บทที่ 141 หุบเหวกระบี่อุกกาบาต
การมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุนดึงดูดความสนใจจากลูกศิษย์ฝ่ายในสองร้อยกว่าคนที่อยู่นอกตำหนักใหญ่ได้ทันที ทุกคนล้วนหันไปมองเขา ซ่างกวานเทียนโย่ว โจวซินฉี หลู่เทียนเหล่ย เป่ยหันเลี่ย สวีซง กงซุนหว่านเอ๋อร์ กงซุนอวิ๋น โหวอวิ๋นเฟย…และยังมีกุ่ยหยา!
นัยน์ตาของหลี่ชิงโหวค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้ม และยิ่งมากไปด้วยการให้กำลังใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงด้วยความรวดเร็ว หยุดอยู่หน้าหลี่ชิงโหว ประสานมือโค้งตัวต่ำทำท่าคารวะ
“มายืนอยู่ข้างหลังตัวข้า” หลี่ชิงโหวมองเห็นเส้นเลือดฝอยในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุน รู้ดีถึงการดิ้นรนต่อสู้ของเขา การตัดสินใจเช่นนี้สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืดตัวขึ้น เดินก้าวยาวๆ มาหยุดอยู่เบื้องหลังหลี่ชิงโหว ยืนอยู่ตรงนั้นเขามองเห็นโหวอวิ๋นเฟย เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลาที่ตนไปอยู่ชายฝั่งทิศเหนือ โหวอวิ๋นเฟยได้ไปเข้าร่วมการประลองของฝ่ายใน กลายมาเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในแล้ว อีกทั้งภายใต้ความช่วยเหลือจากตระกูลของเขา ทำให้ตบะของเขาเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจนมาถึงรวมลมปราณขั้นสิบ
ทั้งสองคนสบตากัน นัยน์ตาโหวอวิ๋นเฟยเผยแววให้กำลังใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าเงียบๆ เวลานี้คนเยอะ ทั้งสองคนจึงไม่สะดวกที่จะพูดคุยกัน และตอนนี้เอง ประตูของตำหนักใหญ่ก็เปิดออกช้าๆ
เมื่อประตูเปิดออก น้ำเสียงแก่ชราของเจิ้งหย่วนตงก็ดังลอยออกมาจากในตำหนักอย่างเชื่องช้า
“อุโมงค์วิญญาณโบราณ เวลาที่ก่อกำเนิดไม่มีบอกไว้อย่างละเอียด ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีดินแดนลึกลับอี้โยว ที่นั่นเป็นสถานที่เดียวที่รวบรวมชีพจรดินของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรตอนล่างแม่น้ำตะวันออกเอาไว้ มีชีพจรดินโอบล้อมไปทั่วอุโมงค์วิญญาณ เกิดสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายถูกสามสำนักใหญ่ยึดครองเอาไว้ หลังจากสำนักธาราเทพของเราถือกำเนิดขึ้นมา ก็ได้ถูกยึดครองโดยสี่สำนักใหญ่!”
“ดินแดนลึกลับอี้โยว ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันในเกาะโยวหลินเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ด้านในคือซากปรักหักพัง รกร้างไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ทว่ากลับมีสัตว์ร้ายชีพจรดินอยู่ การปรากฏตัวของมันก่อให้เกิดการต่อสู้ขึ้นมาเช่นกัน สุดท้ายถูกสี่สำนักใหญ่เข้ายึดกุม กลายมาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากแห่งที่สองที่สี่สำนักใหญ่ครอบครองร่วมกัน”
“หุบเหวกระบี่อุกกาบาต เมื่อห้าพันปีก่อน มีกระบี่ใหญ่นอกโลกเล่มหนึ่งที่ไม่อาจบรรยายรูปลักษณ์ได้ ขนาดของมันมีมากกว่าสำนักธาราเทพหลายร้อยสำนักรวมกัน แฝงเร้นไปด้วยพลังที่ทุกคนหวาดกลัว ทะลุฝ่านภากาศร่วงลงมา แทงเข้าไปยังภูเขาปี้ฟาง ไอกระบี่แผ่ทะลุทะลวงไปยังนรกภูมิ ปราณชีพจรดินหลอมรวมเข้าสู่ตัวกระบี่
ทำให้ด้านในตัวกระบี่เกิดเป็นพื้นที่ซึ่งเหมือนกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากอีกสองแห่ง สัตว์ร้ายชีพจรดินจำนวนเหลือคณานับถือกำเนิดขึ้นมา เมื่อฆ่าพวกมันจะได้รับปราณชีพจรดินในปริมาณไม่เท่ากัน หลังจากสะสมปราณชีพจรดินได้ในปริมาณที่มากพอแล้ว สามารถเอามารวมกันเป็นตัวล่อปราณชีพจรดิน เขย่าให้ปราณชีพจรดินที่อยู่ด้านในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เกิดการสั่นสะเทือน!”
“จากการวิเคราะห์ที่ได้มาหลังการสำรวจของบุรพาจารย์ทั้งสี่สำนักใหญ่ เป็นไปได้ว่าในกระบี่อุกกาบาตอาจมีปราณชีพจรฟ้าเส้นหนึ่งดำรงอยู่ เพราะมันร่วงลงมาจากนอกโลก มีโอกาสน้อยนิดว่าชั่วขณะที่ร่วงลงมานั้นได้ดูดเอาปราณแห่งวิถีฟ้ามาไว้!
ซึ่งการสร้างฐานรากชีพจรฟ้าก็เรียกอีกอย่างว่าสร้างฐานรากวิถีฟ้า!” เจิ้งหย่วนตงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาประดุจสายฟ้ากวาดผ่านทุกคน
“เส้นทางแห่งการบำเพ็ญตบะยิ่งเดินก็ยิ่งแคบ มีเพียงเหยียบย่ำอยู่บนศพของศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนเท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถสัมผัสกับ…วิถียิ่งใหญ่สูงสุดเส้นนั้นได้!”
“การประลองสร้างฐานรากทั้งสามสถานที่ครั้งนี้…ข้าต้องการให้พวกเจ้าสังหารลูกศิษย์ของสามสำนักที่เหลือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่เป็นทั้งการประลอง และเป็นทั้งสงครามครั้งหนึ่งของสี่สำนัก ที่มากกว่านั้นคือมันเกี่ยวข้องกับชะตาครั้งหนึ่งของสำนักธาราเทพเรา รอพวกเจ้ากลับมาแล้วข้าจะบอกพวกเจ้าให้รู้ถึงเหตุและผลของมัน!”
“เช่นเดียวกัน ข้าเชื่อว่าลูกศิษย์ของอีกสามสำนักก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสังหารคนต่างสำนักทั้งหมดเช่นกัน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานราก ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนมีโอกาสในการสร้างฐานรากทั้งหมด ทรัพยากรมีจำกัด นี่ก็คือการช่วงชิงสู่ชัยชนะแห่งวิถียิ่งใหญ่!” เจิ้งหย่วนตงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เสียงดังประดุจฟ้าผ่าดังเลือนลั่นไปทั่วแปดทิศ ลูกศิษย์ฝ่ายในสองร้อยกว่าคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนคำรามเสียงต่ำรับคำ
เสียงดังราวฟ้าคำราม พลังอำนาจเขย่าคลอนฟ้าดิน!
“การประลองสร้างฐานรากครั้งนี้มีผู้นำเขายวนเหว่ย ผู้นำเขาจื่อติ่ง และผู้อาวุโสโอวหยางเจี๋ยแห่งศาลาพิพากษ์เป็นผู้นำขบวน ในบรรดาพวกเจ้าได้มีการจัดแบ่งไว้เรียบร้อยแล้ว หุบเหวกระบี่อุกกาบาตหนึ่งร้อยคน อี้โยวและอุโมงค์วิญญาณที่ละเจ็ดสิบห้าคน เปิดค่ายกลใหญ่แห่งสำนักธาราเทพ นำส่งสู่สามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานราก!”
ไม่นานเสียงดังครั่นครืนก็ยิ่งรุนแรง พริบตาเดียวร่างกายของคนสองร้อยกว่าคนที่อยู่ในค่ายกลก็พร่าเลือนแล้วหายวับไป นอกค่ายกล หลี่ชิงโหวเงียบงันมองออกไปไกล นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความรอคอยและกังวล เหมือนมองนกอินทรีตัวเล็กตัวหนึ่งที่สยายปีกบิน แม้ว่าเบื้องล่างคือหุบเหวลึก ทว่าไกลออกไปก็เป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสีแดงฉานเช่นกัน
ภูเขาปี้ฟางตั้งอยู่ในเกาะเจิ้งกง เคยพยายามที่จะเทียบเคียงความสูงกับท้องนภา สูงล้ำเกินยอดเขาใดๆ ของสำนักธาราเทพ ความใหญ่สามารถเทียบเคียงได้กับขอบเขตของตลอดทั้งสำนักธาราเทพ
ทว่าปัจจุบันมันได้เปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว ครึ่งหนึ่งของภูเขาลูกนี้ไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว แม้แต่พื้นดินซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาครึ่งลูกนี้ รวมไปถึงอาณาบริเวณที่ไร้ขอบเขตของเกาะเจิ้งกงเอง เมื่อมองไปก็ล้วนกลายเป็นผืนดินแตกระแหงที่ไม่มีหญ้าขึ้นแม้แต่ต้นเดียวซึ่งขยายแผ่ไปเกือบครึ่งเกาะ
สถานที่แห่งนี้คนธรรมดาไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้ สัตว์ร้ายก็ยากที่จะใช้ชีวิตอยู่เช่นกัน ต่อให้เป็นนักพรตเองก็ตาม หากอาศัยอยู่ที่แห่งนี้นานเกินไปก็จะสิ้นใจอย่างกะทันหัน ร่างกายที่หมดลมหายใจจะระเบิดออก กระจายออกมาเป็นไอกระบี่กระจัดกระจาย
ที่เป็นเช่นนี้สาเหตุก็เพราะกระบี่เล่มใหญ่ที่ร่วงลงมาจากนอกโลกเล่มนั้น กระบี่เล่มนี้โบราณเรียบง่าย ด้านบนสลักอักขระสลัวรางไว้มากมายเกินจะนับได้หมด ปักเอียงอยู่ด้านหน้าภูเขาปี้ฟาง แทงทะลุลงไปในพื้นดินเกินครึ่ง รอบด้านมีรอยปริแตกเป็นจำนวนมาก รอยปริที่แคบที่สุดก็กว้างหลายจั้งแล้ว ส่วนรอยปริที่ใหญ่ที่สุดรอยนั้นกว้างพอสิบกว่าจั้ง ด้านในมืดมิด มีไอเย็นลอยขึ้นมาเป็นระลอก
รอบด้านมีม่านแสงคุ้มกันปกคลุม ปิดผนึกทางเข้าทั้งหมดของรอยแยกบนพื้นดิน
กระบี่เล่มนี้ใหญ่มากเกินไป ต่อให้เป็นตัวกระบี่และด้ามกระบี่ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินก็ยังใหญ่กว่าภูเขาปี้ฟางอยู่มากมายนัก ถึงขั้นที่ว่าเมื่อนำมาเทียบกับกระบี่เล่มนี้ก็ราวกับฝ่ามือและมดตัวหนึ่งทีเดียว
ส่วนภูเขาปี้ฟางนี้เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวของนักพรต มันก็จะกลายมาเป็นฝ่ามือ ส่วนนักพรตที่ยืนอยู่บนยอดเขากลายมาเป็นตัวมด…
เวลานี้บนเขาปี้ฟางมีสองสำนักมาถึงก่อนแล้ว แยกกันยึดครองอาณาบริเวณสองแห่ง ด้านหนึ่งมีแปดสิบคน อีกด้านหนึ่งมีหนึ่งร้อยคน เวลานี้นักพรตสร้างฐานรากที่เป็นคนนำขบวนกำลังพูดคุยกันอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่ลูกศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขากลับกำลังประเมินกันไปมา ต่างฝ่ายต่างมีเจตนาร้าย
ลูกศิษย์แปดสิบคนที่ยึดพื้นที่ฝั่งซ้ายนั้นสวมชุดสีขาว ตรงปลายแขนเสื้อของทุกคนล้วนมีสัญลักษณ์เป็นรูปเม็ดยาปักอยู่ แม้แต่บนตัวของพวกเขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของยาลอยมาเป็นพักๆ
พวกเขาคือสำนักธาราโอสถ!
ส่วนนักพรตขั้นรวมลมปราณร้อยคนที่อยู่ตรงข้ามสวมชุดสีน้ำเงิน ในร่างกายของแต่ละคนล้วนมีคลื่นตบะไม่ธรรมดาเคลื่อนไหว เมื่อมองอย่างละเอียดยังถึงขั้นมองเห็นว่าร่างกายของคนไม่น้อยมีภาพมายาเลือนรางดำรงอยู่ ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
พวกเขาคือสำนักธาราทมิฬ!
ขณะที่ลูกศิษย์ของทั้งสองสำนักกำลังประเมินกันและกันอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็โหมซัดสาด มีตัวอักขระจำนวนมากเปล่งประกายวิบวับ บางครั้งก็กลายร่างเป็นกระถางสีม่วง บางครั้งก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่ ถึงท้ายที่สุดก็คล้ายกับว่ามีมังกรสีดำตัวหนึ่งว่ายเวียนอยู่ด้านใน คำรามเสียงดังก้องใส่ผืนดิน
ผู้นำขบวนของสำนักธาราโอสถคือหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ดวงตาของนางเปล่งประกายแสง ขณะที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็พึมพำเสียงเบาด้วยว่า
“สำนักธาราเทพมาถึงแล้ว”
นักพรตผู้นำขบวนของสำนักธาราทมิฬคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง บนใบหน้าของเขามีปุ่มปูดโปนขึ้นมาหลายปุ่ม มองดูแล้วน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ลูกตาดำทั้งสองข้างกลับตั้งตรง ทุกครั้งที่กะพริบตาล้วนทำให้คนมองรู้สึกพิลึกพิลั่น เวลานี้เขากำลังเงยหน้า จ้องเขม็งไปบนชั้นเมฆกลางท้องฟ้าที่มีค่ายกลของสำนักธาราเทพปรากฏ
ไม่นานแสงจ้าเส้นหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ตรงไปตกอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งบนภูเขาปี้ฟาง เงาร่างพร่าเลือนกว่าร้อยร่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา เมื่อเงาร่างของโอวหยางเจี๋ยปรากฏขึ้น หญิงสาวของสำนักธาราโอสถและผู้เฒ่าของสำนักธาราทมิฬล้วนหน้าเปลี่ยนสี
“นักพรตหมาไน!”
“สหายนักพรตไห่ สหายนักพรตหลิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” โอวหยางเจี๋ยหัวเราะเสียงแหบห้าว รอจนลูกศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังปรับตัวจากการถูกนำส่งได้แล้ว ถึงได้โบกมือหนึ่งครั้ง ทลายการคุ้มกันของค่ายกลออก ก้าวเดินออกไปเป็นคนแรก
ขณะที่เขากับนักพรตสร้างฐานรากทั้งสองคนนั้นทักทายปราศรัยกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนนวดคลึงหน้าผากแรงๆ เมื่อมองไปรอบด้านด้วยดวงตาที่พร่าลายเล็กน้อยก็ถูกดึงดูดด้วยกระบี่เล่มใหญ่มโหฬารเกินจะเปรียบที่อยู่เบื้องหน้าเล่มนั้นทันที พอเงยหน้าขึ้นมอง เขายังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของกระบี่เล่มนี้ด้วยซ้ำ เห็นแค่เพียงไอหมอกท่วมท้นลอยวนเป็นเกลียว น่าตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด
รอบด้านมีเสียงสูดลมหายใจและเสียงอุทานตกตะลึงลอยมาให้ได้ยิน ลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพล้วนสะท้านสะเทือนกันไปหมดเพราะกระบี่ใหญ่เล่มนี้
ได้ยินเสียงร้องอุทานจากคนรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงพบว่าจำนวนคนที่อยู่ข้างกายนั้นไม่ถูกต้อง ก่อนการนำส่งมีสองร้อยกว่าคน ทว่าเวลานี้เมื่อรวมตัวเองเข้าไปด้วย ที่แห่งนี้มีคนอยู่หนึ่งร้อยคนพอดี
โจวซินฉีไม่อยู่ หลู่เทียนเหล่ยก็ไม่อยู่ ทว่าซ่างกวานเทียนโย่วและกุ่ยหยา ยังมีเป่ยหันเลี่ยและกงซุนหว่านเอ๋อร์ รวมไปถึงโหวอวิ๋นเฟยล้วนอยู่ในกลุ่มคนนี้ด้วย ซึ่งเวลานี้ต่างก็กำลังตื่นตะลึงไปกับกระบี่ใหญ่เล่มนั้น
แต่ไม่นานทุกคนก็ดึงสายตากลับ ขณะที่ต่างคนต่างนั่งทำสมาธิ ในมือของแต่ละคนล้วนมีแผ่นหยกหนึ่งแผ่น หลอมรวมพลังวิญญาณเข้าไปด้านในพลางมองลูกศิษย์ของสำนักธาราโอสถและสำนักธาราทมิฬไปด้วย
สายตาของลูกศิษย์ทั้งสองสำนักนี้ก็จ้องเขม็งมาเช่นกัน สอดส่ายสายตาไล่หาไปทีละคน และยิ่งมีคนบางส่วนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน เพียงแต่ว่าคนของสองสำนักที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็มีสีหน้าไม่เหมือนกัน สำนักธาราโอสถตื่นตะลึงทั้งยังแฝงเร้นไว้ด้วยความไม่ยอมแพ้ แต่สำนักธาราทมิฬกลับมองด้วยสายตาดูถูก
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสงสัย โหวอวิ๋นเฟยก็มาอยู่ข้างกายเขา ส่งแผ่นหยกหนึ่งแผ่นมาให้ เอ่ยปากเสียงเบา
“เจ้ามาช้าไป ก่อนที่เจ้าจะมาผู้นำสามเขาและผู้อาวุโสโอวหยางเจี๋ยได้กำชับให้ฟังความเหี้ยมโหดในครั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนต้องรักษาชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็ต้องสังหารลูกศิษย์ของสำนักอื่นด้วย ทั้งยังมอบแผ่นหยกให้คนละหนึ่งแผ่น ด้านในแนะนำเกี่ยวกับหุบเหวกระบี่อุกกาบาต รวมไปถึงข้อมูลของลูกศิษย์สามสำนักที่เหลือ คิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะมีข้อมูลของพวกเราเหมือนกัน”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบรับเอาแผ่นหยกมา หลังจากหลอมรวมพลังวิญญาณเข้าไปแล้วก็เห็นคำแนะนำละเอียดยิบเกี่ยวกับหุบเหวกระบี่อุกกาบาตทันที
หุบเหวกระบี่อุกกาบาตเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโลกกระบี่อุกกาบาต ตอนที่ร่วงลงมาเมื่อหลายพันปีก่อน ได้แทงทแยงลงบนพื้นดิน อีกครึ่งหนึ่งโผล่มาข้างนอก ในตัวกระบี่ได้ก่อกำเนิดโลกที่เอนเอียงแห่งหนึ่งขึ้นมา ทอดยาวลงไปด้านล่าง ยิ่งลงไปด้านล่าง สัตว์ชีพจรดินก็ยิ่งแข็งแกร่ง ปราณชีพจรดินที่ซุกซ่อนอยู่ก็ยิ่งมีมาก
ทางเข้าโลกกระบี่อุกกาบาตคือช่องโหว่หลายสิบช่องที่อยู่บนตัวกระบี่ใต้พื้นดิน
ในโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้นอกจากจะมีสัตว์ร้ายชีพจรดินที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณชีพจรดินแล้ว ยังมีวิญญาณร้ายอยู่ด้วย ซึ่งคาดการณ์ว่าวิญญาณร้ายเหล่านี้คือผู้ที่ถูกกระบี่เล่มนี้สังหาร ถูกโจมตีด้วยปราณชีพจรดินจึงกลายร่างออกมาเป็นวิญญาณร้าย แม้จะไม่มีพลังการสู้รบเหมือนตอนที่มีชีวิตอยู่ แต่ก็อันตรายอย่างถึงที่สุด ยังดีที่พวกมันไม่มีสติปัญญา จึงไม่เป็นฝ่ายโจมตีก่อน
ป๋ายเสี่ยวฉุนอ่านมาถึงตรงนี้ก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก เกิดความระมัดระวังต่อวิญญาณร้ายเป็นพิเศษ สำหรับเขาแล้ววิญญาณร้ายนี่ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากผีเหี้ยน
ขณะเดียวกันในแผ่นหยกก็ยังได้อธิบายถึงปราณชีพจรดินเอาไว้อย่างละเอียดด้วย ปราณชีพจรดินแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมาจากสัตว์ร้าย หลังจากฆ่าพวกมันแล้วก็จะมีปราณชีพจรดินอ่อนบางแผ่กระจายออกมา เมื่อสะสมไว้ในขวดนักพรตได้ส่วนหนึ่งก็สามารถนำมาเป็นตัวล่อปราณชีพจรดินได้ ซึ่งไม่ต่างไปจากกุญแจดอกหนึ่ง ส่วนปราณชีพจรดินอีกส่วนหนึ่งซึ่งมีปริมาณมากถึงเก้าส่วนเก้าจะกระจายอยู่ทั่วโลกมายา ไม่สามารถครอบครองได้โดยตรง ต้องมีตัวล่อเรียกเอามาเท่านั้น!
ปริมาณของปราณชีพจรดินมีจำกัด เมื่อสร้างฐานรากจะอิงตามพรสวรรค์และโอกาสของใครของมัน ร่างกายจะต้องรับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของมหาสมุทรวิญญาณมากกว่าหนึ่งครั้งขึ้นไป และเมื่อถึงเวลานี้ก็จำเป็นต้องมีปราณชีพจรดินมหาศาลถึงจะประคับประคองตัวเอาไว้ได้ ดังนั้นยิ่งสร้างฐานรากเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น เมื่อมีคนทำสำเร็จหนึ่งคน ปราณชีพจรดินที่อยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาตก็จะลดน้อยลงไปส่วนหนึ่ง โดยทั่วไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีสุดยอดลูกศิษย์ซึ่งสร้างน้ำขึ้นน้ำลงได้ถึงแปดครั้ง ปราณชีพจรดินในโลกกระบี่อุกกาบาตก็มีมากพอที่จะทำให้คนสร้างฐานรากสำเร็จประมาณสามสิบคน
ดังนั้นยิ่งสร้างฐานรากได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น หากช้าไป ต่อให้รวบรวมตัวล่อปราณชีพจรดินเอาไว้ได้ ก็ไม่สามารถสร้างฐานรากได้สำเร็จเนื่องจากปราณชีพจรดินมีไม่มากพอตอนสร้างน้ำขึ้นน้ำลง
————