บทที่ 1302 ต้นกำเนิดแห่งนิรันดร์กาล
ยิ่งนานแสงสว่างที่ส่องออกมาจากซากปรักหักพังของโลกแห่งเซียนก็ยิ่งเจิดจ้า ในโลกหนึ่งแสนแปดหมื่นใบ บัดนี้ร่างแห่งเต๋าของนี่ฝานพ่ายแพ้ถอยร่นไม่เป็นท่า ซ้ำยังมีซากปรักหักพังส่วนหนึ่งที่ถูกแสงสว่างของร่างแห่งเต๋าป๋ายเสี่ยวฉุนขับไล่ความมืด จุดแสงสว่างให้พร่างพราวแล้ว!
แม้จะไม่สามารถประเมินการช่วงชิงระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับนี่ฝานจากการคำนวณจำนวนของซากปรักหักพังได้เหมือนกับช่วงแรกเริ่มสุด แต่ตอนนี้…หากสามารถยืนอยู่ตรงจุดที่สูงที่สุดของห้วงจักรวาลแล้วก้มหน้าลงมองก็จะเห็นได้เหมือนกันว่า กลางห้วงจักรวาล…ที่แม้จะมีความมืดมิดอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ทุกหนทุกแห่งก็มีแสงสว่างอยู่เช่นเดียวกัน!
และพื้นที่โดยรวมที่แสงสว่างได้ครอบครอง ซึ่งแม้จะกระจัดกระจาย แต่กลับมีเกินกว่าห้าส่วน มากถึงหกส่วนกว่า ทั้งยังขยับเข้าไปใกล้เจ็ดส่วนมากขึ้นทุกขณะ!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั่วทั้งห้วงจักรวาลจึงเหมือนถูกปลุกรัศมีเรืองรองสว่างไสว ความมีชีวิตชีวายิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม โดยเฉพาะในซากปรักหักพังของโลกแห่งเซียนที่เนื่องจากร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุนมาจุดไฟให้กับที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ซ้ำบนร่างของเขายังมีโชคชะตาเสี้ยวหนึ่งของโลกแห่งเซียน โชคชะตานี้เหมือนตัวชนวนที่ทำให้แสงสว่างของซากปรักหักพังโลกแห่งเซียนแผ่ขยายลุกลามไปอย่างต่อเนื่อง
ปราณบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไต่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว จิตใจของเขาในเวลานี้ไร้ทุกข์ไร้สุข เหมือนตกอยู่ในสภาวะมหัศจรรย์บางอย่าง ภายใต้สภาวะเช่นนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงปราณแห่งความลี้ลับมหัศจรรย์นั้นได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่คือ…ต้นกำเนิดแห่งหมื่นสรรพสิ่ง…ในโลกนิรันดร์กาล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าในโลกหนึ่งแสนแปดหมื่นใบที่ร่างแห่งเต๋าของตัวเองอยู่ บัดนี้ได้มีปราณแห่งความลี้ลับนี้อบอวลอยู่ทั่วโครงกระดูกและซากปรักแห่งความตายจำนวนนับไม่ถ้วน
ต่อให้เป็นกระแสคลื่นที่เกิดจากโลงศพเหลือคณานับที่อยู่ในห้วงจักรวาลเองก็ยังมีปราณแห่งความลี้ลับมหัศจรรย์แผ่อบอวล
“นี่คือ…ต้นกำเนิดของทุกอย่าง…ในโลกนิรันดร์กาล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเห็นอีกว่า แม้แต่ตัวของซากปรักหักพังพวกนี้ หรือแม้แต่ในฝุ่นผงจำนวนนับไม่ถ้วนในห้วงจักรวาลก็ยังมีปราณลี้ลับอยู่ดารดาษถ้วนทั่ว เพียงแต่ว่ามันอ่อนจางมากก็เท่านั้น
“นี่คือ…สาเหตุที่ทำให้บุปผาแห่งนิรันดร์กาลถือกำเนิด!” สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่ล่องลอยห่างออกไปไกล เขายังถึงขั้นมองเห็นความกระวนกระวายของพวกญาติมิตรที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล มองเห็นว่าพวกเขากำลังภาวนาขอพร
บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงปราณของความลี้ลับนี้ได้มากกว่าที่อื่น ซ้ำเมื่อเปรียบเทียบกันดูแล้ว ทั่วทั้งห้วงจักรวาลแห่งนี้ มีเพียงสองสถานที่เท่านั้นที่มีปราณของความลี้ลับเข้มข้นมากที่สุด หนึ่งคือโลกแห่งเซียน ส่วนอีกหนึ่งคือดินแดนเซียนนิรันดร์กาล!
โดยเฉพาะในดินแดนเซียนนิรันดร์กาล เพราะดูเหมือนว่าหลังจากที่เผ่าพันธุ์ทั้งหลายในโลกมากมายดับสูญไป ปราณความลี้ลับนั้นจึงแทบจะไหลบ่าเข้าหาดินแดนเซียนนิรันดร์กาลทั้งหมด
ในระหว่างขั้นตอนการจุดแสงสว่างให้กับซากปรักหักพังของโลกแห่งเซียนนี้ ขณะที่ค่อยๆ รับสัมผัสและทำความเข้าใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันกระจ่างแจ้ง
“นั่นคือต้นกำเนิด นั่นคือ…ต้นกำเนิดของนิรันดร์กาล!!”
“บุปผาแห่งนิรันดร์กาลถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางต้นกำเนิดแห่งนิรันดร์กาล ดังนั้นถึงมีตำนานเล่าลือว่าเมื่อกลืนกินบุปผาแห่งนิรันดร์กาล ก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตของนิรันดร์กาล…เต๋าของนี่ฝานถึงได้ต้องดับทำลายทุกอย่างให้สูญสิ้น ด้านหนึ่งก็เพื่อแปรสภาพเต๋าของตัวเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพราะว่ามีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะทำให้บุปผาแห่งนิรันดร์กาลก่อตัวขึ้นเป็นต้นกำเนิดแห่งนิรันดร์กาลได้มากพอ!”
“อันที่จริงนี่ก็เป็นทั้งเรื่องที่ถูก แต่ก็ผิดด้วยเหมือนกัน…กลืนกินบุปผาแห่งนิรันดร์กาล ใช่ว่าจะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตนิรันดร์กาลได้เสมอไป เพียงแต่ว่า…จะมีคุณสมบัติในการผสานรวมกับต้นกำเนิดแห่งนิรันดร์กาลในห้วงจักรวาลเท่านั้น!”
“นี่ ก็คือเต๋าสุดท้ายของนี่ฝาน!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ เสียงของเขาไม่ได้ก้องสะท้อนไปในห้วงจักรวาล แต่กังวานอยู่ในหัวสมองของเขาดั่งอสนีบาตที่ระเบิดกึกก้องอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางการตระหนักรู้นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดของนิรันดร์กาลมากขึ้นเรื่อยๆ …แต่ทันใดนั้น หนังตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระตุก สภาวะที่จมจ่อมอยู่กับการรับสัมผัสของเขาถูกขัดจังหวะ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในเขตแดนธาราที่มีความเชื่อมโยงกับเขาอย่างลึกลับมีพลังแห่งการดับทำลายทะยานพวยพุ่งขึ้นสูง!
ชั่วขณะที่ปราณของการทำลายล้างนั้นระเบิดออกมา
กลางห้วงจักรวาลของซากปรักหักพังโลกแห่งเซียน เหนือพื้นที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งเข้าฌานขึ้นไป จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าคำรณดังเปรี้ยงปร้าง ก่อนที่รอยแยกขนาดใหญ่ยักษ์รอยหนึ่งจะโผล่พรวดขึ้นมากลางห้วงจักรวาล
“ข้าได้ยินคนพูดกันว่า เจ้าชื่อป๋ายเสี่ยวฉุน!” เสียงทุ้มหนักที่แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากในรอยแยก
หลังจากเสียงนี้ดังออกมา ห้วงจักรวาลก็พลันบิดเบือน ทั้งยังมีควันสีดำแผ่ลามออกไปอย่างรวดเร็ว ในควันสีดำนี้มีไอความเย็นเข้มข้น เมื่อมันแผ่กระจายออกไปก็คล้ายจะปิดผนึกทุกอย่างด้วยน้ำแข็ง
ครั้นแล้วเรือรบขนาดใหญ่มหึมาลำหนึ่งที่ทะยานดังกึกก้องซึ่งพกพาเอาความเผด็จการ พกพาเอาความบ้าคลั่ง มากไปกว่านั้นคือมีพลังอำนาจเหี้ยมหาญคล้ายจะกวาดล้างทุกอย่างให้พังราบเป็นหน้ากลองก็โผล่พรวดออกมาจากในรอยแยก!
เมื่อมันยื่นพรวดออกมา รอยแยกนี้ก็ไม่อาจทานรับได้ไหวจึงถูกแหวกกระชากจนพังทลาย เผยให้เห็นหัวเรือของเรือรบ!!
และยิ่งเผยให้เห็นคนที่ยืนอยู่บนหัวเรือ คนผู้นั้นเส้นผมยาวสีนิลปลิวไสว ดวงตาเป็นประกายมืดดำคล้ายเป็นผู้สูงศักดิ์เพียงหนึ่งเดียวในห้วงจักรวาลแห่งนี้
เขาก็คือ…ผู้บงการนี่ฝาน!
ริ้วคลื่นบนร่างของเขาวุ่นวายสับสนอย่างถึงที่สุด มันส่งผลกระทบต่อพื้นที่รอบด้านจนห้วงจักรวาลสะเทือนเลือนลั่น โดยเฉพาะหว่างคิ้วของเขาที่บัดนี้มีตราประทับหนึ่งจำแลงขึ้นมา และเมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าตราประทับนี้ก็คือรูโหว่รูหนึ่ง!
นี่ยังไม่เท่าไหร่ เพราะที่น่าตะลึงที่สุดก็คือโครงกระดูกที่เคยอยู่บนเรือรบลำนี้ได้หายไปแล้ว…และด้านหลังของนี่ฝาน บัดนี้ก็มีเงามายาขนาดใหญ่โตมโหฬารเงาหนึ่งที่ยืนตระหง่านอยู่บนเรือรบคล้ายจะค้ำยันห้วงจักรวาลเอาไว้
เงาร่างนั้นสวมชุดคลุมยาวสีเทา คือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่หว่างคิ้วมีรูโหว่เช่นเดียวกับนี่ฝาน!
เมื่อเขาเผยกาย บนร่างของเขาก็ยิ่งแผ่ปราณแห่งการดับสูญไร้ที่สิ้นสุดออกมา!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาทั้งคู่เปิดขึ้นมองผู้บงการนี่ฝานที่เยื้องกรายมาเยือน และยิ่งมองไปยังผู้เฒ่าร่างมายาที่อยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าตบะและปณิธานในการต่อสู้ของผู้บงการนี่ฝานจะแข็งแกร่งกว่าเก่าไม่น้อย ทว่าในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขายังคงมองออกว่า…ผู้บงการนี่ฝานที่ไปอยู่ในเขตแดนธาราได้รับบาดเจ็บ!!
ไม่ใช่อาการบาดเจ็บทางกาย แต่เป็นทางจิตวิญญาณ ทางต้นกำเนิดของอีกฝ่าย…ซึ่งอาการบาดเจ็บนี้มารวมกันอยู่ที่ตรงหว่างคิ้วของเขา!
“ข้าคือป๋ายเสี่ยวฉุนจริง แต่เจ้า…คือนี่ฝาน หรือว่าเมี่ยเซิ่ง…ที่มาจากนอกโลกผู้นั้นกันแน่!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืน และเมื่อเขาลุกขึ้น เมื่อเสียงของเขาดังออกมาก็ทำให้ห้วงจักรวาลสั่นสะเทือน ทำให้ฟ้าดินส่งเสียงดังกัมปนาทกึกก้องเช่นกัน!
ทั่วทั้งห้วงจักรวาลคล้ายส่งเสียงขานรับดังอึงอล
เป็นเหตุให้คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนระเบิดออกมาจากโลกหนึ่งแสนแปดหมื่นใบพร้อมกันจนเขย่าคลอนทุกสรรพสิ่ง!
ต่อให้เป็นนี่ฝาน สายตามืดดำของเขาก็ยังเป็นประกายวาบ เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้กับป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดำเนินมายาวนาน แม้อีกฝ่ายจะถูกลดทอนกำลังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความรับมือยากของป๋ายเสี่ยวฉุน และก็มองออกว่าบัดนี้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนจะมีการฝ่าทะลุ เขาจึงบังเกิดความกริ่งเกรงต่ออีกฝ่าย…อย่างที่น้อยครั้งจะปรากฏขึ้น…หลังจากที่เขาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บงการ!
สายตาของคนทั้งสองมองประสานกัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเอ่ยอะไร จนกระทั่งเสียงกัมปนาทระเบิดขึ้นอีกครั้ง รอยแยกขนาดใหญ่ยักษ์ก็พังทลายลง เรือรบทั้งลำโผล่พรวดออกมาจากในรอยแยกได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
วินาทีที่เรือรบลำนี้พุ่งออกมา ผู้บงการนี่ฝานก็พลันยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังห้วงจักรวาล!
การชี้ครั้งนี้ทำให้ความมืดมิดสามส่วนของซากปรักหักพังในโลกหนึ่งแสนแปดหมื่นใบที่ถูกร่างแห่งเต๋าของป๋ายเสี่ยวฉุนจุดแสงสว่างไปแล้วเกินครึ่งพลันแผ่ไอเยียบเย็นออกมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน และเพียงแค่ชั่วพริบตา ไอความเย็นนี้ก็ปิดผนึกพื้นที่ซากปรักหักพังสามส่วนนั้นไปโดยตรง
ไม่ว่าแสงจากร่างแห่งเต๋าของป๋ายเสี่ยวฉุนจะพยายามเข้าไปใกล้อย่างไรก็ไม่สามารถขับไล่ตราผนึกความเย็นในพื้นที่สามส่วนนั้นไปได้
ขณะเดียวกันหลังจากที่ไอความเย็นปิดผนึกพื้นที่ซากปรักหักพังมืดมิดสามส่วนนี้แล้ว ร่างแห่งเต๋าทั้งหมดของนี่ฝานที่อยู่ในโลกหนึ่งแสนแปดหมื่นใบก็จำแลงร่างกลายมาเป็นควันสีดำที่หายเข้าไปในซากปรักของใครของมัน
พอปรากฏตัวอีกครั้งก็มาโผล่อยู่ตรงห้วงจักรวาลของโลกแห่งเซียนแล้วมุ่งหน้าทะยานเข้าหา…นี่ฝาน!
เมื่อควันดำเหล่านี้ผสานรวมเข้ามา เมื่อร่างแห่งเต๋าของตัวเองทั้งหมดกลับคืนมา ร่างของผู้บงการนี่ฝานก็พลันขยายใหญ่ ราวกับว่าอีกไม่นานเท่าไหร่จะสามารถกลายมาเป็น…ยักษ์ที่ยืนอยู่นอกบุปผาแห่งนิรันดร์กาลเหมือนช่วงแรกเริ่มสุดอีกครั้ง!
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ เขารู้ดีว่านี่จะเป็นศึกสุดท้ายระหว่างตนกับนี่ฝานแล้ว จึงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วแผ่อำนาจจิตออกไปอย่างไม่ลังเลใจ เพื่อเรียกเอาร่างแห่งเต๋าทั้งหนึ่งแสนแปดหมื่นร่างในโลกหนึ่งแสนแปดหมื่นใบกลับมาให้หมด!
พริบตานั้นร่างแห่งเต๋าทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในโลกซากปรักก็ล้วนกลายมาเป็นผู่กงอิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปลิวปรายกลับมา
พอมาปรากฏอยู่รอบตัวป๋ายเสี่ยวฉุน เงามายาของผู่กงอิงเหล่านี้ก็หายวับเข้ามาในร่างของเขา หลังจากที่ร่างแห่งเต๋าทั้งหลายพากันหวนกลับคืนมา ปราณของป๋ายเสี่ยวฉุนก็อัดแน่นอยู่เต็มห้วงจักรวาล ร่างของเขาจึงขยายใหญ่เช่นกัน!
เสียงตูมตามดังกึกก้องไปแปดทิศ มองไปไกลๆ ห้วงจักรวาลในโลกแห่งเซียนก็พลันมียักษ์สองตนที่กำลังขยายร่างใหญ่ยักษ์อย่างต่อเนื่อง มาถึงท้ายที่สุด…ร่างของพวกเขาก็ใหญ่เกินกว่าโลกแห่งเซียน ราวกับจะค้ำยันห้วงจักรวาล ใหญ่มโหฬารอย่างที่ยากจะพรรณนาได้!!
รบ!