บทที่ 214 ข้ากลับมาแล้ว…
ป๋ายเสี่ยวฉุนจนใจ ถลึงตาดุดันใส่เสินซ่วนจื่อหนึ่งครั้งถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างอิดออด เดินมานั่งลงด้านข้างผู้อาวุโสใหญ่ มองแผ่นหลังตั้งตรงของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ความรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้สัตว์ร้ายสมัยดึกดำบรรพ์เช่นนั้น ทำให้เหงื่อเย็นๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุนไหลริน ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
“พี่หญิงซ่ง วันนี้ท่านสวยจริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบพูด คำพูดของเขาดังออกมา ผู้อาวุโสสีเลือดสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างสีหน้าก็เหยเกขึ้นมาทันที แม้แต่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็ยังอึ้งตะลึง ขมวดคิ้วฉับ
ซ่งจวินหว่านหน้าแดงแปร๊ด ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“กะล่อนเล่นลิ้น นั่งให้มันดีๆ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ เขารู้สึกว่าซ่งจวินหว่านดูทะแม่งพิกล แตกต่างไปจากสามวันก่อนอย่างเห็นได้ชัด ยามนี้คิดอยู่นานก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ดังนั้นจึงนั่งให้เรียบร้อย มองซ้ายทีมองขวาที บางครั้งก็ก้มหน้ามองเบื้องล่าง
ไม่นานเขาก็มองเห็นว่าพื้นดินด้านล่างปรากฏเทือกเขาขนาดยักษ์แห่งหนึ่งทอดตัวยาว เทือกเขาแห่งนี้สูงตระหง่าน เมื่อมองลงไปจากท้องฟ้าก็ยิ่งสามารถมองเห็นค่ายกลได้รำไร
“เทือกเขาลั่วเฉิน…” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแน่วนิ่ง ที่นี่ก็คือจุดตัดระหว่างสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพ หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือที่นี่ถือเป็นขอบเขตของสำนักธาราเทพ เทือกเขาลั่วเฉิน
“เร็วเกินไปหน่อยไหม มาถึงตรงนี้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ มองเห็นว่าชั่วขณะที่หมอกเลือดซึ่งนั่งอยู่ลอยวาบผ่านเทือกเขาลั่วเฉินไป คล้ายจะมีคลื่นชั้นหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากบนเทือกเขา ปกคลุมไปทั่วชั้นเมฆสีเลือด ขยับเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าเมื่อมาถึงที่นี่ ทุกคนของสำนักธาราโลหิตที่เดินทางมาได้อยู่ในการควบคุมของสำนักธาราเทพแล้ว บุรพาจารย์ตระกูลซ่งสีหน้าเป็นปกติ ยังคงหลับตานั่งทำสมาธิอยู่เช่นเดิม ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เข้าใจว่าการมาเยือนครั้งนี้ต้องมีการติดต่อกับสำนักธาราเทพมาแล้วล่วงหน้าแน่นอน ดังนั้นถึงได้ถูกปล่อยให้เข้ามาได้
เมฆสีเลือดคำรามไปตลอดทาง สรรพสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนพื้นดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนค่อนข้างคุ้นเคยกับมัน เขามองเห็นคนร่างยักษ์นั่น แล้วก็มองเห็นนกขนาดมหึมาราวกับคุนเผิง[1] และยังมีจระเข้ใหญ่ยักษ์ที่เผยร่างออกมาครึ่งหนึ่งจากใต้ละอองน้ำของแม่น้ำทงเทียน
ทว่าสัตว์ยักษ์เหล่านี้เมื่อมองเห็นเมฆสีเลือดกลับพากันหลีกหนีถอยห่าง ราวกับว่าในเมฆสีเลือดมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกมันครั่นคร้าม
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตกใจ เหล่มองบุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่อยู่ด้านหน้า ไม่ได้พูดอะไร มองสรรพสิ่งด้านใต้ที่เริ่มคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมองเห็นสำนักธาราเทพจากที่ไกลๆ ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระเพื่อมขึ้นเป็นระลอกคลื่น
“ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้ เจ้ามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับลูกศิษย์หญิงในสำนักมากมาย เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตื่นเต้นอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นข้างหูของเขาก็มีเสียงซ่งจวินหว่านดังลอยมา
น้ำเสียงนี้แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น คล้ายได้ทะลุทะลวงเข้าไปในกระดูกแล้วกลายมาเป็นไอเย็น ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินอย่างนั้นก็ตะลึงไป ตอนที่มองไปยังซ่งจวินหว่าน ซ่งจวินหว่านแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ไม่ได้สนใจป๋ายเสี่ยวฉุน ลุกขึ้นยืนไปหยุดอยู่ข้างบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง
ผู้อาวุโสสีเลือดสองคนนั้นก็ทำแบบเดียวกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รีบลุกขึ้นยืน ในใจอึดอัดคับข้อง ในที่สุดเขาก็ได้รู้สักทีว่าทำไมครั้งนี้พอซ่งจวินหว่านเห็นหน้าเขาถึงได้ทำหน้ามึนตึงใส่
“หรือว่าสามวันมานี้ยายผู้หญิงคนนี้ไปสืบเรื่องของข้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจอยู่ในใจ ประวัติความเสเพลของเย่จั้งตัวปลอมในปีนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เคยถามมาก่อน ทว่าแม้แต่เย่จั้งตัวปลอมเองก็ยังจำไม่ได้แล้วว่ามีมากน้อยแค่ไหน…
เวลาไม่นาน ความเร็วของหมอกเลือดก็ค่อยๆ ชะลอตัวลง ยามนี้สำนักธาราเทพ…ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคนแล้ว ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตที่อยู่บนหมอกเลือดลุกขึ้นยืนนานแล้ว แต่ละคนเผยลักษณะดุร้าย กำลังมองสำนักธาราเทพด้วยสายตาเย็นชา
เวลาเดียวกันนั้น ยอดเขาทั้งแปดลูกของสำนักธาราเทพตอนนี้ก็มีลำแสงพุ่งขึ้นสูงพร้อมเพรียงกัน ลำแสงนี้ลอยขึ้นกลางอากาศด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้นภากาศเกิดเป็นน้ำวนขนาดมโหฬารหนึ่งลูก น้ำวนนี้เคลื่อนตัวต่อเนื่อง ส่งเสียงดังกัมปนาทลั่นแก้วหู พลังอำนาจสะเทือนเลือนลั่นฟ้าดินพลันระเบิดออกมาจากสองชายฝั่งเหนือใต้ของสำนักธาราเทพ ทำให้พื้นดินคล้ายเกิดมหาสมุทรแห่งโทสะ คลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ
ในน้ำวนนั้น ยามนี้ปรากฏดวงตาขึ้นมาข้างหนึ่ง แฝงไว้ด้วยอำนาจบารมีมากล้น มองมายังบุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่อยู่บนหมอกสีเลือด
ส่วนทุกคนของสำนักธาราโลหิตก็ราวกับกลายมาเป็นเรือลำน้อยโดดเดี่ยวซึ่งลอยคว้างอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรคลุ้มคลั่ง ภายใต้พลังฟ้าดินเช่นนี้ มันคล้ายสามารถพังทลายได้ตลอดเวลา ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี มีเพียงบุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าผู้เดียวเท่านั้นที่สีหน้ายังคงเป็นปกติ ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท
แต่ไม่นาน ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ วินาทีที่ดวงตาคู่นั้นเปิดออก มีประกายแสงสองเส้นระเบิดออกมาจากดวงตาของเขา กลายมาเป็นพลังอำนาจพลิกภูเขาตลบมหาสมุทรที่เขย่าคลอนไปแปดทิศ มันแผ่กระจายดังโครมครามไปเบื้องหน้า เขาลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็ก้าวเท้าออกไปยืนอยู่กลางอากาศ
ขณะที่ฝีเท้าของเขาเหยียบลงไปก็มาปรากฏตัวอยู่ในน้ำวนบนฟากฟ้าแล้ว ลำพังแค่คนคนเดียวก็สามารถต่อกรกับน้ำวนขนาดมโหฬารได้ถึงขนาดนี้
“ซ่งเหวินอวิ๋น สหายนักพรตซ่ง!” ในน้ำวน ดวงตาข้างนั้นพลันขุ่นมัว ในความขุ่นมัวนี้มีชายวัยกลางคนสวมชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกมา ชายผู้นี้เดินออกมาได้ก็ประสานมือคารวะพร้อมรอยยิ้ม
ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปก็จำได้ทันทีว่าชายชุดขาวผู้นี้ก็คือหนึ่งในบุรพาจารย์ของสำนักธาราเทพที่ปรากฏตัวช่วยเหลือในวันที่เถี่ยตั้นถือกำเนิด พลังอำนาจบนร่างของเขาก็ลึกล้ำเกินคาดเดาเช่นกัน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่ายังห่างไกลกับบุรพาจารย์ตระกูลซ่งอยู่มากนัก
“หลี่จื่อโม่ สหายนักพรตหลี่!” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งยิ้มน้อยๆ ประสานมือคารวะเช่นกัน ทั้งสองคนมองประสานสายตา เดินเหยียบย่างเข้าไปในน้ำวนบนนภากาศพร้อมกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกอยู่แล้วว่าบุรพาจารย์ตระกูลซ่งท่านนี้ไม่ธรรมดา ยามนี้พอมองไปก็ยิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็เข้าใจด้วยว่าหากไม่เพราะมั่นใจในความสามารถของตัว บุรพาจารย์ตระกูลซ่งคนนี้ก็คงไม่มาที่สำนักธาราเทพเพียงลำพัง
เวลานี้เมื่อบุรพาจารย์เหยียบย่างเข้าไปในน้ำวน สำนักธาราเทพที่อยู่เบื้องหน้าก็มีสายรุ้งเส้นยาวบินจากสองชายฝั่งเหนือใต้มาถึงหน้าประตูสำนัก กลายร่างเป็นเงาร่างมากมายเบื้องหน้าหมอกสีเลือด
ผู้นำไม่ใช่เจิ้งหย่วนตง แต่เป็นสวีเหม่ยเซียง ข้างกายนางคือหญิงชราเขายวนเหว่ย เบื้องหลังหญิงชรายังมีเป่ยหันเลี่ยและหญิงสาวคนหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยเจอมาก่อน
และเบื้องหลังของสวีเหม่ยเซียงก็พาจางต้าพั่งและหลู่เทียนเหล่ยมาด้วย
คนมากมายที่อยู่ด้านหลังยังมีนักพรตสร้างฐานรากชายฝั่งเหนือใต้อีกหลายสิบคน แทบทุกคนในนั้นหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปก็เห็นว่าล้วนเป็นคนคุ้นเคยของเขาทั้งสิ้น…และยังมีคนไม่น้อยที่สร้างฐานรากสำเร็จในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตภายใต้การช่วยเหลือของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเขาจงเฟิงเดินทางมาไกล เจ้าสำนักปิดด่าน จึงต้องให้ข้าน้อยมารับรอง เชิญ!” สวีเหม่ยเซียงกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ สายตากวาดมองไปยังทุกคนที่อยู่บนหมอกสีเลือด ขณะที่กวาดผ่านไปยังร่างของคนเจ็ดแปดคน สวีเหม่ยเซียงก็ให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุน…ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ผู้นำสวีเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญ!”
ซ่งจวินหว่านยิ้มน้อยๆ ก้าวเดินออกมาจากหมอกสีเลือด ป๋ายเสี่ยวฉุนและนักพรตคนอื่นของสำนักธาราโลหิตก็เดินตามมาด้านหลังด้วย ตอนที่เดินลงมาจากหมอกโลหิต มองสบตากับทุกคนของสำนักธาราเทพ ต่างฝ่ายต่างค้นพบสายตาไม่เป็นมิตรของอีกฝ่าย เมื่อเทียบกับไอดุร้ายของสำนักธาราโลหิตแล้ว สายตาของทุกคนในสำนักธาราเทพก็มีไอสังหารไม่ด้อยไปกว่ากัน
เห็นได้ชัดว่าลูกศิษย์สร้างฐานรากของสำนักธาราเทพรุ่นนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีประสบการณ์กับการเข่นฆ่าและคาวเลือด อีกทั้งสร้างฐานรากวิถีดินก็มีมากอย่างยิ่ง ในจุดนี้ต่อให้ซ่งจวินหว่านจะได้ยินมาก่อน แต่ดวงตาก็ยังคงหดตัวลงอยู่ดี
ส่วนซ่งจวินหว่านและสวีเหม่ยเซียงที่เดินเคียงกันอยู่ด้านหน้า ต่างฝ่ายต่างพูดคุย แม้จะดูเหมือนเกรงใจกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับกำลังหยั่งเชิงกันและกัน ส่วนผู้อาวุโสสีเลือดสองคนนั้นเวลานี้ก็มีหญิงชราของเขายวนเหว่ยเป็นผู้รับรอง
และข้างกายลูกศิษย์คนอื่นก็มีนักพรตของสำนักธาราเทพคอยจับตามอง ทำให้ทุกคนล้วนอยู่ในความควบคุม
ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในกลุ่มคน คนข้างกายที่ตามมาไม่ใช่นักพรตทั่วไป แต่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของชายฝั่งทิศเหนืออย่างเป่ยหันเลี่ย สีหน้าของเขาเคร่งขรึม ดวงตาคมกริบ ยามนี้เดินอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทีระวังภัย
มองเห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ตนถึงมีความรู้สึกวู่วามเป็นพิเศษ อยากจะพุ่งเข้าไปทักทายกับทุกคนให้รู้แล้วรู้รอด
ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็ลอยผ่านประตูสำนักธาราเทพ มาถึงเขาจ้งเต้า ลูกศิษย์สองชายฝั่งเหนือใต้ล้วนเงยหน้ามองทุกคนของสำนักธาราโลหิตด้วยดวงตาเย็นชา
จิตสังหารก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ความรู้สึกที่ได้กลับบ้านนี่ดีจริงๆ โดยเฉพาะกลับบ้านด้วยตัวตนของคนแปลกหน้าอย่างนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจมาก มองไปรอบด้าน กวาดตามองหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังหญิงชราเขายวนเหว่ยผู้นั้นอยู่หลายครั้ง
หญิงสาวผู้นี้ยังเป็นดรุณีรุ่นเยาว์ หน้าตางดงามอย่างยิ่ง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับพบว่าตนไม่เคยเห็นนางมาก่อน
“ดูท่าชายฝั่งทิศเหนือจะมีคนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลยนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความรู้สึกเหมือนเป็นผู้อาวุโส ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก มองจางต้าพั่งที่เดินตามหลังสวีเหม่ยเซียงอยู่ห่างๆ หนึ่งครั้ง
“จางต้าพั่งก็รวมลมปราณขั้นสิบแล้ว…” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมทั้งยังปลงอนิจจัง ทว่าเป่ยหันเลี่ยที่อยู่ข้างกายเขากลับตื่นเต้นขึ้นมา ทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองทิศทางหนึ่ง เขาก็จะระวังตัวแจยิ่งกว่าเดิม ในความคิดของเขา สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและความอำมหิต และพอนึกถึงข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเย่จั้งก็อดไม่ได้ที่จะหวาดผวา
“ว่ากันว่าเจ้าเย่จั้งผู้นี้โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุด ฆ่าคนราวผักปลา หื่นกามเป็นสันดาน คลำใครไม่มีหางก็ได้หมด ทั้งยังชื่นชอบเลือดของคนอย่างมาก ว่ากันว่าทุกวันหากไม่ได้ดื่มเลือดก็จะไม่หยุดพักเด็ดขาด หากไม่ได้หลับนอนกับผู้หญิงก็จะไม่เลิกรา คือมารร้ายตั้งแต่หัวจรดเท้า! แถมนิสัยก็ยังแปลกประหลาดเอาแน่เอานอนไม่ได้ วิธีการโหดร้าย สมควรตายเอ๊ย เขาหันไปมองศิษย์น้องหญิงฟางด้วย…แล้วเขาก็ยังมองไปที่จางต้าพั่ง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่…” ขณะที่เป่ยหันเลี่ยกำลังตึงเครียด ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหันมายิ้มให้เขา
ในสายของเป่ยหันเลี่ย รอยยิ้มนี้แฝงไว้ด้วยความเย็นชาและความอำมหิต แค่นั้นก็ยังพอว่า แต่เขากลับพบว่าตอนที่เย่จั้งหันมายิ้มให้ตน ยังยักคิ้วให้ด้วย ราวกับกำลังหยอกเย้าตนอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงสำลักลมหายใจอย่างอดไม่ได้ หน้าถอดสี
“ไม่ต้องตื่นเต้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเกลี้ยกล่อม เขาไม่พูดอะไรยังดี แต่พอพูดอย่างนี้มือขวาของเป่ยหันเลี่ยก็ยกขึ้นมาทำมุทราทันที อาวุธวิเศษปรากฏออกมารำไร
ไม่เพียงแต่เขาที่เป็นเช่นนี้ นักพรตสำนักธาราเทพคนอื่นที่อยู่รอบด้านก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน แต่ละคนสายตาไม่เป็นมิตร พร้อมใจกันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม รู้สึกว่าตัวเองก็แค่ทักทายกับเพื่อนเก่าเท่านั้น อีกฝ่ายกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตขนาดนี้…พวกซ่งจวินหว่านและสวีเหม่ยเซียงที่อยู่ไม่ไกล ยามนี้ก็สัมผัสได้เหมือนกัน หันกลับมามอง ลูกตาสวีเหม่ยเซียงหดตัวลง สายตาของจางต้าพั่งและหลู่เทียนเหล่ยที่อยู่ด้านหลังนางก็ลุ่มลึกลงไปน้อยๆ หญิงชราเขายวนเหว่ยก็ไม่ต่างกัน
แค่มองพวกเขาก็จำได้ว่านั่นคือเย่จั้งผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือสำนักธาราโลหิตในช่วงที่ผ่านมา ภาพวาดของเย่จั้งถูกนำมาเผยแพร่นานแล้ว โดยเฉพาะหลู่เทียนเหล่ยที่ดวงตาแอบมีแววท้าทาย สะบัดร่างหนึ่งครั้งเดินดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
มาหยุดอยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุน จ้องเขาเขม็งพร้อมเป่ยหันเลี่ย เห็นได้ชัดว่าในสำนักธาราเทพ ชื่อเสียงของเย่จั้งโด่งดังสะท้านฟ้าเป็นอย่างมาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่หลู่เทียนเหล่ยหนึ่งครั้ง รู้สึกว่าช่วงที่ตนไม่อยู่ในสำนักธาราเทพ หลู่เทียนเหล่ยผู้นี้ชักจะเหิมเกริมใหญ่แล้ว ถึงขนาดมาท้าทายตนได้
“ท่านนี้คือ…” สวีเหม่ยเซียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ เอ่ยถามขึ้นมา
“นั่นคือศิษย์น้องเย่จั้งของข้า” ซ่งจวินหว่านยิ้มน้อยๆ พลันเปลี่ยนหัวข้อ
“ได้ยินว่าสำนักธาราเทพมีลำดับผู้สืบทอดที่แน่นอนซึ่งสร้างฐานรากวิถีฟ้าผู้หนึ่ง นามว่าป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ทราบว่าจะขอพบหน่อยได้หรือไม่?”
——
[1] คุนเผิง (鲲鹏)ปลาและนกชนิดหนึ่งในหนังสือโบราณ ซึ่งปลาจะแปลงร่างเป็นนก