บทที่ 1280 แทะหนึ่งคำ…
เสียงสัตว์คำรามที่ดังออกมาก็คือเสียงสัตว์แห่งชะตาชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุน หัวใหญ่ยักษ์ที่เหมือนกับหัวของจระเข้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าซึมซับบทเรียนก่อนหน้านี้มา คราวนี้สัตว์แห่งชะตาชีวิตตัวนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ยื่นกรงเล็บออกมาก่อน แต่โผล่หัวพรวดออกมาจากในบึงน้ำ หัวนี้ใหญ่โตโอฬารจนยากจะบรรยาย ลำพังเพียงแค่ฟันที่อยู่ในปากใหญ่ซึ่งอ้ากว้างก็พอๆ กับยอดเขาแล้ว
และพอหัวทั้งหัวโผล่ออกมาก็กินอาณาบริเวณของท้องฟ้าไปเกือบครึ่ง หลังเสียงร้องคำราม ปากที่อ้ากว้างก็ตรงเข้าเขมือบกลืนใบหน้าแห่งการดับสูญที่พุ่งมาใกล้ทันที
เรือนกายของมันใหญ่มากเกินไปจริงๆ เพียงแค่ส่วนศีรษะก็กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งของท้องฟ้า สามารถจินตนาการได้เลยว่าหากมันโผล่ร่างออกมาด้วย เกรงว่าแม้แต่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็คงไม่สามารถรองรับมันได้
สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว วัตถุที่มีขนาดใหญ่มักจะมอบความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มากอานุภาพ และแข็งแกร่งเหี้ยมหาญ ทว่าสำหรับนักพรตแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป เพียงแต่ว่าหากขนาดของมันใหญ่ถึงระดับที่แน่นอน…ถ้าเช่นนั้นต่อให้นักพรตที่ได้เห็นก็จะต้องตัวสั่นด้วยความตะลึงพรึงเพริดสุดขีด ซ้ำยังหมดใจที่จะคิดต่อต้านด้วย
และสัตว์แห่งชะตาชีวิตตัวนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นเช่นนี้…มันใหญ่มาก ใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก!
บัดนี้นักพรตทุกคนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้แต่ละคนต่างก็สูดลมหายใจดังเฮือก คลื่นลูกยักษ์โถมกระหน่ำขึ้นมาในหัวใจ นั่นเป็นเพราะเมื่อตบะฝ่าทะลุอย่างต่อเนื่อง การร่ายใช้เขตแดนธาราในวันนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงระเบิดพลังอำนาจที่เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
เพราะอย่างไรซะตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้ก่อนหน้านี้ก็อยู่ในร่างของนี่ฝาน คนนอกจึงมองไม่เห็น พอทุกคนได้มาเห็นเองกับตาในเวลานี้ เสียงสูดลมหายใจจึงดังขึ้นติดต่อกันเป็นทอดๆ โดยเฉพาะลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพในอดีตที่ยิ่งเบิกตากว้างด้วยความอึ้งทึ่ง
หลี่ชิงโหวเองก็อึ้งงัน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุรพาจารย์ธาราเทพเลย ชั่วชีวิตที่ผ่านมาพวกเขาก็เคยได้เห็นเขตแดนธารามาก่อน แม้ว่าจะเป็นวิชาที่ฝึกสำเร็จได้ยากยิ่ง แต่จะอย่างไรซะก็เคยมีคนที่ฝึกสำเร็จมาก่อน เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว พวกเขากลับรู้สึกว่าเขตแดนธาราของคนอื่นๆ ที่เคยเห็นก่อนหน้านี้เหมือนจะเป็นของปลอมอย่างไรอย่างนั้น…
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังรู้สึกด้วยว่าวิชาอภินิหารนี้ของสำนักน่าจะเป็นของปลอมด้วยซ้ำ…
“นี่คือ…เขตแดนธารา?” ต่อให้เป็นพวกซ่งจวินหว่านก็ยังสูดลมหายใจดังเฮือก ต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวเองก็อึ้งค้าง ได้แต่เหม่อมองหัวจระเข้ยักษ์หน้าตาดุร้ายเหี้ยมอำมหิตที่อยู่บนท้องฟ้า
ท่ามกลางความสะท้านสะเทือนของคนจำนวนนับไม่ถ้วน
สัตว์แห่งชะตาชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับอ้าปากเขมือบกลืนใบหน้าแห่งการดับสูญนั่นอย่างเกรี้ยวกราด ซ้ำยังเหมือนรู้สึกว่าจะกินไม่อิ่ม จึงไม่ยอมหยุดชะงัก ยังคงพุ่งตรงเข้าหาผู้บงการนี่ฝาน ดูจากท่าทางของมันแล้วคงจะสนใจในตัวของผู้บงการนี่ฝานเป็นอย่างมาก
บัดนี้ต่อให้เป็นนักพรตทงเทียนเองก็ยังไม่สามารถรักษาความนิ่งสงบเฉกเช่นก่อนหน้านี้ได้ จิตวิญญาณของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันลูกตาของเขาก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้า เขาสูดลมหายใจดังเฮือกอย่างแรง ขนาดเขาที่แข็งแกร่งก็ยังอดร้องอุทานเสียงหลงไม่ได้
“นี่มันตัวอะไรกัน!!” นักพรตทงเทียนรู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิดแตก
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากกลายเป็นลูกศิษย์ของนี่ฝานที่เขารู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น และวิกฤตแห่งความเป็นความตายรุนแรงก็ได้ระเบิดขึ้นมาในใจของเขา ไม่กล้าลังเลใดๆ นักพรตทงเทียนรีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว เตรียมจะผสานรวมเข้าไปในหว่างคิ้วของผู้บงการนี่ฝานอีกครั้ง แต่เมื่อเทียบกับสัตว์แห่งชะตาชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว การเคลื่อนไหวของเขายังนับว่าช้าไปมาก แทบจะชั่วพริบตานั้น สัตว์แห่งชะตาชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุน หัวสัตว์ขนาดใหญ่ยักษ์ที่หน้าตาเหมือนจระเข้ก็อ้าปากแล้วมาโผล่พรวดอยู่ตรงหน้านักพรตทงเทียนแล้ว
เสียงอึงอลระเบิดขึ้นในสมองของนักพรตทงเทียน ในใจเขาก็ยิ่งอัดอั้นคับแค้น เมื่อความตายกำลังจะเยื้องกรายมาเยือน เขาไม่อยากยอมแพ้ ทั้งยังเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดบางอย่างประมาณว่าทั้งๆ ที่เดิมทีคนสองคนถือกระบี่ฟาดฟันกันเองอยู่ดีๆ ทว่าจู่ๆ อีกคนหนึ่งกลับโยนกระบี่ทิ้งแล้วยกเอาภูเขาลูกหนึ่งทุ่มเข้ามาแทน
เมื่อเทียบกับนักพรตทงเทียนแล้ว สัตว์แห่งชะตาชีวิตก็เหมือนกับโลกใบหนึ่ง ส่วนร่างกายของนักพรตทงเทียนกลับเหมือนมดตัวหนึ่งที่ต่อให้เทียบกับไรฟันของมันแล้วก็ยังเล็กกว่า…
แต่เห็นได้ชัดว่าสัตว์แห่งชะตาชีวิตตัวนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนโลภมากเกินไปหน่อย เพราะเป้าหมายของปากมันที่อ้ากว้างตรงเข้ามาเขมือบก็คือศีรษะของผู้บงการนี่ฝาน ต่อให้ศีรษะนี้จะใหญ่กว่าของมันเอง ทว่าดูจากท่าทางของมันแล้วกลับเหมือนว่าคิดจะแทะกินให้ได้
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังมีเหงื่อผุดออกมาตรงหน้าผาก ใจอยากจะร้องเรียกเพื่อเอ่ยเตือนมัน แต่พอสัตว์แห่งชะตาชีวิตตัวนี้ถูกปล่อยออกมาก็เหมือนว่ามันจะลิงโลดร่าเริงผิดปกติ
เสียงกร้วมดังลั่น…ดังมากเกินไปจนแม้แต่ฟ้าดินก็ยังบิดเบือน ดังเกินเสียงฟ้าผ่า เขย่าคลอนโลกทั้งใบ พร้อมๆ กับเสียงร้องโหยหยวนด้วยความเจ็บปวดที่ดังออกมาจากปากของสัตว์แห่งชะตาชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุน ซ้ำยังเห็นด้วยว่าฟันที่ใหญ่โตราวภูเขาหลายซี่ของมันหลุดกระเด็นออกไป…
ส่วนสัตว์แห่งชะตาชีวิตที่ร้องโหยหวนเหมือนกัดไปโดนก้อนหินแข็งกระด้างก้อนหนึ่งก็พลันถอยกรูดกลับมา และพริบตาเดียวก็หายเข้าไปในบึงน้ำ…
ทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลต่างก็อึ้งค้าง นักพรตทงเทียนเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกัน หลังจากค้นพบว่าตนยังไม่ตาย เขาที่เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งร่างก็รีบย้อนกลับเข้าไปในหว่างคิ้วของผู้บงการนี่ฝานโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง
ส่วนศีรษะของผู้บงการนี่ฝานนั้น เวลานี้มีฟันสองซี่ปักคาอยู่…รอบๆ ฟันสองซี่นั้นยังมีรอยร้าวอยู่อีกไม่น้อย เป็นเหตุให้ศีรษะที่แน่นิ่งไม่ขยับมองดูแล้วเต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่นน่าสะพรึงกลัว…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาค้นพบว่าไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เคร่งเครียดแค่ไหน แต่ขอแค่ตนเป็นคนลงมือ เรื่องราวก็มักจะแปรเปลี่ยนไปในทางสนุกสนานรื่นเริงอย่างน่าประหลาดใจเสมอ…
โดยเฉพาะพอเห็นว่านักพรตทงเทียนหนีไปแล้ว แม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะหงุดหงิดใจอยู่มาก แต่พอเห็นหน้าตาเซ่อซ่าเพราะความตกใจของอีกฝ่าย ลึกๆ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ลำพองใจไม่น้อย
“ครั้งนี้ถือว่าเจ้าหนีได้เร็ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น ยกมือขวาขึ้นทำมุทราและโบกหนึ่งครั้ง ค่ายกลต้นกำเนิดแห่งเวลาที่อยู่รอบด้านก็มารวมตัวกันอีกครั้ง พวกนักพรตที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลยังมีสีหน้าปั้นยากและรู้สึกตกตะลึงไปตามๆ กัน ทว่าเมื่อแสงดาวลอยขึ้นมาจากร่างของพวกเขาก็ได้ไปสร้างความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลอีกครั้ง
คราวนี้นักพรตทงเทียนไม่ได้ปรากฏตัว…
ไม่นานเมื่อแสงดาวส่องสว่างไสวออกมาจากในร่างของทุกคน ค่ายกลขนาดใหญ่มหึมาที่ล้อมวนอยู่รอบกายผู้บงการนี่ฝานก็สร้างได้สำเร็จในที่สุด และเมื่อการจัดวางค่ายกลสำเร็จและสมบูรณ์แบบด้วยดีแล้ว ต้นกำเนิดแห่งเวลาที่อยู่ด้านในก็เคลื่อนโคจรอย่างเชื่องช้า ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นน้ำวนขนาดยักษ์
ด้านในน้ำวนลูกนี้เหมือนแฝงเร้นไว้ด้วยดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน ดาวแต่ละดวงล้วนเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล พลังแห่งต้นกำเนิดที่อยู่ด้านในก็แผ่ออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย และยิ่งนานก็ยิ่งตกเป็นตะกอนทับถม เป็นเหตุให้การไหลหายไปของเวลาในที่นี้ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นเชื่องช้า
นี่ต่างหากถึงเป็นสาเหตุดั้งเดิมที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดสร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา ด้านหนึ่งก็เพื่อชะลอเวลาให้เชื่องช้า เป็นเหตุให้การคลายตัวของตราผนึกช้าลง อีกด้านหนึ่งก็อาศัยพลังของการสยบนี้มาถ่วงเวลาให้นานออกไปอีกครั้ง
เมื่อค่ายกลก่อตัวและเคลื่อนโคจร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เองคลายใจลงได้ จึงหันไปมองที่หว่างคิ้วของผู้บงการนี่ฝานอีกครั้ง และเมื่อมองไปยัง…ฟันที่ปักคาอยู่บนศีรษะของอีกฝ่าย สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนมาเป็นเหยเกอย่างห้ามไม่ได้ ครุ่นคิดว่าขนาดสัตว์แห่งชะตาชีวิตยังหายไปแล้ว แต่เหตุใดฟันของมันถึงยังอยู่…ครั้นแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยกลับไปด้วยความคิดเช่นนี้
เมื่อเขากลับมาที่นครจักรพรรดิขุย ไม่นานก็มีคนนำฟันของสัตว์แห่งชะตาชีวิตที่หลุดจากปากมาส่งมอบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาไม่ได้สนใจสีหน้าแปลกประหลาดของคนเหล่านั้น เพราะความสงสัยใคร่รู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เวียนวนอยู่กับฟันเหล่านี้นานเหมือนกัน สุดท้ายคิดว่าควรต้องเก็บมาไว้ หาไม่แล้วหากครั้งหน้าที่สัตว์แห่งชะตาชีวิตของเขตแดนธาราปรากฏตัวแล้วพออ้าปากแต่กลับฟันหลอ…แบบนั้นคงน่าเกลียดแย่
พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอนหายใจ มักรู้สึกว่าทำไมพอตนออกหน้าทีไร ท่วงทำนองของเรื่องราวจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
“ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเหตุการณ์มันร้ายแรงแค่ไหน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลึงขมับตัวเอง ไม่มัวมาคิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป พอกลับมาถึงวังหลวงก็ตรงไปหาพวกซ่งจวินหว่านทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดีว่า ต่อให้การปรากฏตัวของเขตแดนธาราจะทำให้เรื่องราวผ่อนคลายลง ทว่าหายนะแห่งการดับทำลายครั้งนี้ก็ยังมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ส่วนจักรพรรดิเซิ่งที่ต่อให้เป็นครึ่งก้าวบุพกาลก็ยังไม่สามารถรับมือได้อยู่ดี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนต้องดูที่ว่าการเลือกของตนจะสำเร็จหรือไม่
เขาจึงจำเป็นต้องปิดด่านครั้งหนึ่ง เป็นการปิดด่านในระยะยาว!
และเมื่อการปิดด่านนี้สิ้นสุดลง บางทีอาจเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นความตาย อนาคตจะเป็นอย่างไร ใครก็มิอาจบอกได้ และวิธีเดียวที่เขาพอจะนึกออกก็คือส่งตัวพวกซ่งจวินหว่าน รวมไปถึงญาติมิตรทั้งหลายของตนไปหลบภัยบนพัดวิเศษ
เพียงแต่ว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอจากป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ว่าซ่งจวินหว่าน โจวจื่อโม่หรือแม้แต่โหวเสี่ยวเม่ย หรือกระทั่งต้าเป่าและเสี่ยวเสี่ยวเอง รวมไปถึงพวกราชาผียักษ์และหลี่ชิงโหว พวกเขาต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วย
“ทำแบบนั้นมันไม่มีความหมาย หากดินแดนเซียนนิรันดร์กาลหายไป เจ้าคิดหรือว่าพวกเราที่อยู่บนพัดวิเศษจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ เจ้าเองก็พูดแล้วว่าผู้บงการนี่ฝานคิดจะทำลายทั้งห้วงจักรวาล ทำลายทุกเผ่าพันธุ์ ต่อให้พวกเราหนีพ้นเคราะห์คราวนี้ไปได้ แต่สุดท้ายแล้วก็มีเวลาใช้ชีวิตอยู่อีกแค่ไม่กี่ก้านธูปเท่านั้น” ซ่งจวินหว่านที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาอ่อนโยนเอ่ยขึ้นเบาๆ