์กาลเปล่งประกายวูบอีกครั้ง ดวงตาที่กำลังจะปิดลงนั้นก็ค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ เพ่งสายตามองบุตรที่ปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา

ครู่ใหญ่หลังจากนั้น เสียงของมารดาแห่งนิรันดร์กาลก็ดังขึ้นเนิบช้า

“เจ้าเป็นคนปลุกให้ข้าตื่น… ข้าสัมผัสได้ว่าคลื่นสายเลือดบนร่างของเจ้าเหนือกว่าบุตรทั้งสามคนของข้าในอดีตไปอีก… และข้าก็สัมผัสได้ว่า บนร่างของเจ้ายังมีปราณแห่งโชคชะตา ที่ไม่ใช่ของข้าแฝงเร้นอยู่เสี้ยวหนึ่ง…”

“เพียงแต่ว่ากฎเกณฑ์ของห้วงจักรวาลแห่งนี้ การถือกำเนิดของผู้บงการต้องได้รับการยอมรับจากปณิธานของโลกเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นอีก”

เมื่อได้ยินคำตอบของมารดาแห่งนิรันดร์กาล หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหนักอึ้ง แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เขารู้ดีว่าไม่ว่าการยอมรับจากโลกใบใดก็ตามล้วนทำให้มีผู้บงการคนหนึ่งก่อกำเนิดขึ้นมาได้ทั้งสิ้น ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในห้วงจักรวาลแห่งนี้ยังคงมีคนผู้หนึ่ง… ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากโลก อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำลายโลกด้วยซ้ำ แต่เขากลับได้เป็นผู้บงการเหมือนกัน!

คนผู้นี้ ก็คือ… “นี่ฝาน!”

ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะรู้อย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อได้ผสานรวมกับความทรงจำของเต้าเฉิน และได้สัมผัสกับประสบการณ์ในชีวิตของเต้าเฉินด้วยตัวเอง!

แล้วเขาก็ยิ่งเข้าใจด้วยว่า ที่นี่ฝานสามารถเป็นผู้บงการได้สำเร็จก็เพราะมีความเกี่ยวข้องกับเต๋าของเขา ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรับรู้ได้ตั้งแต่ตอนที่เต้าเฉินอาศัยร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปในหุบเขาควันดำแล้วได้ไปเจอกับเรือรบลำนั้นแล้ว

เต๋าของนี่ฝานก็คือความมืดมิดเหมือนห้วงจักรวาลในเวลานี้ที่มีแต่ซากปรักหักพังอยู่ทั่วทุกหนแห่ง สรรพชีวิตพินาศมอดม้วย ฟ้าดินเป็นเหมือนโคมไฟที่ถูกคนดับแสงเทียน… และนี่ฝานก็อาศัยเต๋าแห่งการดับทำลายทุกอย่างที่มีอยู่ กลายมาเป็นผู้บงการ!

พอคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาคู่ที่หม่นแสงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีประกายสดใสปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

เขาพลันเงยหน้ามองไปยังดวงตากลุ่มแสงที่จำแลงมาจากมารดาแห่งนิรันดร์กาลแล้วเอ่ยถามอีกรอบ

“บนเส้นทางการเป็นผู้บงการของนี่ฝาน เขาไม่ได้รับการยอมรับจากโลกใบไหนทั้งนั้น แล้วทำไมเขาถึงได้กลายมาเป็นผู้บงการ เหตุใดการกลายเป็นผู้บงการถึงจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากโลก เหตุใดไม่สามารถอาศัยการฝ่าทะลุของตัวเองได้!”

เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะดังออกมา ดวงตาของมารดาแห่งนิรันดร์กาลก็พลันเบิกกว้าง แสงสว่างทั่วร่างนางเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนมีพลังที่มหัศจรรย์บางอย่าง เมื่อคำถามของเขาดังออกมา แม่น้ำแห่งนิรันดร์กาลที่อยู่รอบด้านก็สะเทือนไหว แม้แต่ฟ้าดินของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน

ทว่าสำหรับมารดาแห่งนิรันดร์กาลแล้ว คำถามประโยคนี้กลับไม่ธรรมดาเอาเสียเลย ดูเหมือนว่า… ประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ไปเขย่าคลอนรากฐานของกฎเกณฑ์บางอย่าง! แม้แต่จักรพรรดิเซิ่งและเจ้าเต่าน้อยก็ยังสังเกตเห็นว่าดวงตาของมารดาแห่งนิรันดร์กาลเบิกกว้าง

จิตสำนึกทั้งหมดของนางล้วนมารวมอยู่ที่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับต้องการมองเขาให้ทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อถูกจับตามองเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใจสั่น แต่เขาก็ยังคงยืนประจันหน้ากับมารดาแห่งนิรันดร์กาลอยู่ตรงนั้น

เนิ่นนานต่อมา… มารดาแห่งนิรันดร์กาลถึงได้ค่อยๆ เก็บอำนาจจิตของตัวเองกลับคืน เสียงแผ่วเบาของนางยิ่งฟังดูเหนื่อยล้า เหมือนคนที่กำลังพูดอยู่กับตัวเอง แต่ก็เหมือนพูดให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังด้วย

“ในเมื่อการดับสูญยังสร้างผู้บงการ บางที…ในทางกลับกัน ก็อาจสร้างผู้บงการได้เช่นกัน!”

วินาทีที่ประโยคนี้ดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุน ลมหายใจของเขาก็พลันหอบรัว สายตาของเขาเปลี่ยนจากก่อนหน้านี้ที่หม่นแสงกลายมาเป็นสว่างเจิดจ้าในฉับพลัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!