Skip to content

A Will Eternal 130

บทที่ 130 เมล็ดกำเนิดสัตว์ออกดอก

ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของเขาจะเป็นแบบไหนกันแน่ และก็ดูออกเช่นกันว่าตบะของตัวเองมีไม่เพียงพอ เขตแดนธาราจึงมีขนาดแค่สองร้อยจั้งเท่านั้น มิอาจรองรับร่างกายของจิตวิญญาณแห่งชะตาตนเอาไว้

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะยังไงซะเมื่อจิตวิญญาณแห่งชะตาตนก่อกำเนิดออกมาแล้ว นั่นก็หมายความว่าวิชาเขตแดนธาราที่เขาทดลองฝึกฝนมาหลายปีไม่ได้ล้มเหลว ในใจของเขายังถึงขั้นเต็มไปด้วยความรอคอยต่อจิตวิญญาณแห่งชะตาตนของตัวเอง

เวลานี้ได้ยินคำพูดของคนรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

“เฮ้อ ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ต้องมีคนไชโยโห่ร้อง ความจริงแล้วข้าเป็นคนที่ชอบทำตัวสงบเสงี่ยมนะเนี่ย เอาเถอะๆ เรื่องที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือพวกนี้รังแกข้าเมื่อช่วงก่อนหน้า ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยด้วยก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่กลับหัวหมุนติ้วตาพร่าลาย ยิ่งไปกว่านั้นคือความรู้สึกหิวโหยอย่างรุนแรงที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง เขาสิ้นเรี่ยวหมดแรง ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ไหว

เขารีบหยิบยาออกมากลืนลงไปทันที หลังจากที่ยาในร่างกายละลายกระจายออกไปแล้ว เขาถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย สามารถลุกขึ้นยืนได้

ท่ามกลางสายตาซับซ้อนอย่างถึงขีดสุดของลูกศิษย์ฝ่ายเหนือแต่ละคน ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าขึ้น ต่อให้ร่างกายอ่อนแอ แต่ก็ไม่ลืมวางท่าเป็นยอดฝีมือผู้ซึมเศร้า ใบหน้าซีดขาวที่คล้ายจะมีรัศมีพิเศษบางอย่างก่อตัวขึ้นมาเองโดยปริยาย ค่อยๆ เดินจากไป

จนกระทั่งเขาเดินจากไปไกลแล้ว ลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนือรอบด้านถึงได้ถอนหายใจกันออกมา พวกเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไรกับป๋ายเสี่ยวฉุน แรกเริ่มัน้นคือศัตรูร่วมของชายฝั่งทิศเหนือ จนกระทั่งศึกบนเวทีประลองที่ดำเนินติดต่อกันหนึ่งเดือนกว่า และการประจักษ์แจ้งที่เหนือกว่ากุ่ยหยาในภายหลัง รวมไปถึงเขตแดนธาราที่ฟ้าสะท้านดินสะเทือน

ในใจของพวกเขาล้วนยอมรับว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างแท้จริง แต่เขากลับแตกต่างไปจากศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ทุกครั้งที่เห็นก็ล้วนข่มความคิดที่อยากจะเดินเข้าไปฟาดเขาสักทีไม่ได้ นี่ไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง แต่เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง

นับตั้งแต่ที่เขามาอยู่ชายฝั่งทิศเหนือ ชายฝั่งทิศเหนือก็แทบไม่เคยได้หยุดพักอย่างสงบ มักจะต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้นรอบตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เสมอ ยามนี้ในใจของทุกคนจึงพากันปลดปลง

โดยเฉพาะลูกศิษย์ฝ่ายในที่ยิ่งปลงตกมากกว่า จากเวลาที่กว่าจะเหยียบย่างเข้าสู่การประจักษ์แจ้งได้ซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ไปมากกว่ากุ่ยหยาถึงห้าเท่า พวกเขาก็มองออกแล้วว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นสู้กุ่ยหยาไม่ได้อย่างแท้จริง

บางทีระหว่างพวกเขาแล้วก็อาจจะต่างกันไม่มากเท่าไหร่นัก แต่การสังเกตและศึกษารวมถึงความบ้าคลั่งเจ็ดสิบวันนั้นก็ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความยึดมั่นของป๋ายเสี่ยวฉุน รวมไปถึงสิ่งที่แฝงเร้นอยู่เบื้องหลังซึ่งทำให้เขาสะสมความพยายามในการงัดประตูสู่การประจักษ์แจ้งออกมาได้

เป่ยหันเลี่ยเงียบงัน ทอดสายตามองไปยังแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน หมุนกายดิ่งทะยานกลับถ้ำสถิต เขาต้องการปิดด่านอีกครั้งเพื่อฝ่าทะลุรวมลมปราณขั้นสิบ เตรียมตัวสู่สร้างฐานราก

“เพราะความพยายามและความยึดมั่นของข้ายังไม่มากพอหรือ ป๋ายเสี่ยวฉุน สักวันข้าต้องเหนือกว่าเจ้าให้ได้!”

พี่น้องกงซุน สวีซง และศิษย์แห่งความภาคภูมิใจฝ่ายในแต่ละคนก็สูดลมหายใจเข้าลึกเช่นกัน พวกเขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่ง รู้ถึงระยะห่างของตัวเองดี แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งเกิดความฮึกเหิมเนื่องจากไม่ต้องการถูกกดขี่ไปตลอดชีวิต แต่ละคนพกพาเอาความเด็ดเดี่ยว พกพาเอาความเฉียบขาด พากันเลือกทำในสิ่งเดียวกับเป่ยหันเลี่ย ไปจากสถานที่แห่งนี้

“ความพากเพียรสามารถชดเชยความไม่เก่งได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้ พวกเราก็ต้องทำได้เหมือนกัน!”

ไม่นานทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือก็แยกย้ายกันไป สายตาของกุ่ยหยาที่อยู่กลางอากาศมองไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป เขาอยากรู้ว่าหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นกรงเล็บของสัตว์ร้ายแล้วยังได้เห็นอะไรอีก

ไม่ใช่ไปฟังคำตอบ แต่ไปเห็นด้วยตาของตัวเอง นี่จะทำให้ขบวนภูตรัตติกาลของเขาฝ่าทะลุไปอีกขั้น

“นอกเสียจากว่าสามารถเข้าไปในความทรงจำของเขาเพื่อดูภาพที่ข้าต้องการเห็น” กุ่ยหยาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ส่ายหัว

“เขาในเวลานี้ ข้าไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย แต่หลังจากสร้างฐานรากแล้ว…” ดวงตาของกุ่ยหยาเผยประกายลึกล้ำบางอย่าง

“คำนวณจากเวลาแล้ว สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากทั้งสามแห่งที่สี่สำนักใหญ่ตอนล่างแม่น้ำทงเทียนตะวันออกครอบครองร่วมกันใกล้จะเปิดขึ้นแล้ว หุบเหวกระบี่อุกกาบาตหนึ่งในนั้น…ก็จะต้องเปิดขึ้นเช่นเดียวกัน สร้างฐานรากวิถีดินก่อให้เกิดกระแสน้ำขึ้นน้ำลง ด้วยวิชาลับของข้าน่าจะทำให้เกิดได้ถึงแปดครั้ง สร้างฐานรากวิถีดินที่เกิดกระแสน้ำขึ้นน้ำลงแปดครั้ง ถึงเวลานั้นทุกอย่างก็จะง่ายดาย” กุ่ยหยาพยักหน้า หมุนกายจากไปไกล

ในหอร้อยสัตว์ ป๋ายเสี่ยวฉุนคงท่าของยอดฝีมือมาตลอดทาง เพิ่งจะเหยียบเข้ามาด้านในได้ เห็นว่ารอบด้านไม่มีคนก็พลันคลายท่าทีลง เดินกลับเข้ามาในหอเรือนด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างยิ่ง กองพังพาบลงบนพื้นอย่างเหนื่อยล้าได้ก็หลับลงไปทันที

การนอนครั้งนี้ติดต่อกันถึงสามวันจึงพอกล้อมแกล้มฟื้นตัวมาได้ครึ่งหนึ่ง และต้องบำรุงร่างกายติดต่อกันอีกถึงครึ่งเดือน สุดท้ายเมื่อฟื้นตัวได้เต็มที่แล้วเขาก็ค้นพบอย่างตกใจระคนดีใจว่าตบะของตัวเองมีความก้าวหน้าไปบางส่วน ได้ไปถึงจุดสูงสุดของรวมลมปราณขั้นเก้าแล้ว อย่างมากนั่งทำสมาธิอีกสักครึ่งเดือน ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาก็สามารถฝ่าทะลุไปถึงรวมลมปราณขั้นสิบได้

นอกจากนี้แล้วเขายังพบว่าในด้านการควบคุมพลังวิญญาณของตัวเองนั้นแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นที่สามารถควบคุมการไหลเวียนพลังวิญญาณในร่างกายได้อย่างแม่นยำ ไม่มีความรู้สึกติดขัดเกิดขึ้นเลยสักนิดเดียว

ที่ยิ่งทำให้เขาดีใจอย่างบ้าคลั่งก็คือชีพจรในร่างกายได้หนาใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกเล็กน้อย และยังมีผิวหนังเงินคงกระพันที่เวลามันหมุนเคลื่อนก็มีแสงสีทองให้เห็นมากกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน

“เพิ่มขึ้นทุกด้านเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจฮึกเหิม เข้าป่าเพื่อไปดูสัตว์ร้ายพวกนั้นที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาหลายเดือน แล้วก็ไปด้านหลังหอมองเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์ที่สูงพอสองจั้งกว่า ผลิช่อดอกขนาดใหญ่ยักษ์ออกมาหนึ่งดอก

จนถึงทุกวันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนปลูกเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์มาได้ระยะเวลานานพอสมควรแล้ว แถมมีดินวิเศษที่ผ่านการหลอมพลังจิตสามครั้ง อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังโรยผงยาวิเศษที่ช่วยในการเจริญเติบโตลงไปบนดินวิเศษเป็นประจำด้วย

อีกอย่างที่แห่งนี้มีค่ายกล เมื่ออยู่ด้านหลังหอเรือนจึงปกปิดทุกอย่างเอาไว้ได้ ไม่มีใครสังเกตเห็น

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอย่างละเอียดก็ค้นพบอย่างตกใจระคนดีใจว่าเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์นี้ใกล้จะถึงช่วงสุกงอมแล้ว

“มากสุดคืออีกหนึ่งเดือนก็จะสำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมจึงเลือกอยู่ตรงนี้เสียเลย ทำสมาธิบำเพ็ญตบะพลางศึกษาและสังเกตเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์ไปด้วย

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปสิบวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะฝ่าทะลุขั้นแล้ว และเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์นี้ก็ทำให้เขาดีใจจนหน้าบานเป็นกระด้ง เวลาครึ่งเดือน เมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์ยังคงมีขนาดสองจั้งเช่นเดิม แต่ช่อดอกไม้กลับเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง ในเวลานี้มันโตถึงครึ่งจั้งกว่าแล้ว

หนักอึ้งจนย้วยงอลงมา และบนช่อดอกไม้ก็มีกลีบดอกที่ทับซ้อนกัน สามารถจินตนาการได้ว่าหากคลี่ขยายออกมาจะต้องปกคลุมขอบเขตได้กว้างกว่านี้อีกแน่นอน

อีกทั้งเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์นี้ยังปล่อยกลิ่นหอมรวยรินออกมาช้าๆ ด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งทีแล้วก็นั่งสมาธิต่อ จนกระทั่งยามสายัณห์ของอีกสามวันต่อมา ในร่างกายของเขาพลันส่งเสียงกัมปนาทดังปังๆ ตัวสั่นเยือกอย่างรุนแรง คราบไคลสกปรกสีดำจำนวนไม่น้อยหลั่งออกมาจากรูขุมขนตลอดร่าง พลังวิญญาณในร่างกายของเขาราวกับม้าหมื่นตัวห้อทะยาน ไหลวนไปทั่วร่างกาย

พลังวิญญาณนี้ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อมารวมเข้าด้วยกันก็คล้ายกับแม่น้ำใหญ่ที่โหมซัดสาด จนกระทั่งกลายร่างเป็นมังกรยักษ์หนึ่งตัวส่งเสียงแผดร้อง

ตลอดทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน เบื้องหลังของเขาปรากฏเงาร่างของมังกรและช้าง ขณะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วัน้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกตาโพลง ดวงตาเปล่งประกายุดจสายฟ้า เสียงดังเลือนลั่นในร่างกายคนนอกไม่ได้ยิน มีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถได้ยินเสียงกัมปนาทดังราวฟ้าผ่านั้น

“คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทรขั้นที่สอง!”

“รวมลมปราณขั้นที่สิบ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สัมผัสได้ว่าความกว้างใหญ่ของพลังวิญญาณในร่างกายมีมากกว่ารวมลมปราณขั้นเก้าเกือบหนึ่งเท่าตัว เขาลุกขึ้นยืน สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณ เมื่อทำมุทรากระถางสีม่วงพลันปรากฏขึ้นมาทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคัก ชี้นิ้วไปอีกครั้ง ทันใดนั้นด้านข้างของกระถางม่วงใบนี้ก็ปรากฏเป็นกระถางใบใหญ่อีกหนึ่งใบ สุดท้ายก็ปรากฏขึ้นมาอีกใบ กระถางสามใบคือขีดสุดแล้ว มันหมุนวนไปรอบด้านของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าหัวเราะร่าอีกครั้ง ร่างบินถลาออกไป กระบี่วิหคทองในมือตัวดหนึ่งครั้งมีเปลวไฟกระจายออกมา ทำให้ภายในรัศมีสามจั้งร้อนแผดเผาราวกับไฟโลกันตร์

และยังมีวิหคเพลิงอีกหนึ่งตัวก่อกำเนิดขึ้นท่ามกลางเปลวไฟ แผ่พลานุภาพสยบอันรุนแรง

รอยยิ้มบนใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งกว้างมากขึ้นกว่าเดิม โบกมือหนึ่งครั้ง เวทคาถาทั้งหมดหายไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริงแล้ว

“สร้างฐานราก…เข้าใกล้มากแล้ว รอให้ข้าถึงขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณขั้นสิบก็จะสามารถทดลองสร้างฐานรากได้!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้นของสร้างฐานรากก็ตื่นเต้นขึ้นมาโดยพลัน

รีบชำระล้างคราบสกปรกบนร่างกายออกให้สะอาด ใช้เวลาครึ่งวันในการปรับตัวเข้ากับพลังวิญญาณที่มีพลังมหาศาลมากขึ้นเนื่องจากตบะเพิ่มมากขึ้น แล้วจึงกลับไปยังหลังหอเรือนด้วยความกระปรี้กระเปร่า นั่งลงทำสมาธิอยู่หน้าเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์

“ตบะฝ่าทะลุขั้นแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์นี้แล้ว”

“ฮ่าๆ ความฝันของข้าในที่สุดก็จะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว”

“ยังไงซะจิตวิญญาณแห่งชะตาตนก็เป็นแค่ภาพมายา เกิดขึ้นจากวิชาลับ แต่เมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์นี้ไม่เหมือนกัน นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่สามารถให้กำเนิดสัตว์รบตัวเป็นๆ ออกมาได้จริงๆ!”

“ข้าจะเพาะเลี้ยง…สัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งรวบรวมเอาข้อดีของสัตว์ทุกตัวไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เป้าหมายในการมาบำเพ็ญตบะที่ชายฝั่งทิศเหนือของข้าก็จะสำเร็จลุล่วงหมดทุกอย่าง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรอคอยวันนี้มานานมากแล้ว เวลานี้ข่มกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ นั่งเฝ้าเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์

ไม่นานเวลาก็ผ่านไปอีกสิบกว่าวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นช้าๆ เหม่อมองช่อดอกขนาดยักษ์ของเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์เบื้องหน้าที่ไม่มีกิ่งก้านอีกแล้ว เขาแค่รู้จักเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์ผ่านทางข้อมูลความรู้ แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาทดลองปลูกจึงรู้สึกราวกับปาฏิหาริย์

เมื่อเจ็ดวันก่อนกิ่งของมันไม่อาจรับน้ำหนักของช่อดอกไหวอีกต่อไป ท่ามกลางความตึงเครียดของป๋ายเสี่ยวฉุน กิ่งก้านของมันก็เริ่มเหี่ยวแห้งลง หลังจากหลอมรวมเข้ากับช่อดอกแล้ว ช่อดอกนี้ก็เหมือนเติบโตขึ้นมาเองบนพื้นดิน นับวันก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เวลานี้มีขนาดพอหกจั้ง คล้ายกับซาลาเปาก้อนยักษ์หนึ่งก้อน…

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายลงคอ ถอยหลังออกไปหลายก้าว นั่งเฝ้าต่อไป สามวันต่อมา เมื่อกลิ่นหอมเข้มข้นระลอกหนึ่งพลันโชยออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกตาโพลงทันที มอง ‘ซาลาเปา’ เบื้องหน้าที่โตพอเก้าจั้งลูกนี้

ปากของซาลาเปาอ้าออกน้อยๆ เป็นรอยแยกขนาดประมาณกำปั้น กลิ่นหอมพวกนั้นก็โชยออกมาจากช่องทางนี้

“กลิ่นหอมเข้มข้น เมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์ปริแตก ในข้อมูลับนทึกเอาไว้ว่านี่คือลักษณะสุกงอมเต็มที่ของเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์ เป็นการแสดงออกให้รู้ว่าสามารถดำเนินการตั้งท้องสัตว์ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบลุกขึ้นยืน เดินวนรอบเมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์มองไปมองมา ดวงตาเปล่งประกาย หลังจากครุ่นคิดดูแล้วก็ออกไปข้างนอกทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ ตอนที่กลับมา เบื้องหลังของเขาก็มีเสือบินตัวัน้นเดินตามกลับมาด้วย

เสือบินตัวนี้เดิมทีกำลังมองรอบด้านด้วยใบหน้าสงสัยใคร่รู้ แต่พอเดินตามป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงด้านหลังหอเรือน ทันใดนั้นร่างของมันก็พลันสั่นเยือก วินาทีนั้นนัย์นตาของมันโชนแสงรุนแรงราวกับมองเห็นสัตว์เพศเมีย คำรามเสียงดังหนึ่งทีก็ถลาเข้าหาดอกกำเนิดสัตว์

พริบตาที่เข้าไปใกล้ดอกกำเนิดสัตว์นั้น ปากของดอกไม้ดอกนี้พลันขยายกว้าง คล้ายต้องการกลืนกิน พริบตาเดียวก็เขมือบกลืนเสือบินตัวนี้เข้าไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิดว่าดอกกำเนิดสัตว์จะตั้งท้องสัตว์ได้อย่างไร พอเห็นภาพนี้เข้าก็เบิกตากว้างทันที เดินรุดหน้าเข้าไปใกล้ แม้จะมองไม่เห็นภาพของเสือบินที่อยู่ในช่อดอกไม้อย่างละเอียด แต่ก็สามารถมองเห็นร่องรอยที่เสือบินขยับไหวอยู่ในช่อดอกได้ นั่นถึงได้ทำให้เขาวางใจลง รอคอยอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย

การรอครั้งนี้ยาวนานหนึ่งชั่วยาม ดอกไม้กำเนิดสัตว์คลี่บานออก เสือบินตัวัน้นคลานออกมา แข้งขาทั้งสี่สั่นระริกน้อยๆ แต่ดวงตากลับเผยแววเคลิบเคลิ้มหลงใหล ทำท่าคล้ายว่ายังอยากกลับเข้าไปอีก จึงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าหมับ พาออกไปจากหอร้อยสัตว์

ตอนที่กลับมา เบื้องหลังเขามีหมียักษ์หนึ่งตัวตามมาด้วย ไม่นานหมียักษ์ตัวนี้ก็ตาค้าง แผดเสียงคำรามดังหนึ่งครั้ง พุ่งเข้าหาดอกกำเนิดสัตว์

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!