Skip to content

A Will Eternal 1291

บทที่ 1291 นี่ฝานฟื้นตื่น

นักพรตทงเทียน ดับสูญ!

บุคคลที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำแห่งโลกทงเทียน ซึ่งเคยได้ใช้พละกำลังและวิธีการของตัวเองเพียงคนเดียวมาโค่นล้มนครจักรพรรดิขุย และเกือบจะทำให้การสืบทอดของจักรพรรดิขุยหายสาบสูญ เป็นเหตุให้แดนทุรกันดารถือกำเนิด สุดท้ายยังเป็นคนที่ทำลายโลกทงเทียนด้วยน้ำมือตัวเอง

บัดนี้ชีวิตของเขาได้กลายมาเป็นเพียงอดีต เมื่อศีรษะของเขาถูกไฟเผามอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี จิตวิญญาณของเขาก็ได้แหลกสลายหายไปสิ้น

หลงเหลือเพียงเถ้าอัฐิที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางห้วงจักรวาลแห่งนี้

ไม่มีใครรู้ว่านาทีที่เขาตายไป คำตอบสำหรับสามคำที่ว่า… “คุ้มแล้วหรือ” ที่เขาพึมพำออกมานั้นคืออะไร บางทีอาจจะไม่คุ้ม หรือบางทีก็อาจจะคุ้มค่า

หรือไม่ก็อาจจะเป็นอย่างที่คนเฝ้าสุสานเคยพูดไว้ หากเขาไม่ได้ทำตามคำสัญญาเก่าแก่ แต่เลือกที่จะปลดปล่อยนักพรตทงเทียนออกมา ให้นักพรตทงเทียนเป็นผู้นำพาราชวงศ์จักรพรรดิขุย บางที…สถานการณ์อาจผิดแผกไปจากนี้

ไม่มีใครบอกได้ว่าหากเป็นเช่นนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หากคนเฝ้าสุสานทำตามปณิธานของจักรพรรดิขุยก็ย่อมไม่มีทางปล่อยให้คนที่ไม่ได้ฝึกเวทแห่งเต๋าของจักรพรรดิขุยเดินออกมาจากโลกทงเทียนได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตลอดชีวิตของนักพรตทงเทียนก็สามารถพูดด้วยว่าเต็มไปด้วยคลื่นมรสุมไม่หยุดพัก ทว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องเดินมาถึงปลายทาง สิงห์เฒ่าผู้ทะเยอทะยาน บัดนี้กลับกลายมาเป็นเพียงฉากโหมโรงของเรื่องราว

เมื่อร่างของนักพรตทงเทียนแหลกสลายเป็นเถ้าถ่านที่ปลิวหายไปท่ามกลางห้วงจักรวาล ซ่งเชวียที่หอบหายใจหนักหน่วงโดยมีจักรพรรดิเซิ่งประคองอยู่ข้างกายก็พลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาที่มองเถ้าธุลีจากร่างของนักพรตทงเทียนซึ่งค่อยๆ สลายหายไปก็มีแววของความซับซ้อนอยู่เสี้ยวหนึ่ง

ขณะเดียวกันทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล โดยเฉพาะนักพรตของราชวงศ์จักรพรรดิขุยที่แม้พวกเขาจะอยู่ห่างไปไกลมาก แต่การต่อสู้ระหว่างพวกซ่งเชวียสามคนกลับสะท้านฟ้าสะเทือนดินมากเกินไป พวกเขาจึงพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง และเมื่อตระหนักได้ว่านักพรตทงเทียนตายไปแล้ว หลังจากความเงียบในระยะเวลาสั้นๆ ผ่านพ้นไปก็ตามมาด้วยเสียงไชโยโห่ร้องที่ดังกระหึ่มมาจากคนทั่วทั้งราชวงศ์จักรพรรดิขุย

พวกเขาเองก็เคียดแค้นนักพรตทงเทียนอย่างถึงที่สุดเหมือนกัน และท่ามกลางเสียงร้องด้วยความปิติยินดีของพวกเขา ซ่งเชวียและจักรพรรดิเซิ่งต่างก็เตรียมจะถอยกลับเข้าไปในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล

ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นพวกเขาสองคนก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี!

วินาทีที่พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี ปราณที่ไร้คำบรรยายขุมหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่ไพศาลราวกับจะสามารถแผ่ลามไปทั่วห้วงจักรวาลราวกับจะสยบกำราบทุกชีวิต

ประหนึ่งปราณของผู้สูงศักดิ์เพียงหนึ่งเดียวทั้งในและนอกจักรวาลก็พลันระเบิดออกมาจากเรือนกายใหญ่โตมโหฬารของรูปปั้นนี่ฝานที่ยืนตระหง่านกลางห้วงจักรวาลนอกดินแดนเซียนนิรันดร์กาล!

การแผ่ออกมาของปราณนี้ทำให้ห้วงจักรวาลสั่นสะเทือน

แม้แต่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ยังสั่นไหว พื้นดินเกิดรอยปริแตก ขนาดมหาสมุทรหย่งเหิงก็ยังเหมือนถูกปราณที่มองไม่เห็นนี้บีบอัดกดดันจนยุบยวบลงไปเป็นหลุมลึก แม้แต่ริ้วคลื่นก็ยังไม่สามารถกระเพื่อมขึ้นมาได้

ส่วนทุกชีวิตที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลตอนนี้ก็พากันใจสั่นอย่างบ้าคลั่ง สะท้านเยือกไปยันจิตวิญญาณ หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลน จิตสำนึกทุกอย่าง แนวทางความคิดทุกอย่างล้วนเหมือนถูกลบเลือนทิ้งไป หลงเหลือไว้เพียงความหวาดกลัวและตะลึงพรึงเพริดโดยสัญชาตญาณ ประหนึ่งได้พบเจอกับศัตรูธรรมชาติที่ควบคุมความเป็นความตายและชะตาชีวิตของพวกเขาไว้ในกำมือ!!

หากเป็นเพียงเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่ที่แปลกประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือในปราณที่แผ่ท่วมท้นห้วงนภากาศนี้คล้ายจะแผ่พลังของกฎเกณฑ์บางอย่างที่สามารถชักดึงนำพา เป็นเหตุให้น้ำทะเลของมหาสมุทรหย่งเหิงที่พอยุบยวบลงไปในระยะเวลาสั้นๆ แล้วจู่ๆ ก็พลันลอยตัวขึ้นสูง!

ไม่เพียงแค่มหาสมุทรหย่งเหิงเท่านั้น ยังมีภูเขาหินหลายลูกที่พากันลอยตัวขึ้นกลางอากาศเสียงดังสนั่นอื้ออึง ขนาดทะเลและภูเขาก็ยังเป็นเช่นนี้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เลย ไม่ว่าใครจะมีตบะอะไรก็ล้วนลอยตัวขึ้นสูงอย่างที่ไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้!

ภูเขาแต่ละลูก นครแต่ละแห่ง ตำหนักแต่ละหลัง รวมถึงพืชพรรณต้นไม้ใบหน้า สัตว์ร้ายทุกตัว ทุกชีวิตที่ดำรงอยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลล้วนถูกชักนำไปหมด

ภาพเหตุการณ์นี้มากพอจะสร้างความครึกโครมให้แก่ทุกผู้ทุกคน!

และวังหลวงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นเช่นเดียวกัน พระราชวังโอ่อ่าลอยขึ้นกลางอากาศทั้งหลัง ห้องลับของเขาเองก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับการชักนำที่น่าครั่นคร้ามนี้ได้เช่นกัน ทุกวิชาอภินิหาร ทุกตราผนึกเหมือนเสียประสิทธิภาพ ประตูห้องลับบานใหญ่ที่เดิมทีแข็งแกร่งสุดประมาณ หรือแม้แต่ห้องลับที่สร้างขึ้นจากหิน บัดนี้ก็ยังแยกชิ้นส่วนกันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนถูกรื้อถอน!

เผยให้เห็น…เรือนกายแห้งเหี่ยวไร้ประกายแสงแห่งความมีชีวิตชีวาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินจนแยกไม่ออกว่าตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่!!

เรือนกายของเขาคือสิ่งเดียวบนแผ่นดินดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่… ยังคงนั่งขัดสมาธินิ่งไม่กระดุกกระดิกภายใต้ปราณและการชักนำนี้!!

แล้วก็มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ เพราะขนาดจักรพรรดิเซิ่งและซ่งเชวียที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยังตัวสั่นเทิ้ม เรือนกายของพวกเขาเหมือนถูกพันธนาการ เหมือนจมอยู่ในน้ำ ต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากกว่าจะฝืนหันตัวกลับไปมอง… ผู้บงการนี่ฝานที่เวลานี้กำลังขยับร่างอย่างเชื่องช้าได้สำเร็จ!!

เรือนกายของผู้บงการนี่ฝานใหญ่โตยิ่งนัก มือทั้งคู่ของเขาที่ยืนอยู่กลางห้วงจักรวาลสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ แต่ที่สั่นรุนแรงยิ่งกว่ากลับเป็นศีรษะของเขา ศีรษะของเขาที่เดิมทีไม่อาจกระดุกกระดิกได้ บัดนี้กลับมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นออกมา ก่อนที่จะเกิดรอยปริร้าวลามไปทั่วชั้นหินที่เกาะตัวตกตะกอนหนาชั้นอยู่บนเรือนกายเขาท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน

รอยร้าวนี้แผ่ลามไปอย่างรวดเร็วและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงชั่วพริบตาก็เพิ่มมากถึงหลายร้อยเส้น จากนั้นก็หลายพันเส้น หลายหมื่นเส้นและยิ่งเพิ่มมากไปกว่านั้น จนกระทั่งแผ่ลามไปทั่วร่างจนร่างของเขาเหมือนพื้นดินที่แตกระแหง และเมื่อรอยปริร้าวพวกนี้ปรากฏ ปราณที่แผ่ออกมาจากด้านในก็ยิ่งน่าประหวั่นพรั่นพรึงมากกว่าเดิม!!

แล้วก็ไม่เพียงแค่สรรพชีวิตและหมื่นสรรพสิ่งบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเท่านั้นที่สูญเสียจิตสำนึกจนถูกชักนำให้ลอยขึ้นฟ้า ท่ามกลางเสียงอึงคะนึงเลือนลั่นนี้ แม้แต่ตัวของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเองก็ยังเหมือนเปลี่ยนวิถีโคจรจึงถูกชักดึงให้ลอยขยับเข้าไปหาผู้บงการนี่ฝานอย่างเชื่องช้า แม้การขยับเคลื่อนนี้จะไม่เร็วมากนัก แต่จะอย่างไรซะนี่ก็คือดินแดนเซียนนิรันดร์กาล การขยับเคลื่อนของมันจึงทำให้ห้วงจักรวาลสั่นสะเทือน ทำให้ในสมองของจักรพรรดิเซิ่งและซ่งเชวียเกิดพายุระห่ำโถมกระหน่ำขึ้นมาทันที

“เขา…เขา…” จักรพรรดิเซิ่งถึงกับเสียงสั่น มองผู้บงการนี่ฝานที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยปริแตกร้าวด้วยความหวาดกลัว

ซ่งเชวียหน้าขาวซีด ก่อนหน้านี้แค่นักพรตทงเทียน เขากับจักรพรรดิเซิ่งก็ต้องทุ่มสุดชีวิตถึงจะสังหารอีกฝ่ายได้ และหากนำมาเปรียบเทียบกับนักพรตทงเทียน พวกเขาก็พอจะจินตนาการได้ถึงระดับความเหี้ยมหาญแข็งแกร่งของผู้บงการนี่ฝานได้เลย

“ฟื้นตื่น…ก่อนกำหนด!!” วินาทีที่อสนีสวรรค์ผ่าเปรี้ยงลงในจิตวิญญาณของซ่งเชวีย ในที่สุดรอยปริแตกบนหนังตาของผู้บงการนี่ฝานที่ยืนอยู่กลางห้วงจักรวาลก็ลามมาบรรจบกัน ภายใต้เสียงกัมปนาทที่ดังเกริกก้อง ดินโคลนจำนวนมากหลุดร่วงลงมา ราวกับว่าผู้บงการนี่ฝานท่านนี้กำลังพยายามลืมตาขึ้นอย่างเต็มกำลัง!

และตราผนึกเส้นที่เป็นตัวแทนของจักรพรรดิขุยบนร่างของเขา ก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเวลานี้กำลังจางหายไปในระดับที่น่าตะลึงพรึงเพริด ราวกับว่าจะไม่มีโอกาสให้พลิกฟื้นอีกแล้ว และเพียงแค่ชั่วไม่กี่อึดใจที่ผ่านพ้นไป ตราผนึกนั้นก็หายวับเข้าไปในหว่างคิ้วของผู้บงการนี่ฝานอย่างสมบูรณ์แบบ!!

ชั่วขณะที่ตราผนึกหายวับไปก็เหมือนมีเสียงของสายพิณที่ขาดผึงดังก้องสะท้อนอยู่ระหว่างฟ้าดิน กังวานอยู่ในโลกดินแดนเซียนนิรันดร์กาล สะท้อนอยู่ในหูของทุกชีวิต!

ขณะเดียวกันกับที่ตราผนึกหายไป หนังตาของผู้บงการนี่ฝานก็ขยับเคลื่อนรุนแรง แล้วทันใดนั้น… ในห้วงจักรวาลก็พลันมีดวงอาทิตย์สองดวง…ปรากฎขึ้น!!

ในห้วงจักรวาลที่มืดดำ เมื่อดวงอาทิตย์สองดวงปรากฏขึ้นก็ไม่ได้แผ่แสงสว่างเจิดจ้าบาดตา เพราะสีของดวงอาทิตย์ทั้งสองก็เป็นสีดำเหมือนกัน แต่กลับเห็นได้ชัดว่าลึกล้ำสุดจะหยั่งยิ่งกว่าห้วงจักรวาล แทบไม่ต่างอะไรไปจากหลุมดำ!

นั่นก็คือ… “ดวงตาของผู้บงการนี่ฝาน!!”

บัดนี้ นี่ฝาน ได้ฟื้นตื่นแล้ว!!

วินาทีที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาก็มีเสียงถอนหายใจที่คล้ายดังมาจากกาลเวลาอันห่างไกลก้องอื้ออึงอยู่ในฟ้าดิน ในห้วงจักรวาลที่ซากปรักหักพังของเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนกำลังถูกจุดไฟให้ส่องสว่าง…ดังกังวานไปทั่วโลกทั้งใบ!

แล้วก็เพราะเสียงถอนหายใจนี้ดังกึกก้องขึ้นมา ในสมองของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล พวกเขาถึงสะดุ้งตื่นจากอาการสติหลุดก่อนหน้านี้ และเมื่อตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันรอให้พวกเขาตะลึงพรึงเพริด จากการที่ร่างของตัวเองถูกชักนำให้ลอยขึ้นสูง ก็มองเห็นได้ทันทีว่าดวงตาทั้งคู่ของผู้บงการนี่ฝานที่อยู่บนท้องฟ้า…ได้ลืมขึ้นมาแล้ว!!

ไม่มีเสียงร้องอุทานใดๆ ดังออกมา เพราะความตะลึงลานนี้รุนแรงเกินไป มีเพียงเสียงสูดลมหายใจดังระงมของคนนับไม่ถ้วนบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างสุดประมาณเท่านั้น

“เมื่อข้าฟื้นตื่น สรรพชีวิตย่อมถูกดับทำลาย…”

น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยกาลเวลาอันเนิ่นนานหาที่สิ้นสุดไม่ได้ดังเนิบนาบขึ้นในห้วงจักรวาล ราวกับว่าเพียงแค่เสียงนี้ก็แฝงเร้นไว้ด้วยต้นกำเนิดแห่งกาลเวลา ไม่ว่าผ่านที่ใด กาลเวลาก็เหมือนไหลเวียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พริบตานั้นตลอดทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็เหมือนกลายมาเป็นสีเทา…

ขณะเดียวกันรอยปริร้าวบนร่างของผู้บงการนี่ฝานที่ลืมตาตื่นก็พากันแตกกระจายเสียงดังครืนครั่น ก่อนที่เขาจะพยายามขยับร่างของตัวเองอย่างเชื่องช้า!!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!