บทที่ 2 ฝ่ายครัวไฟ
สำนักธาราเทพ ตั้งอยู่ในเกาะตงหลิน ถือเป็นจุดเทือกเขาแยกสองฝั่งเหนือใต้ของปลายแม่น้ำทงเทียน จนถึงทุกวันนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหมื่นปี เลื่องลือไปทั่วทิศ
ยอดเขาน่าครั่นคร้ามของภูเขาทั้งแปดที่เมฆหมอกลอยวนเป็นเกลียวทอดขวางอยู่บนแม่น้ำทงเทียน ทางด้านชายฝั่งทิศเหนือมียอดเขาอยู่สี่ยอด ชายฝั่งทิศใต้มีสามยอด ส่วนบนแม่น้ำทงเทียนที่อยู่ตรงกลาง มีหนึ่งยอดเขายิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่สุดโผล่ทะลุออกมา
ภูเขาลูกนี้มีหิมะขาวเป็นเงินยวงปกคลุมตั้งแต่ช่วงกลางขึ้นไป มองไม่เห็นปลายยอด เห็นแค่เพียงตัวภูเขาท่อนล่างที่ถูกคว้านเป็นช่องว่าง ทำให้ธารน้ำสีทองไหลทะลักพาดผ่าน มองแล้วดุจดั่งสะพานภูเขาหนึ่งลูก
ในเวลานี้ ด้านนอกชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพ สายรุ้งยาวเส้นหนึ่งกำลังห้อตะบึงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ข้างในนั้นเซียนวัยกลางคนหลี่ชิงโหวพาป๋ายเสี่ยวฉุนจมหายเข้าไปในส่วนงานนักการที่อยู่ใต้ยอดเขาที่สาม ซึ่งยังคงได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาของป๋ายเสี่ยวชุนดังลอดแว่วๆ มาจากในสายรุ้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าตัวเองจะตกใจจนตายเสียแล้ว ตลอดทางที่บินมาเขาเห็นภูเขาลูกใหญ่นับไม่ถ้วน หลายครั้งที่คิดว่าตัวเองจะจับขาของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ตาลายพร่ามัวไปหมด พอมองเห็นชัดเจนอีกทีก็มาอยู่ด้านนอกของหอแห่งหนึ่งแล้ว หลังจากร่วงลงพื้นดิน ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นระริก มองบริเวณรอบๆ ก็เห็นโลกที่แตกต่างไปจากในหมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง
ด้านข้างของหอตรงหน้า มีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งวางตั้งอยู่ ด้านบนเขียนอักษรตัวใหญ่แลดูมีชีวิตชีวาอยู่สี่คำ
ส่วนงานนักการ
ด้านข้างหินก้อนใหญ่มีหญิงสาวใบหน้าตกกระคนหนึ่งนั่งอยู่ พอเห็นว่าหลี่ชิงโหวมาก็รีบลุกขึ้นยืนคารวะทันที
“พาเด็กคนนี้ไปส่งที่ฝ่ายครัวไฟ” หลี่ชิงโหวสั่งความประโยคหนึ่งเสร็จ ก็หมุนตัวแปลงกายเป็นสายรุ้งจากไปไกลโดยไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุน
หญิงสาวหน้าตกกระหลังจากได้ยินคำว่าฝ่ายครัวไฟก็ตะลึง สายตากวาดมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ส่งมอบถุงผ้าของส่วนงานนักการให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งใบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แล้วจึงพาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกไปจากหอ ตลอดทางมีสวนดอกไม้ หอเรือนจำนวนนับไม้ถ้วน ทางเดินปูด้วยหินสีเขียว และยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้า ดูเหมือนเขตแดนของเซียน ป๋ายเสี่ยวฉุนมองแล้วใจเต้นกระหน่ำ ความตื่นเต้นและกังวลก็ลดหายไปหลายส่วน
“สถานที่ดีจัง ดีกว่าในหมู่บ้านเยอะเลยนะเนี่ย” สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความคาดหวัง ยิ่งเดินไปด้านหน้าเรื่อยๆ ทิวทัศน์อันงดงามโดยรอบก็ยิ่งงามเลิศล้ำ เขายังได้เห็นแม้กระทั่งหญิงสาวงดงามกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไปด้วย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนชื่นชอบที่นี่อย่างสุดๆ ขึ้นมาในทันทีทันใด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งดีใจ โดยเฉพาะปลายทางด้านหน้านั้น เขามองเห็นหอเจ็ดชั้นแห่งหนึ่ง ตัวหอเปล่งแสงใสแวววาวไปทั้งหอ อีกทั้งบนท้องฟ้ายังมีนกกระสาบินผ่าน
“ศิษย์พี่หญิง พวกเรามาถึงแล้วใช่ไหม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“อืม อยู่ตรงโน้นไง” หญิงหน้าตกกระยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม เอ่ยปากพูดเรียบๆ มือชี้ไปที่ทางเล็กๆ ด้านข้าง
ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปตามทิศที่อีกฝ่ายชี้ ขณะที่มองไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมก็ต้องตัวแข็งทื่อ ขยี้ตามองให้ชัด เห็นแค่เพียงว่าบนทางเล็กๆ เส้นนั้น บนพื้นดินมีรอยแตกแยกอยู่หลายแห่ง สภาพโดยรอบก็ยิ่งกว่าทรุดโทรม กระท่อมสี่ห้าหลังดูเหมือนจะพังลงมาได้ตลอดเวลา แถมยังมีกลิ่นตุแปลกๆ ลอยมาจากที่นั่นด้วย…
ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ถามหญิงหน้าตกกระหนึ่งประโยคด้วยความหวังสุดท้าย
“ศิษย์พี่หญิง ท่านชี้ผิดหรือเปล่า…”
“ไม่ผิด” หญิงหน้าตกกระเอ่ยปากเรียบๆ เดินนำขึ้นไปบนทางเส้นเล็กนั่นก่อน หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าภาพฝันงดงามได้พังทลายลงไปในพริบตา หน้าม่อยเดินตามไป
ยังเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาก็มองเห็นว่าปลายทางของทางทรุดโทรมเส้นนี้มีหม้อสีดำใบใหญ่หลายใบเดินสวนกันไปมา เมื่อมองอย่างละเอียดจึงเห็นว่าใต้หม้อสีดำใบใหญ่ทุกใบล้วนมีคนตัวอ้วนอยู่หนึ่งคน พวกเขาเต็มไปด้วยไขมัน ไม่ใช่แค่อ้วนธรรมดาแต่เหมือนกับว่าถ้ารีดก็จะมีน้ำมันไหลออกมาได้ โดยเฉพาะเจ้าคนที่อ้วนที่สุดคนนั้นดูอย่างกับภูเขาเนื้อก็ไม่ปาน ขนาดป๋ายเสี่ยวฉุนยังกังวลแทนว่าตัวเขาจะแตกระเบิดหรือเปล่า
รอบกายของคนอ้วนเหล่านี้ มีหม้อใหญ่อยู่หลายร้อยใบ ซึ่งพวกเขากำลังเติมน้ำและเทข้าวลงไป
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหญิงหน้าตกกระ ใบหน้าของเจ้าเนื้อภูเขาก็ทั้งตกตะลึงและดีใจในคราวเดียวกัน คว้าทัพพีอันใหญ่แล้ววิ่งเข้ามาหา แม้แต่พื้นดินยังสะเทือน ไขมันบนตัวกระเพื่อมไหวเป็นลูกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ควานหาขวานที่อยู่ข้างกายอย่างไม่รู้ตัว
“เมื่อเช้านี้ข้าน้อยได้ยินเสียงนกกางเขนร้อง ที่แท้ก็พี่หญิงมานี่เอง หรือว่าพี่หญิงเปลี่ยนใจแล้ว คิดว่าข้าเองก็มีความสามารถอยู่บ้าง เลยถือโอกาสฤกษ์ดีในวันนี้มาผูกเป็นคู่บำเพ็ญตนร่วมกับข้าน้อย” สายตาของเจ้าเนื้อภูเขาเปล่งประกายวิบวับ วิ่งเข้ามาพลางตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“ข้าส่งเด็กคนนี้เข้ามาเพิ่มในฝ่ายครัวไฟของพวกเจ้า คนพามาถึงแล้ว ลาล่ะ!” หลังจากที่หญิงหน้าตกกระเห็นเจ้าภูเขาเนื้อ สีหน้าก็น่าเกลียดอย่างถึงขีดสุด ทั้งยังแฝงด้วยความโกรธ รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจหนึ่งที ตลอดทางที่เดินมากับหญิงหน้าตกกระคนนี้เขาก็สังเกตเห็นแล้ว หน้าตาอย่างกับพญายมปั้นออกมาแบบนั้น เจ้าอ้วนยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีความชมชอบยังไง ถึงได้ถูกอกถูกใจนางได้
ยังไม่ทันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะคิดเสร็จ เจ้าภูเขาเนื้อนั่นร้องตะโกนหนึ่งที ก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขา บดบังแสงอาทิตย์ไว้มิด ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกปกคลุมอยู่ใต้เงามืด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองเจ้าอ้วนตรงหน้าที่ตัวใหญ่เหนือใดเปรียบ เนื้อบนร่างกายยังคงสั่นกระเพื่อม เขาพยายามกลืนน้ำลาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนอ้วนมากขนาดนี้
เจ้าภูเขาเนื้อที่ใบหน้าคับแค้นใจดึงสายตาจากทิศที่หญิงสาวหน้าตกกระเดินจากไปไกลกลับมากวาดมองป๋ายเสี่ยวฉุน
“ไฮ้ย่า ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมาใหม่ เบียดสวีเป่าไฉที่วางตัวไว้แต่เดิมลงไปได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
“ศิษย์พี่ ข้าน้อย…ข้าน้อยป๋ายเสี่ยวฉุน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่ารูปร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้ตนเองกดดันอย่างมาก จึงถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ป๋ายเสี่ยวฉุน? อืม…ผิวพรรณขาว ตัวเล็กกะทัดรัด หน้าตาสะอาดสะอ้าน ไม่เลวๆ ชื่อของเจ้าตั้งได้เหมาะเจาะกับความชอบของข้าดีมาก” ตาของเจ้าภูเขาเนื้อเป็นประกาย ตบไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุนจนป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะล้มลงไปเลยทีเดียว
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่มีนามว่าอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจพลางกลอกตา เหลือบมองเจ้าภูเขาเนื้อนั่นด้วยความดูแคลน ในใจก็ลองเดาชื่ออีกฝ่ายดูเล่นๆ
“ข้าชื่อจางต้าพั่ง คนนั้นหวงเอ้อพั่ง แล้วก็เฮยซานพั่ง[1]…” เจ้าภูเขาเนื้อหัวเราะคิกคัก
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินชื่อพวกนี้ก็รู้สึกได้ว่าชื่อช่างเหมาะสมกับตัวยิ่งนัก ความคิดเล่นๆ จึงหายวับไปในทันที
“ส่วนเจ้า ต่อไปก็เรียกว่าป๋ายจิ่ว[2]…ศิษย์น้องเล็ก เจ้าผอมเกินไปแล้ว! ออกไปสภาพแบบนี้จะขายหน้าฝ่ายครัวไฟของพวกเราได้ แต่ไม่เป็นไร วางใจได้เลย อย่างมากหนึ่งปี เจ้าก็ต้องอ้วน ต่อไปก็เรียกเจ้าว่าป๋ายจิ่วพั่ง” จางต้าพั่งตบอกหนึ่งที เนื้อไขมันก็กระเพื่อมไหว
ได้ยินป๋ายจิ่วพั่งสามคำนี้ ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหยเก
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์น้องเก้า ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันอีก แต่ไหนแต่ไรมาครัวไฟของเรามีธรรมเนียมแบกหม้อ เห็นหม้อใบนี้ที่ข้าแบกไว้ข้างหลังแล้วใช่ไหม มันคือราชาแห่งหม้อ ตีขึ้นจากเหล็กชั้นดี สลักค่ายกลกระบี่ธรณีอัคคีเอาไว้ ข้าววิเศษที่หุงด้วยหม้อใบนี้ รสชาติจะล้ำเลิศกว่าหม้อทั่วไปมากมาย เจ้าเองก็ไปเลือกมาสักใบ ต่อไปเอามาแบกไว้ข้างหลัง จะได้ดูน่าเกรงขามไงล่ะ” จางต้าพั่งตบหม้อสีดำใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยปากคุยโว
“ศิษย์พี่ เรื่องแบกหม้อข้าไม่ทำได้หรือเปล่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตามองหม้อที่อยู่ด้านหลังจางต้าพั่ง พลันก็รู้สึกว่าคนของครัวไฟต้องเป็นแพะรับบาป[3]ทุกคน ในสมองคิดภาพที่ตัวเองจะต้องแบกหม้อใบใหญ่สีดำไว้ข้างหลัง จึงรีบพูดออกมา
“จะทำแบบนั้นได้ยังไง การแบกหม้อคือธรรมเนียมของครัวไฟเรา ต่อไปเจ้าอยู่ในสำนัก คนอื่นแค่เห็นว่าเจ้าแบกหม้อ ก็จะรู้ว่าเจ้าเป็นคนของครัวไฟ ไม่กล้ารังแกเจ้า ครัวไฟของเรามีบารมีมากนะ!” จางต้าพั่งขยิบตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่เปิดช่องให้คัดค้าน ลากป๋ายเสี่ยวฉุนมายังด้านหลังของกระท่อม ที่นั่นมีหม้อใบใหญ่นับพันใบวางซ้อนกันแน่นขนัด ส่วนใหญ่ล้วนมีฝุ่นจับเป็นชั้นหนา เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนมาเยือนที่นี่นานแล้ว
“ศิษย์น้องเก้า เจ้าเลือกมาหนึ่งใบ พวกเราไปหุงข้าวก่อนล่ะ ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวข้าวเละขึ้นมา พวกลูกศิษย์นอกฝ่ายพวกนั้นจะโวยวายเอาอีก” จางต้าพั่งตะโกนหนึ่งทีก็หมุนตัวจากไป เริ่มเดินสวนขวักไขว่กับเหล่าคนอ้วนที่แบกหม้อนับร้อยพวกนั้นอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม มองหม้อพวกนั้นทีละใบ ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะเลือกใบไหนดี ทันใดนั้นก็มองเห็นหม้อใบหนึ่งที่ถูกทับไว้ในมุมด้านล่างสุด
หม้อใบนี้ค่อนข้างพิเศษ ไม่เป็นทรงกลม แต่เป็นทรงรี มองดูแล้วไม่เหมือนหม้อ กลับเหมือนกระดองเต่าเสียมากกว่า ทั้งยังเหมือนจะมองเห็นรอยเส้นสีทึบจางๆ บางส่วนด้วย
“เอ๊ะ?” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย รีบก้าวเร็วๆ เข้าไปหา หลังจากที่นั่งยองๆ พิจารณาอย่างละเอียดจึงดึงออกมา เมื่อดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว สายตาก็เผยความพึงพอใจ
เขาชอบเต่ามาตั้งแต่เด็ก เพราะเต่าเป็นตัวแทนของความอายุยืน และที่เขามาฝึกบำเพ็ญตนเป็นเซียนก็เพื่อเป็นอมตะ ตอนนี้พอเห็นว่าหม้อใบนี้เหมือนกระดองเต่า เขาจึงคิดว่านี่เป็นเรื่องมงคลอย่างมาก เป็นลางดี
หลังจากย้ายหม้อใบนี้ออกมา จางต้าพั่งที่มองเห็นจากที่ไกลๆ ก็ถือกระบวยอันใหญ่วิ่งเข้ามาหา
“ศิษย์น้องเก้าทำไมเจ้าถึงเลือกใบนี้ล่ะ หม้อใบนี้ไม่รู้ว่าวางไว้ตรงนั้นมากี่ปีแล้ว ไม่เคยมีใครใช้ เพราะว่ามันเหมือนกระดองเต่า ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครเลือกมันมาแบกไว้บนหลัง แล้วนี่…ศิษย์น้องเก้าเจ้าแน่ใจแล้วเหรอ?” จางต้าพั่งตบท้องของตัวเอง พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี
“แน่ใจ ข้าเลือกหม้อใบนี้นี่แหละ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมองหม้อใบนี้ก็ยิ่งชอบ พูดด้วยความหนักแน่น
จางต้าพั่งพูดเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยืนกรานถึงเพียงนี้ จึงมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ไม่พูดมากอีกต่อไป หลังจากจัดการที่พักในฝ่ายครัวไฟให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเรียบร้อยแล้ว ก็ไปทำธุระของตัวเองต่อ
เวลานี้เป็นยามตะวันรอนแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในกระท่อม พิจารณาดูหม้อรูปกระดองเต่าใบนั้นอย่างละเอียด พบว่าด้านหลังของหม้อใบนี้ มีลายเส้นอยู่หลายสิบเส้น เพียงแต่เป็นรอยจางๆ หากไม่ดูอย่างละเอียด ก็ยากที่จะสังเกตเห็น
ฉับพลันนั้นเขาก็รู้สึกว่าหม้อใบนี้พิเศษ จึงวางลงบนเตาอย่างระมัดระวัง และเพิ่งจะได้สำรวจห้องที่พักของตน ห้องนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง มีเตียงเล็กๆ หนึ่งหลัง โต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุด บนผนังแขวนกระจกทองแดงที่จำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันเอาไว้ ขณะที่เขามองไปรอบๆ ห้อง หม้อราบเรียบธรรมดาซึ่งอยู่ด้านหลังเขาใบนั้นพลันมีแสงสีม่วงเปล่งประกายวาบขึ้นและหายไป!
สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว วันนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้จะได้มาเยือนดินแดนเซียนที่ตนเองใฝ่ฝันหาแม้ในยามหลับใหลแล้วก็ตาม แต่ในใจของเขาก็ยังคงมีความสับสนอยู่อีกเล็กน้อย
หลังผ่านไปชั่วครู่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยความคาดหวัง
“ข้าต้องเป็นอมตะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งลงด้านข้าง หยิบเอาถุงผ้าของส่วนงานนักการที่หญิงสาวใบหน้าตกกระมอบให้
ข้างในมียาหนึ่งเม็ด กระบี่ไม้หนึ่งเล่ม ธูปหนึ่งดอก ต่อมาก็คือเสื้อผ้าและป้ายคำสั่งของส่วนงานนักการ สุดท้ายคือตำราไม้ไผ่หนึ่งม้วน ด้านบนมีตัวอักษรเล็กๆ อยู่ไม่กี่ตัว
“พลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง[4] บทรวมลมปราณ”
ช่วงสายัณห์ เป็นช่วงเวลาที่พวกจางต้าพั่งในฝ่ายครัวไฟยุ่งวุ่นวาย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกระท่อมกำลังมองตำราไม้ไผ่ แววตาปรากฏความคาดหวัง เขามาที่นี่ก็เพื่อเป็นอมตะ และประตูสู่ความเป็นอมตะก็มาอยู่ในมือของเขาแล้วในเวลานี้ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สี่ห้าครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปิดตำราไม้ไผ่ออกอ่าน
ผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏความตื่นเต้น ในตำราไม้ไผ่ม้วนนี้มีรูปภาพอยู่สามรูป จากคำอธิบายในนั้น การบำเพ็ญตบะแบ่งออกเป็นสองขั้นคือขั้นรวมลมปราณและขั้นสร้างฐานราก ส่วนพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางนี้แบ่งออกเป็นสิบขั้น ซึ่งเป็นสิบขั้นที่ถูกแบ่งเพื่อให้สอดคล้องกับการรวมลมปราณ
และทุกขั้นที่ฝึกได้ ก็จะสามารถควบคุมวัตถุนอกกายได้ หลังจากฝึกถึงขั้นที่สาม สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุที่มีน้ำหนักเกือบครึ่งหนึ่งของกระถาง ฝึกถึงขั้นที่หก จะควบคุมวัตถุน้ำหนักเกินครึ่งหนึ่งของกระถาง และเมื่อฝึกถึงขั้นที่เก้า จะควบคุมกระถางทั้งใบได้ ส่วนขั้นสุดท้ายซึ่งเป็นขั้นสมบูรณ์แบบที่สุด จะสามารถควบคุมวัตถุที่มีน้ำหนักเท่ากระถางสองใบได้
เพียงแต่วิชายุทธ์ที่อยู่ในตำราไม้ไผ่ม้วนนี้มีเพียงแค่สามขั้นแรก ขั้นอื่นๆ ที่เหลือไม่มีบันทึกเอาไว้ อีกทั้งหากคิดจะฝึกฝน ยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามวิธีการหายใจรวมไปถึงการทำท่าทางที่กำหนดไว้เป็นพิเศษ ถึงจะสามารถฝึกฝนวิชาพลังลมปราณม่วงขับควบคุมกระถางได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนรวบรวมสมาธิขึ้นมา ปรับลมหายใจ หลับตา ทำท่าตามภาพแรกบนตำราไม้ไผ่ ทำไปได้เพียงสามลม หายใจ ก็ต้องร้องโหยหวนออกมาเพราะความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั้งกาย ไม่สามารถยืนหยัดทำต่อไปได้อีก อีกทั้งวิธีหายใจแบบนั้นก็ทำให้เขารู้สึกว่าลมหายใจมีไม่พอใช้
“ยากชะมัด ในตำราบอกไว้ว่าหากฝึกฝนตามรูปที่หนึ่ง จะรู้สึกได้ว่าในร่างกายมีปราณสายบางๆ ไหลเวียนผ่านไป แต่นอกเหนือจากความเจ็บปวดแล้ว ข้าก็ไม่เห็นรู้สึกถึงอะไรอีกเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มเล็กน้อย แต่เพื่อความเป็นอมตะ จึงกัดฟันลองทำอีกที ลำบากลำบนอยู่อย่างนี้จนกระทั่งถึงพลบค่ำ เขาก็ยังคงไม่รู้สึกถึงปราณในร่างกาย
เขาไม่รู้ว่า ต่อให้เป็นคนที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ หากคิดจะฝึกฝนพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางขั้นแรกนี้เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีพลังภายนอกมาช่วย ก็จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน และเขาเองก็เพิ่งจะฝึกไปได้ไม่เพียงกี่ชั่วยาม[5] จึงไม่มีทางที่จะรู้สึกถึงปราณใดๆ ได้
ในเวลานี้ที่เจ็บปวดไปทั้งร่างกาย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยืดตัวบิดขี้เกียจ ขณะกำลังจะไปล้างหน้า ทันใดนั้นเสียงเอะอะโวยวายก็ดังลอยมาจากนอกประตู ป๋ายเสี่ยวฉุนยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง พลันก็เห็นชายหนุ่มผิวเหลืองร่างกายผอมแห้งคนหนึ่งยืนหน้าเขียวปั้ดอยู่นอกประตูใหญ่ของลานครัวไฟ
“ใครมันเข้ามาแทนที่ข้าสวีเป่าไฉ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
———-
[1] จางต้าพั่ง หวงเอ้อพั่ง เฮยซานพั่ง อักษรตัวแรกคือ แซ่ อักษรตัวที่สองคือลำดับ ตัวที่สามคำว่า ‘พั่ง’ แปลว่าอ้วน ดังนั้น จางต้าพั่งจึงแปลว่าจางอ้วนที่สุด หวงเอ้อพั่ง คือหวงอ้วนเป็นอันดับสอง เฮยซานพั่ง ก็คือเฮยอ้วนเป็นอันดับสาม
[2] ป๋ายจิ่ว ป๋ายคือแซ่ของป๋ายเสี่ยวฉุน จิ่วแปลว่าอันดับที่เก้า
[3] แบกหม้อดำ (背黑锅) ในภาษาจีนมีสองความหมาย ความหมายตรงตัวคือแบกหม้อสีดำ ความหมายเปรียบเปรยคือแพะรับบาป
[4] กระถาง (鼎) คือกระถางโลหะขนาดใหญ่มีน้ำหนักมาก บ้างหนักได้ถึง 700 ชั่ง (350 กิโลกรัม)
[5] ชั่วยาม หมายถึง เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง