บทที่ 1278 ทงเทียนเผยกายอีกครั้ง
“ในเมื่อการดับสูญยังสร้างผู้บงการ บางที…ในทางกลับกัน ก็อาจสร้างผู้บงการได้เช่นกัน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำแผ่วเบา ประโยคนี้เหมือนกลายมาเป็นอสนีสวรรค์ที่ระเบิดกึกก้องอยู่ในใจของเขา ระเบิดโลกทั้งใบของเขาให้แตกออก ประหนึ่งผลักประตูบานใหญ่ให้เปิดอ้า
ก่อนหน้านี้แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเคยมีข้อสงสัยเช่นนี้อยู่ แต่เขากลับไม่มีหลักฐาน จนกระทั่งบัดนี้ที่ได้ยินคำตอบรับจากมารดาแห่งนิรันดร์กาล ก็เหมือนกับช่วยยืนยันให้หลักฐานแน่นหนาขึ้น นี่ทำให้ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบกระชั้น และเมื่อสรุปจากเต๋าของนี่ฝาน ในใจของเขาจึงพอจะมีทิศทางบ้างแล้ว
ส่วนข้อที่ว่าทิศทางนี้จะสำเร็จได้หรือไม่ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แน่ใจ แต่เขาเข้าใจดีว่าตัวเองไม่ต้องการโอกาสในการเป็นครึ่งก้าวผู้บงการ สิ่งที่เขาต้องการคือ… ความหวังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าการเป็นครึ่งก้าวผู้บงการ!
มีเพียงแบบนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้เขามีพลังในการตอบโต้ ยามที่นี่ฝานฟื้นตื่น!
นิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากเหลือเกิน เรียกได้ว่าต่างจากตอนยังเป็นหนุ่มน้อยบนเขาเม่าเอ๋อร์ราวทิศเหนือกับทิศใต้ เขาในเวลานั้นไร้ทุกข์ไร้กังวล ทว่าเขาในเวลานี้กลับต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล
แรงกดดันทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งค่อยๆ เติบโตจนกระทั่งมาถึงจุดนี้
สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไปจากแม่น้ำแห่งนิรันดร์กาล
ไปจากพื้นที่ที่มารดาแห่งนิรันดร์กาลเก็บตัวอยู่ พร้อมกับเจ้าเต่าน้อยที่มีท่าทางโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนจักรพรรดิเซิ่งนั้น เขาเลือกที่จะอยู่ต่อ ต่อให้ได้เป็นแค่ครึ่งก้าวผู้บงการ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกมากนัก เขาก็ยังเลือกที่จะยอมรับเอาไว้ เขาไม่ได้คิดเห็นแก่ตัวใดๆ เขามองออกว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนน่าจะมีทิศทางอย่างใหม่ในการต้านทานหายนะที่กำลังจะมาถึง ซึ่งตัวเขาเองก็อยากมีส่วนช่วยลงแรงเช่นกัน
มองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนที่จากไปไกล จักรพรรดิเซิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก นั่งลงขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าระฆังใบใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ถูกแสงที่มารดาแห่งนิรันดร์กาลแผ่ออกมาปกคลุมไปทั่วร่างกาย
ในฐานะที่เป็นคนสองคนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเซียนแห่งนิรันดร์กาลของปัจจุบันนี้ พวกเขาต่างก็ใช้วิธีการของใครของมันมาปกป้องดินแดนเซียนแห่งนิรันดร์กาล ปกป้องญาติและมิตรที่อยู่ข้างกาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ออกมาจากแม่น้ำแห่งนิรันดร์กาล พอกลับมาถึงนครจักรพรรดิขุยเขาก็เลือกที่จะปิดด่าน การปิดด่านของเขาครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานนัก เจ็ดวันให้หลัง เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากห้องลับ เขาก็ใช้ตัวตนของจักรพรรดิขุยป่าวประกาศราชโองการหนึ่งไปให้แก่ผู้คนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล “เทียนจุนทุกคน ครึ่งเทพทุกคน คนฟ้าทุกคน ก่อกำเนิดทุกคนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ข้าต้องการที่จะผนึกศัตรูนอกโลกใหม่อีกครั้ง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพวกเจ้า!”
พระราชโองการนี้ถูกส่งออกมาจากนครจักรพรรดิขุย เพียงเวลาสั้นๆ ก็เป็นเหมือนพายุลูกหนึ่งที่หมุนคว้างไปทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล จึงสร้างความครึกโครมให้กับดินแดนเซียนนิรันดร์กาลได้ทันที
หากคำพูดประโยคนี้ออกมาจากปากของจักรพรรดิเซิ่ง แม้ว่าจะสร้างความอึกทึกได้เช่นเดียวกัน แต่ผู้ที่ให้ความร่วมมือคงมีไม่มากนัก ทว่าเมื่อมันออกมาจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกอย่างกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง!
ในสายตาของทุกชีวิตบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ป๋ายเสี่ยวฉุนคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ที่จะปิดผนึกศัตรูจากนอกโลก คลี่คลายปัญหาการระเบิดของเขตอาคม ซ้ำเขายังเป็นผู้ที่ปลุกมารดาแห่งนิรันดร์กาลให้ฟื้นตื่นได้อีกด้วย
หากว่ากันในบางระดับแล้ว คำพูดของเขาจึงแทบจะใกล้เคียงกับคำพูดของมารดาแห่งนิรันดร์กาล ถึงขั้นที่ว่าในใจของคนไม่น้อยยังรู้สึกเชื่อมั่นในคำพูดของเขายิ่งกว่าของมารดาแห่งนิรันดร์กาลด้วยซ้ำ ราวกับว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือ… นายของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล!!
นักพรตจำนวนมากจึงกรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศ มุ่งหน้าเข้าสู่นครจักรพรรดิขุย เทียนจุน ครึ่งเทพต่างก็มากันแทบครบหมด คนฟ้าก็ดี ก่อกำเนิดก็ช่าง ทุกคนล้วนทำแบบเดียวกัน
และเมื่อคนมารวมตัวกันมากขึ้น เรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะปิดผนึกศัตรูนอกโลกใหม่อีกครั้งก็เริ่มแพร่สะพัดจนคนรับรู้กันทั่วโลก!
ป๋ายเสี่ยวฉุนจะผนึกนี่ฝานใหม่จริงๆ ที่เขาทำเช่นนี้ ด้านหนึ่งเพราะเขากังวลว่า ตราผนึกบนร่างของนี่ฝานจะไม่สามารถประคับประคองไปได้นานพอ อีกด้านหนึ่งก็เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดีว่า วิธีที่ตนคิดจะใช้ฝ่าขอบเขตบุพกาล เกรงว่าคงไม่สามารถระบุเวลาได้แน่นอน
บางทีอาจจะเร็ว หรือบางทีอาจจะช้า แล้วก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะล้มเหลว ดังนั้นเขาจึงต้องการเวลาที่มากพอ ในการให้เขาทดลองฝ่าทะลุขอบเขตอย่างสงบใจได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงจำเป็นต้องเพิ่มความมั่นคงให้กับตราผนึกบนร่างของนี่ฝานมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ตราผนึกนั้นแตกออก แล้วก็ยังสามารถอาศัยตราผนึกชั้นที่สองมายืนหยัดไปได้อีกสักช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นเขาถึงได้กลับมาปิดด่านเป็นเวลาเจ็ดวัน ภายในเจ็ดวันนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเอาความคิดทั้งหมดไปใช้กับการสร้างค่ายกล และตอนนี้เขาก็มีทิศทางในการสร้างค่ายกลแล้ว
“ค่ายกลที่ผนึกอยู่นอกร่างของนี่ฝาน จำเป็นต้องอาศัยพลังงานของทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเป็นพื้นฐาน ใช้เวทล่อสังหารอันเป็นต้นกำเนิดแห่งเวลาของข้ามาเป็นตัวนำพา จากนั้นก็จัดวางค่ายกลแห่งเวลาที่ลักษณะคล้ายคลึงกับโลกแห่งนาฬิกาทราย… ไว้ข้างนอก!!”
“ค่ายกลนี้บิดเบือนเวลา ปิดผนึกทุกอย่าง ล้อมวนอยู่นอกร่างของผู้บงการนี่ฝาน กลายมาเป็นค่ายกลปกป้องพิทักษ์ในท้ายที่สุด!”
“และหากค่ายกลนี้จัดวางสำเร็จ ก็จะแยกตาค่ายกลออกเป็นหลายร้อยล้านส่วน แล้วผสานรวมเข้าไปในร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ซึ่งก็หมายความว่า… ค่ายกลนี้ จำเป็นต้องให้ทุกคนของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเป็นผู้ควบคุม!”
“หากทำสำเร็จ… หวังว่าเมื่อผู้บงการนี่ฝานตื่นขึ้นมาจะสร้างผลกระทบต่อเขาได้บ้าง แล้วเป็นการยืดเวลาให้นานขึ้น!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะป่าวประกาศแผนการของตนให้ทุกคนทราบ
ในสายตาของทุกคนที่สิ้นหวัง แผนการของป๋ายเสี่ยวฉุนคือเรื่องเดียวที่พอจะทำได้ ไม่มีใครต่อต้าน นักพรตทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลต่างก็เลือกให้การสนับสนุนอย่างไม่ลังเล!
ดังนั้นในช่วงเวลาต่อมา ภายใต้การจัดการของป๋ายเสี่ยวฉุน ค่ายกลใหญ่ที่จัดวางไว้รอบกายผู้บงการนี่ฝานจึงค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งเมื่ออยู่ภายใต้การเตรียมการของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ได้แบ่งต้นกำเนิดแห่งเวลาของตัวเองให้กลายเป็นตัวนำจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วส่งตัวนำเหล่านี้ไปให้กับมือของนักพรตเหลือมากมาย
นักพรตเหล่านี้ต่างก็นำตัวนำเหล่านั้นมาผสานรวมเข้ากับในร่างของตัวเองอย่างไม่ลังเล เป็นเหตุให้ตัวของพวกเขากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล จากนั้นก็นำตัวนำที่มากกว่าเดิมส่งไปให้กับคนอื่น
จนกระทั่งถึงท้ายที่สุด ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น ภูเขาทุกลูก แม่น้ำทุกสายที่เมื่อผสานรวมกับตัวนำต้นกำเนิดแห่งเวลาของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ก็ทำให้รากฐานของค่ายกลใหญ่นี้สมบูรณ์แบบ
ค่ายกลนี้ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบใดๆ เพราะว่าทุกอย่างบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลล้วนเป็นวัตถุดิบส่วนหนึ่งอยู่แล้ว ต่อให้พวกซ่งจวินหว่านก็ยังทำเช่นนี้ พวกนางยอมร่วมมืออย่างไม่มีความลังเลใดๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้ลำเอียง เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลใหญ่นี้เช่นกัน
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทะยานขึ้นไปบนฟ้า ท่ามกลางการจับจ้องมองของสายตาคนนับหมื่น เขาก็พลันยกมือทั้งสองขึ้นโบกสะบัด จัดสร้างค่ายกลล่อสังหารขนาดใหญ่ไว้รอบกายผู้บงการนี่ฝาน!
เมื่อค่ายกลปรากฏตัว เมื่ออำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ไปทั่วโลก ก้มหน้าลงมองไปบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล สรรพชีวิตก็ดี ต้นไม้ใบหญ้าก็ช่าง แม้แต่ภูเขาและแม่น้ำลำธารที่รวมอยู่ในนั้น ทุกอย่างเหมือนกลายมาเป็นดวงดาวที่แผ่แสงดาวสุกสกาวเป็นแถบๆ ดวงดาวเหล่านี้พากันลอยตัวขึ้นบนอากาศ แล้วผสานรวมเข้ากับค่ายกลล่อสังหาร เป็นเหตุให้ค่ายกลหลังนี้สมบูรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทุกชีวิตคือวัสดุ ต้นกำเนิดแห่งเวลาคือวัตถุดิบ ค่ายกลอันยิ่งใหญ่มโหฬารหลังนี้ได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในเสี้ยววินาที ดูจากลักษณะแล้วใช้เวลาอีกแค่ไม่กี่ชั่วยามก็คงจะถูกจัดวางเสร็จสิ้นอย่างแท้จริง
ทว่าเวลานี้เอง… ขณะที่มือของป๋ายเสี่ยวฉุนทำมุทรา เวทล่อสังหารแผ่อบอวลออกไป ชั่วขณะที่แสงดาวดารดาษผุดขึ้นมาจากในแต่ละมุมบนพื้นดินเพื่อเข้ามาผสานรวมกับค่ายกล…
ทันใดนั้นผู้บงการนี่ฝานที่ถูกค่ายกลนี้โอบล้อมไว้ภายในก็เหมือนจะสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่า ค่ายกลนี้ส่งผลกระทบต่อเขา ร่างของเขาถึงได้พลันสั่นสะท้าน
แรงสั่นสะเทือนนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี เมื่อหันขวับไปมองเขาก็เห็นว่าตรงหว่างคิ้วของผู้บงการนี่ฝานมีน้ำวนลูกหนึ่งปรากฎขึ้นมา น้ำวนลูกนี้หมุนคว้างอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะเผยกายให้เห็นได้อย่างเลือนราง!
เงาร่างนี้สวมชุดนักพรตเต๋า สีหน้าไร้อารมณ์ มีเพียงประกายเหี้ยมเกรียมที่เผยชัดออกมาทางดวงตา ซึ่งพอเขาจำแลงร่างและเดินออกมา วินาทีที่ใบหน้าของเขาปรากฏแจ่มชัดในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันหยุดชะงัก ดวงตาระเบิดแสงคมกล้าทันใด!
“นักพรตทงเทียน!!”
เขาก็คือ… “นักพรตทงเทียน!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ อันที่จริงก่อนหน้านี้ที่เขาไม่เห็นนักพรตทงเทียนในราชวงศ์จักรพรรดิแส ในใจก็พอจะมีการคาดเดาได้อยู่แล้ว เพราะอย่างไรซะไม่ว่าจะมองอย่างไร ทุกเรื่องที่นักพรตทงเทียนเคยทำลงไปตอนอยู่ในโลกทงเทียน รวมถึงดูจากความเข้าใจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อนักพรตทงเทียน ก็ล้วนแสดงให้เห็นว่าเต๋าของอีกฝ่ายคล้ายคลึงกับผู้บงการนี่ฝานอย่างยิ่งยวด!
ยิ่งมาบวกกับจักรพรรดิแสตัวปลอมซึ่งเดิมทีก็คือร่างจำแลงของนี่ฝาน พอเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเดาทิศทางในการก้าวเดินของนักพรตทงเทียนออก เมื่อเห็นนักพรตทงเทียนปรากฎตัวในเวลานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระจ่างแจ้งทันทีว่า ค่ายกลนี้ต้องสร้างผลกระทบต่อนี่ฝานได้
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่สามารถแก้ค่ายกลได้ นี่ฝานจึงจำเป็นต้องให้นักพรตทงเทียนปรากฎตัวเพื่อขัดขวางทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ก็ดี… ระหว่างข้ากับเจ้าก็จะได้ตัดสินให้รู้กันเสียที!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ ครั้นแล้วจึงเดินออกไปหนึ่งก้าว ตรงดิ่งเข้าหานักพรตทงเทียน