Skip to content

A Will Eternal 139

บทที่ 139 ข้าไม่ได้เป็นคนทำนะ

แต่เวลานี้เอง นอกหอเรือนมีเสียงเอะอะครึกโครมดังลอยมาให้ได้ยิน ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งตะลึง ลุกขึ้นผลักประตูใหญ่ออกก็มองเห็นลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจำนวนมากมายด้านนอกค่ายกลได้ทันที

“พวกเจ้าทำอะไรกัน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี รีบถอยกรูดไปหลายก้าว สมองหมุนเร็วจี๋ ครุ่นคิดถึงการกระทำของตัวเองช่วงที่ผ่านมา แต่คิดอยู่นานก็คิดไม่อออกว่าตัวเองไปทำเรื่องอะไรไว้กันแน่ถึงได้ทำให้ชายฝั่งทิศเหนือเคลื่อนพลเช่นนี้กันอีกครั้ง

แม้จะนึกไม่ออกว่าตัวเองไปทำอะไรเอาไว้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตกใจ พอเอ่ยปากไปเช่นนั้น ลูกศิษย์ที่อยู่นอกค่ายกลก็พากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนทันที

“อาจารย์อาป๋าย โปรดเปิดค่ายกลด้วย พวกข้าจะเข้าไปค้น!”

“ต้องเป็นที่นี่แน่นอน ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือ สถานที่ที่ค้นหาได้พวกเราก็ไปหากันมาหมดแล้ว”

“ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ผ้าชั้นในของลูกศิษย์หญิงชายฝั่งทิศเหนือจำนวนมากหายไป มีโจรวิปริตเกิดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุน หากเจ้ามั่นใจในตัวเองก็เปิดค่ายกลออกให้พวกเราได้เข้าไปค้น!”

“หึ ต่อให้อยู่ในถุงเก็บของ พวกเราก็มีวิธีที่จะค้นออกมาจนได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปฟังมาก็คลายใจลง หลังจากวางใจได้แล้วจึงโกรธขึ้นมาทันที เอามือไพล่หลัง มองลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือที่อยู่ด้านหน้าเหล่านั้น

“เหลวไหล ข้าคือลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติ ข้าคือศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนัก เรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือข้า!” กว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะได้พูดจาด้วยเหตุผลไม่ใช่เรื่องง่าย ไฉนเลยจะยอมเลิกรา เวลานี้จึงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งทระนงตน มองทุกคนด้วยสายตาโกรธขึ้ง

“ต้องเป็นเจ้าอย่างแน่นอน ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือ คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ก็มีแต่เจ้าเท่านั้น!”

“ถูกต้อง เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้น่าสงสัยที่สุด ในเมื่อก่อนหน้านี้เขายังปิดบังทุกคนแอบพาสัตว์รบของพวกเรามาอุทิศตัว นี่ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด ซึ่งหมายความว่าเขามีความสามารถที่จะขโมยเอาผ้าชั้นในมาในขณะที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงทั้งหลายไม่ทันรู้ตัว!”

เห็นว่าคนรอบด้านล้วนพากันเอ่ยปากเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งครั้ง สะบัดปลายแขนเสื้อขึ้นมาโดยพลัน ค่ายกลจึงเปิดออกทันที

“เอาเถอะ ข้าให้พวกเจ้าค้นตามสบาย เดี๋ยวข้าจะดูสิว่าพอพวกเจ้าหาไม่เจอจะให้ความกระจ่างกับข้าเช่นไร!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ครั้งนี้เขามีเหตุผลพูดได้เต็มปากจึงไม่กังวลใจเลยสักนิดเดียว

ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านเกิดลังเลกันขึ้นมา เดิมทีพวกเขาก็ไม่มีหลักฐานอยู่แล้ว ยามนี้เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดค่ายกลให้อย่างง่ายดาย แต่ละคนจึงมองหน้ากัน ทว่าไม่นานลูกศิษย์หญิงที่ผ้าชั้นในหายพวกนั้นก็กัดฟัน เหยียบย่างเข้ามาในค่ายกลก่อนเป็นกลุ่มแรก เข้ามาได้ก็กำมือประสานคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนก่อน ขณะที่กำลังจะค้นนั้น ในถุงเลี้ยงสัตว์ของลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งพลันมีกระรอกสีแดงหนึ่งตัวกระโดดผลุงออกมา

กระรอกตัวนี้เพิ่งจะปรากฏตัวได้ก็ร้องเสียงแหลมปรี๊ดขึ้นมาทันที บินทะยานไปด้านหน้า คนรอบด้านหลังจากหายอึ้งก็พากันหน้าเผือดสี หลายวันมานี้ ที่พึ่งหลักของการค้นหาผ้าชั้นในก็คือหนูรบพิเศษตัวนี้ ความมหัศจรรย์ของหนูตัวนี้อยู่ที่การดมกลิ่นอันเฉียบคม ในระยะที่แน่นอน สิ่งของใดก็ตามที่ผ่านการดมกลิ่นจากมันมาก่อนแล้ว ต่อให้ใส่เอาไว้ในถุงเก็บของก็ล้วนสามารถสัมผัสถึงได้

เดิมทีทุกคนรู้สึกผิดกันอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้กลับเบิกตากว้างกันหมด พากันบุกเข้าไปในค่ายกล ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อไปทันที ในสมองมึนงงไม่น้อย เดิมตามเข้าไปด้วยความแปลกใจ จนกระทั่งไปถึงห้องเล็กด้านข้างหอเรือนห้องหนึ่ง ทันทีที่ประตูใหญ่ถูกเปิดออก เสียงพรวดดังหนึ่งที ผ้าชั้นในหลากหลายสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมาในพริบตา แน่นขนัดไปหมด แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ต่ำกว่าหลายพันชิ้น…

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!! เจ้ายังจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ทำอีก!”

“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าๆๆ…ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้!!” คนรอบด้านหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียง ไฟโทสะของลูกศิษย์ชายที่อยู่ในกลุ่มคนก็ยิ่งลุกโหม คำรามขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว

ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ร่างสั่นพั่บๆ ขึ้นมา กรีดร้องเสียงแหลม

“เป็นไปไม่ได้!!” พริบตาที่เขาพูดออกไปนั้นเอง สายตาพิฆาตของเหล่าลูกศิษย์หญิงที่อยู่รอบด้านต่างมารวมอยู่บนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาดิก รีบอธิบาย

“ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…” เขากลืนน้ำลายลงคอ ถอยร่นไปหลายก้าว ความกล้ำกลืนในใจมากล้นจนมิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเช่นไร ลูกศิษย์หญิงพวกนั้นที่อยู่รอบด้าน แต่ละคนมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแค้นเคือง คนบางส่วนยังถึงขั้นตั้งท่าทำมุทราเรียบร้อย เตรียมจะลงมือพร้อมกัน

“สมควรตายเอ๊ย เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลุ้มคลั่งเสียแล้ว หลายวันมานี้เขาปิดด่าน จมอยู่กับการบำเพ็ญตบะ ไม่ได้ออกไปจากหอเรือนแห่งนี้แม้แต่ก้าวเดียว และก็ไม่ได้สนใจห้องเล็กด้านข้างห้องนั้นด้วย ยามนี้ขณะที่ร้อนรนกังวลใจอยู่นั้น พลันร่างของเถี่ยตั้นก็ปรากฏอยู่นอกหอร้อยสัตว์ ปากคาบผ้าชั้นในสีแดงเอาไว้หนึ่งชิ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม วิ่งกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว

แต่ยังไม่ทันที่จะเข้ามาในค่ายกล เถี่ยตั้นก็พลันชะงักฝีเท้า เหม่อมองกลุ่มคนรอบด้าน ผ้าชั้นในสีแดงที่คาบอยู่ในปากก็ร่วงลงมา

เมื่อผ้าชั้นในสีแดงหล่นลงบนพื้น ดวงตาหลายคู่ของคนมากมายรอบด้านก็หันขวับมารวมอยู่บนตัวของเถี่ยตั้นทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเถี่ยตั้นก็ให้ปวดหัวขึ้นมาโดยพลัน ผู้ที่สามารถเข้าออกหอเรือนได้ตามใจชอบ เอาผ้าชั้นในมากมายขนาดนั้นมาเก็บไว้ แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปิดด่านอยู่ก็ยังไม่ระแคะระคาย ย่อมไม่มีทางเป็นฝีมือของคนนอกไปได้อย่างแน่นอน

ต่อให้เป็นเจ้าสุนัขสีดำตัวใหญ่ก็ยังไม่สามารถเข้าออกค่ายกลของหอเรือนได้ตามใจชอบ ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ มีเพียง…เถี่ยตั้น!

เถี่ยตั้นตัวสั่นขึ้นมาทันที มันไม่กลัวไฟโทสะของคนอื่น กลัวที่สุดก็คือกลัวป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธ เวลานี้จึงใกล้จะร้องไห้เต็มที นอบหมอบอยู่บนพื้น ก้มหน้าครางหงิง

ทุกคนที่อยู่รอบด้าน แต่ละคนสีหน้าแปลกประหลาด โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์หญิงที่นัยน์ตายิ่งเผยแววไม่อยากเชื่อ นอกหอเรือนเกิดความเงียบสงัด

ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มีเสียงพึมพำของลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งดังลอยมา

“เถี่ยตั้นไม่ได้เป็นคนทำ เถี่ยตั้นเป็นเด็กดีจะตายไป ต้องมีคนสั่งการให้มันทำอย่างนี้แน่นอน!” ไม่นานคนอื่นๆ ก็ทยอยพูดตาม

“นั่นสิ เถี่ยตั้นทั้งน่ารัก ทั้งใสซื่อขนาดนี้ ต้องถูกคนล่อลวง บีบบังคับให้มันทำอย่างนี้แน่ๆ!”

“เป็นป๋ายเสี่ยวฉุน เขาคือเจ้านายของเถี่ยตั้น!”

จนถึงท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าลูกศิษย์หญิงพวกนั้นจะเข้าใจอย่างนี้กันหมด ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเกรี้ยวกราด ในจำนวนนี้ใช่ว่าจะไม่มีคนที่เข้าใจเรื่องราว เพียงแต่การแสดงออกของเถี่ยตั้นในเวลาปกตินั้นน่ารักเกินไป โดยเฉพาะสีหน้าในยามนี้ ทั้งท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้นก็ยิ่งได้รับความเห็นใจจากหลายคนทันที

เพียงแต่ว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป แม้ว่าลูกศิษย์เหล่านี้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่ากลับไม่ได้หาเรื่องต่อ หลังจากถลึงตาดุดันใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็พากันจากไป

ไม่นานสถานที่แห่งนี้ก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองท้องฟ้า อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก นัยน์ตาเผยแววสับสน เถี่ยตั้นรู้ว่าตัวเองทำผิดจึงรีบเอาตัวเข้ามาสีไปสีมาที่ขาของป๋ายเสี่ยวฉุน

“เถี่ยตั้น…ปกติเจ้าก็ออกจะฉลาดนี่นา ทำไมครั้งนี้ถึงได้โง่ขนาดนี้ล่ะ เจ้าๆๆ…เจ้าขโมยผ้าชั้นในพวกนั้นมาก็ยังพอว่า แต่เจ้าก็ไม่ควรจะเล่นงานข้าแบบนี้นี่นา ข้าสร้างเจ้าขึ้นมา จะบอกว่าข้าเป็นพ่อเจ้าก็ยังได้ เจ้าห้ามหักหลังพ่อตัวเองสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาว หน้าตาบูดบึ้งย่อตัวลงนั่งยอง ตบหัวเถี่ยตั้นเบาๆ หนึ่งที

“ต่อไปจำไว้นะ ห้ามเล่นงานคนกันเอง…ผ้าชั้นในพวกนั้นเจ้าเอาไปซ่อนที่ไหนไม่ซ่อน ดันเอามาซ่อนในบ้านตัวเองเสียนี่…เจ้าน่ะต้องรู้จักฉลาดให้มากกว่านี้ ก่อนจะทำอะไรต้องคิดก่อนว่าหากถูกเปิดโปงขึ้นมาจะทำอย่างไร” เถี่ยตั้นก้มหน้า ร้องฮือๆ ขึ้นมา คล้ายรู้ว่าตัวเองผิดไปแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางเช่นนี้ของมันก็ใจอ่อนยวบ ไม่ได้ตักเตือนและตำหนิต่อ หมุนตัวกลับเข้าไปในหอเรือน นั่งขัดสมาธิบำเพ็ญตบะใหม่ด้วยความกลัดกลุ้ม

ในลานหอเรือน เถี่ยตั้นที่หมอบอยู่ตรงนั้นหลังจากร้องฮือๆ อีกสองสามทีแล้ว นัยน์ตาก็เผยแววดุร้าย ผินหน้าหันไปมองยังทิศทางที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจากไป

กลางดึก มันแอบย่องออกมาด้านนอก สะบัดร่างหนึ่งทีก็หายวับเข้าไปในความมืด ตรงไปยังชายฝั่งทิศเหนือ

เช้าตรู่วันที่สอง ฟ้าเพิ่งจะสาง ทันใดนั้นที่พักของลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือก็มีเสียงร้องโหยหวนเศร้ากำสรดดังลอยมา

“สมควรตายเอ๊ย ฝีมือใคร ใครมันขโมยกินยาวิเศษสำหรับสัตว์ของข้าจนหมด กว่าข้าจะแลกเอามาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นมันยาวิเศษที่เตรียมไว้ให้สัตว์รบเลื่อนขั้นเชียวนะ!!”

เสียงร้องโหยหวนนี้เพิ่งจะดังลอยมา ไม่นานเสียงร้องโหยหวนทำนองเดียวกันก็ดังขึ้นๆ ลงๆ สะท้อนก้องอย่างต่อเนื่อง

“อ๋า หญ้าหมื่นวิญญาณของข้า ข้าเลี้ยงมาตั้งห้าปี ตอนนี้เหลือแค่ตอแล้ว ไม่มีแล้ว หายไปหมดเลย…ถูกกัดจนเละไปหมดเลย”

“มีโจร เกินไปแล้ว อาหารแห้งในถ้ำของข้าทั้งหมดที่เตรียมไว้ให้สัตว์รบหายเกลี้ยงเลย นั่นคืออาหารแห้งสำหรับสามปีเชียวนะ!”

“สวรรค์ เมื่อวานกว่าข้าจะยืมกระดูกสัตว์โลหิตระดับสามมาจากท่านผู้อาวุโสหลี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมคิดจะสังเกตและศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสายเลือดภายใน หายไปแล้ว มันหายไปไหนแล้ว!!”

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายในหรือฝ่ายนอก เสียงเช่นนี้ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุด คนหลายร้อยคนคำรามอย่างแค้นเคือง คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ชายทั้งหมด อีกทั้งล้วนเป็นลูกศิษย์ชายที่ไปหอเรือนป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อวานด้วย

ขณะที่ลูกศิษย์เหล่านี้คำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดใจ พากันบุกออกไปนั้นเอง พวกเขาก็มองเห็นเถี่ยตั้นได้ทันที ปากของมันคาบกระดูกสีเลือดเอาไว้ชิ้นหนึ่ง วิ่งไปพลางกัดกระดูกชิ้นนั้นกร้วมๆ จนแหลกละเอียด

ในกลุ่มคนมีเสียงกรีดร้องโหยไห้เสียงแหลมดังลอยมา ลูกศิษย์คนหนึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำไปหมด ถลาออกมาราวกับคนบ้า น้ำตาไหลพราก

“อย่ากัด นั่นคือกระดูกสัตว์โลหิตระดับสามที่ข้ายืมท่านผู้อาวุโสมา อ๊ากๆ อย่ากัดนะ…”

กร้วมๆ

เถี่ยตั้นเงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง สะบัดร่างหลบลูกศิษย์ที่เข้ามาใกล้ เมื่อห่างออกไปแล้วก็กัดต่อ ไม่นานกระดูกแท่งนั้นก็ถูกมันกัดจนละเอียดเป็นผุยผง กลืนกินลงไป ลูกศิษย์ที่ผมสยายยุ่งเหยิงผู้นั้นรู้สึกแค่ว่าด้านหน้ามืดดับ พอนึกถึงโทสะของผู้อาวุโสหลี่เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเอากระดูกไปคืนได้ เขาก็บ้าคลั่งขึ้นมา เวลานี้คำรามเสียงดัง พุ่งเข้าหาเถี่ยตั้น

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ คนหลายร้อยคนล้วนโทสะโหมไหม้ ไล่ฆ่าเถี่ยตั้น แต่ความเร็วของพวกเขานั้นเทียบไม่ติด ทำได้เพียงมองเถี่ยตั้นทะยานหนีไปที่เขายวนเหว่ยต่อหน้าต่อตา เมื่อทุกคนไล่กวดมาถึง เสียงฮึดฮัดเย็นชาที่แฝงไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์เสียงหนึ่งก็ดังราวกับฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงลงมา

“พวกเจ้าทำอย่างนี้มันสมควรแล้วรึ คนมากมายขนาดนี้พากันมาข่มขู่เถี่ยตั้นที่น่ารัก ดูท่าพวกเจ้าคงว่างกันมากสินะ!” หลังจากเสียงที่ดังลอยมา ร่างของหญิงชราผู้นำเขายวนเหว่ยก็เดินออกมาอย่างเชื่องช้า มองไปยังลูกศิษย์หลายร้อยคนด้วยดวงตาเย็นชา

ลูกศิษย์เหล่านี้ตัวสั่นกันขึ้นมาทันที พากันทำท่าคารวะอย่างพร้อมเพรียง หลังจากมองเห็นร่างของหญิงชรา เถี่ยตั้นก็ทำตาโต วิ่งเข้าไปหาอย่างว่านอนสอนง่าย ทั้งยังเอาตัวสีไปสีมาไม่หยุดด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูคล้ายกำลังประจบเอาใจ

ภาพนี้ทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่เห็นล้วนคำรามลั่นอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่กล้าพูดออกมา ความโกรธเกลียดที่มีต่อเถี่ยตั้นทะยานพุ่งขึ้นสูงลิบลิ่ว

“ก็แค่กินของของพวกเจ้าเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นมิใช่หรือ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว มันกินไปเท่าไหร่ ตัวข้าจะชดใช้ให้เท่านั้น แยกย้ายกันไปได้แล้ว ต่อไปอย่าได้บังอาจมารังแกเถี่ยตั้นอีก!” หญิงชราถลึงตาดุดันใส่ทุกคนหนึ่งครั้ง แต่เมื่อก้มหน้าลง สีหน้าพลันเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนทันที ลูบหัวเถี่ยตั้นด้วยความเมตตาปราณี เถี่ยตั้นก็ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ มันยังแลบลิ้นออกมาเลียราวกับเป็นหมาน้อยตัวหนึ่ง

ลูกศิษย์ที่อยู่รอบด้าน แต่ละคนกัดฟันกรอดอยู่ในใจ ยิ่งรู้สึกไม่เป็นธรรมหนักเข้าไปใหญ่ พวกเขารู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองสักหน่อยที่รังแกเถี่ยตั้น เถี่ยตั้นต่างหากที่รังแกพวกเขา

ทว่าพอเห็นผู้นำเขายวนเหว่ยลำเอียงถึงเพียงนี้พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงข่มกลั้นความโกรธจากไป ไม่กล้าหาเรื่องเถี่ยตั้นต่อ ดังนั้นจึงพากันเอาไฟโทสะไปโปะรวมอยู่ที่ตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนแทน

“ต้องโทษป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะเขานั่นแหละที่สร้างสัตว์รบน่ารังเกียจแบบนี้ขึ้นมา!”

“สัตว์รบตัวนี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว หื่นกาม ขโมยผ้าชั้นใน แถมยังขโมยของกินอีก แต่พวกลูกศิษย์ผู้หญิงแล้วก็พวกผู้อาวุโสกับผู้นำดันดีต่อมันถึงขนาดนี้!”

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ๆ ก็จามขึ้นมา เงยหน้ามองไปรอบด้าน จากนั้นก็ทำสมาธิใหม่อีกครั้ง ตบะของเขาเขยิบเข้าไปใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบของรวมลมปราณสิบมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!