Skip to content

A Will Eternal 221

บทที่ 221 วิถีพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่ง

ลำแสงสีเขียวที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทำให้นภากาศกลิ้งซัดสาดไล่หลังกัน หรือแม้แต่ปราณเลือดที่อยู่รอบด้านบัดนี้ก็ยังแผ่กระจายออกมา ภาพนี้สร้างความสะท้านสะเทือนให้กับทั้งสำนักธาราโลหิต

ซ่งจวินหว่านผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาจงเฟิงกำลังนั่งทำสมาธิ เวลานี้ดวงตาทั้งคู่พลันเบิกโพลง ฉายแววตะลึงระคนสงสัย พอเดินออกไปนอกถ้ำก็มองเห็นแสงสีเขียวทันที ทั้งยังเห็นด้วยว่าจุดที่แสงสีเขียวพุ่งขึ้นมาก็คือสถานที่ตั้งของซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์

“เย่จั้งทำความเข้าใจอยู่ที่นั่น หรือว่า…” ใจของซ่งจวินหว่านสั่นระรัว รีบบินออกไป ไม่เพียงแต่นางเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ อีกสามเขาที่เหลือ ตอนนี้ก็มีรุ้งเส้นยาวห้อทะยานตรงไปยังซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน

หรือแม้แต่ในเขาจู่เฟิง เวลานี้มีจิตสัมผัสไม่น้อยแผ่ออกมาปกคลุมซากปราการโอสถศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ตรงนั้นทันใด มองเห็นความลึกล้ำในดวงตาของเขา มองเห็นสีหน้าที่เลื่อนลอยของเขา และยังมีท่าทางเคลิบเคลิ้มหลงใหลนั่นอีก ทุกอย่างนี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังประจักษ์แจ้งอยู่กับปราการโอสถ!

“ทุกระยะห่างประมาณหนึ่งร้อยปี จะต้องมีคนบรรลุสำเร็จ แต่กลับไม่เคยกระตุ้นให้ปราการโอสถส่องแสงสีเขียวเช่นนี้มาก่อน!”

“ข้าจำได้ว่าในตำราบันทึกเอาไว้ว่าเซวี่ยเจินเหรินของเมื่อแปดพันปีก่อนนั่น ตอนที่ทำความเข้าใจกับปราการโอสถนี้ก็เคยเกิดลำแพงสีเขียวพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าเช่นกัน…หรือว่า นั่นต่างหากถึงจะเป็นการบรรลุที่แท้จริง?”

“เย่จั้งผู้นี้…ไม่คิดเลยว่าในด้านวิถีพืชหญ้า เขาจะมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้!”

“ก่อนหน้านี้เขาก็หลอมยาเป็นอยู่แล้ว ตอนนี้ยังสามารถทำความเข้าใจได้อีก หากประสบความสำเร็จจริง ไม่แน่ว่าหลายปีให้หลัง สำนักธาราโลหิตของเราอาจจะเกิดปรมาจารย์โอสถขึ้นมาจริงๆ ก็ได้!!”

ไม่เพียงแต่พวกผู้อาวุโสไท่ซ่างที่สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน บัดนี้บนเขาจู่เฟิงก็ยิ่งมีสายตาสองเส้นที่ราวกับสายฟ้า จ้องมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน

คนหนึ่งคืออู๋จี๋จื่อ อีกคนหนึ่ง…ก็คือบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง!

สายตาของคนทั้งสองฉายแววแปลกประหลาด สีหน้าแสดงความประทับใจ หลังจากมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่ารอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเงาร่างมากมายปรากฏขึ้น บุรพาจารย์ตระกูลซ่งจึงเอ่ยปากขึ้นมากะทันหัน

“ซ่งจวินหว่านเป็นผู้พิทักษ์ให้แก่เย่จั้ง ใครก็ห้ามรบกวนเขาเด็ดขาด หากมีคนฝ่าฝืน ฆ่าอย่าให้เหลือ!”

น้ำเสียงของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งเย็นเยียบ ขณะที่ดังไปทั่วทิศ นักพรตเหล่านั้นที่เข้ามาใกล้รอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็หยุดชะงักฝีเท้าทันควัน ทุกคนหวาดกลัวจนตัวสั่น ความคิดเดิมที่ลอยขึ้นมาในใจก็หายวับไปทันตาเห็น

ซ่งจวินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก รีบหันไปทางเขาจู่เฟิงแล้วคารวะหนึ่งครั้ง เดินก้าวเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากนั่งขัดสมาธิเรียบร้อยก็เริ่มเป็นผู้พิทักษ์ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

และนักพรตบางส่วนในเขาจงเฟิงที่เป็นญาติกับซ่งจวินหว่านก็ทยอยกันมาถึง โอบล้อมอยู่รอบด้าน แต่ละคนนั่งลงทำสมาธิ มองนักพรตรอบนอกที่มายังที่แห่งนี้ด้วยดวงตาเย็นชา

มีซ่งจวินหว่านเป็นผู้พิทักษ์ ทั้งยังมีคำเตือนจากบุรพาจารย์ พวกนักพรตที่อยู่รอบด้านซึ่งมีจุดประสงค์แอบแฝง หลังจากมองอยู่สองสามครั้งก็ทยอยกันจากไป ไม่นานสถานที่แห่งนี้จึงตกอยู่ในความสงบอีกครั้ง

ทว่าหลังจากข่าวเรื่องที่เย่จั้งทำความเข้าใจกับปราการโอสถกระจายออกไป หนึ่งเดือนต่อจากนั้น ทุกวันจะต้องมีนักพรตจำนวนไม่น้อยเดินทางมาดู ซ่งจวินหว่านเองก็คอยมองไปทางป๋ายเสี่ยวฉุนที่ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยคล้ายคนสูญเสียจิตวิญญาณ ราวกับว่าในสายตาของเขามีเพียงปราการโอสถด้านหน้าเท่านั้นอยู่เป็นประจำ

“เย่จั้งผู้นี้…เลือดหวนคืนสู่บรรพบุรุษ มีวิชาพยากรณ์อันน่าตกตะลึง ทั้งวิถีโอสถยังมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ ปราการโอสถชิ้นนี้ของสำนักธาราโลหิตเรา ลูกศิษย์ที่มาทดลองทำความเข้าใจมีเยอะมาก แต่ต่อให้ทำสำเร็จได้จริงก็ไม่สามารถกระตุ้นให้ปราการโอสถเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ได้!

เย่จั้งผู้นี้ เขาประจักษ์แจ้งวิถีโอสถแบบใดในปราการโอสถกันแน่?” ซ่งจวินหว่านที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ ในส่วนลึกของดวงตานางมีประกายสดใสเพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก นางพบว่านับวันนางก็ยิ่งมองเย่จั้งผู้นี้ไม่ออก

ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมองง่ายมาก ราวกับว่าแค่มองปราดเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่ง ทว่าขณะที่นางคิดว่าตัวเองมองเขาได้ทะลุแล้ว อยู่ๆ กลับพบว่า สิ่งที่ตัวเองรู้ สิ่งที่ตัวเองเห็น เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยนิดในมหาสมุทรกว้างใหญ่เท่านั้น

“คนแบบนี้ ทำไมตอนรวมลมปราณชื่อเสียงถึงไม่โด่งดัง? หรือว่าเขาซุ่มเงียบค่อยๆ เปิดเผยความสามารถทีละน้อย?” ซ่งจวินหว่านมองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาฉายให้เห็นถึงการครุ่นคิด แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตัวนางเองก็ยังสัมผัสไม่ได้ว่าประกายมีชีวิตชีวาในดวงตาของนางเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนหลงลืมตัวเองไปนานแล้ว ในสายตาของเขามีแค่เพียงเงาร่างเลือนรางของอาจารย์โอสถผู้นั้น มีเพียงขั้นตอนการปรุงยาของคนผู้นี้เท่านั้น

เขาสังเกตครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งมองอย่างละเอียดแล้ว เงาร่างมายาบนปราการโอสถก็ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง เปลี่ยนไปเป็นคนอีกคน ซึ่งกำลังหลอมยาอยู่เหมือนกัน ทว่าวิธีการกลับไม่เหมือนกัน

แต่โดยภาพรวมแล้วทฤษฎีของวิถีโอสถกลับเหมือนกัน ต่างก็เป็นวิธีการนำยาพืชหญ้ามาใช้หลอมยาทั้งสิ้น แม้จะเป็นคนละคน คนละวิธีการ แต่ก็แสดงออกถึงความรู้เดียวกัน

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือน เขามองเงาร่างของคนแล้วคนเหล่าหลอมยา มองความรู้เดียวกันที่ทุกคนนำมาใช้สร้างสรรค์สรรพคุณทางยาของพืชหญ้าที่ตัวเองต้องการ

ไม่นานในสมองของเขาก็เหมือนได้เปิดประตูบานใหม่ ลมหายใจของเขาโลดแรง มือทั้งคู่ยกขึ้นเลียนแบบภาพการหลอมยาในปราการโอสถอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว

จากการเลียนแบบของมือทั้งคู่ ไม่นานบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปรากฏชั้นแสงสีเขียวขึ้นมาหนึ่งชั้น วินาทีที่แสงสีเขียวนี้ปรากฏขึ้น แสงของปราการโอสถก็ถูกดึงดูดให้พุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันที คล้ายต้องการเชื่อมต่อเข้ากับตัวเขา

สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดดังตูมหนึ่งครั้ง ชั่วขณะนั้นราวกับว่ามีความรู้ด้านวิถีโอสถจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะลักเข้ามาในสมองของเขาผ่านลำแสงสีเขียวนี้

ภาพนี้ทำให้ทุกคนบนเขาจู่เฟิงของสำนักธาราโลหิตสะท้านสะเทือนกันอีกครั้ง ทุกคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง แค่ตบะของพวกเขา มองปราดเดียวก็รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ

“นี่คือ…การสืบทอด!”

“มิน่าล่ะสำนักธาราโอสถถึงต้องการแลกเอาปราการโอสถนี้กลับไปหลายครั้งโดยไม่สนว่าต้องเสียค่าตอบแทนมากเท่าไหร่ หากไม่เป็นเพราะปีนั้นก่อนที่เซวี่ยเจินเหรินจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่าได้สั่งเอาไว้ว่าห้ามมอบปราการโอสถแห่งนี้คืนให้กับสำนักธาราโอสถเด็ดขาด ถ้าไม่อย่างนั้นคงถูกสำนักธาราโอสถแลกกลับคืนไปนานแล้ว”

“ของสิ่งนี้…คือการสืบทอดวิถีโอสถของสำนักธาราโอสถ…ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในสำนักธาราโอสถน่าจะยังมีซากปราการอยู่อีกครึ่งหนึ่ง?” บุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราโลหิตมองกันไปมา ต่างก็มองออกถึงความหวั่นไหวในใจของแต่ละคน

ท่ามกลางการสืบทอดนี้ ศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุนปวดร้าวอย่างรุนแรง ร่างของเขาสั่นเยือก ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ปากร้องคำรามเสียงต่ำพร่า ฝืนตัวเองให้อดทน

เขาตัดใจละทิ้งมันไปไม่ได้ เพราะความรู้วิถีโอสถเหล่านี้ เพียงแค่มองครั้งเดียวจิตใจเขาก็เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง

“ใช้ฟ้าดินเป็นเตาและกระถาง ใช้หมื่นสรรพสิ่งเป็นพืชหญ้า ความคิดแปลงเป็นเมล็ดพันธ์วิญญาณ หลอมโอสถแห่งความสร้างสรรค์!”

สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดเป็นลูกคลื่นขนาดใหญ่ซัดถาโถม บัดนี้เขานึกถึงฟางมู่ที่ถูกตนฆ่าตาย วิชาเตากระถางฟ้าดินของอีกฝ่าย…เห็นได้ชัดว่ามาจากประโยคแรกของการสืบทอดปราการโอสถนี้!

ขณะเดียวกัน เขาก็ยิ่งนึกถึงชายหนุ่มใบหน้าหยินหยางที่ตนสัมผัสถึงตอนฟางมู่ตาย ซึ่งแม้แต่ตัวฟางมู่เองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ถูกใบหน้าขาวดำนั่นปลูกฝังเมล็ดพันธ์วิญญาณเอาไว้ในร่าง!

เรื่องนี้ตอนนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่ามันพิลึกพิลั่น มองดูเหมือนว่าไม่ค่อยใส่ใจใบหน้าขาวดำนั่นเท่าไหร่นัก ทว่าในใจกลับระแวดระวังอย่างมาก และตอนนี้…ในที่สุดเขาก็เข้าใจวิชาที่อีกฝ่ายร่ายเอาไว้ มันก็คือ…ความคิดแปลงเมล็ดพันธ์วิญญาณ!

และส่วนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับสืบทอด ก็คือ…วิชาพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่ง!

เตากระถางฟ้าดิน พืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่ง ความคิดแปลงเมล็ดพันธ์วิญญาณ วิชาอภินิหารสามอย่างนี้ก็คือวิชารากฐานที่เป็นตัวประคับประคองสำนักธาราโอสถ!

เพียงแต่ว่าเนื่องจากปีนั้นสำนักธาราโลหิตแย่งเอาซากปราการครึ่งท่อนนี้มา ทำให้สำนักธาราโอสถขาดวิชาพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่งไป บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สำนักธาราโอสถค่อยๆ ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ก็เป็นได้

“ใช้หมื่นสรรพสิ่งมาเป็นพืชหญ้า การเปลี่ยนแปลงของพืชหญ้า หลอมรวมเป็นสรรพคุณทุกอย่างที่ต้องการ…วิถีโอสถเช่นนี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจรัวเร็ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ตัวเองแค่แสร้งมาทำท่าทางเล่นๆ แต่ดันได้รับวิชาสืบทอดมาจากปราการโอสถแห่งนี้จริงๆ

ภายใต้การรับสืบทอดของเขา แสงของปราการโอสถยิ่งอ่อนจางลงไปเรื่อยๆ แต่แสงสีเขียวบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที หลายวันต่อมา ชั่วขณะที่แสงสว่างบนปราการโอสถจางหายไป ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกโพลง แสงสีเขียวบนร่างของเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขย่าคลอนแปดทิศ ทำให้เกิดสายฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่ว ขณะเดียวกันกลางอากาศก็ปรากฏเงาร่างของพืชหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดพัก

ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักธาราโลหิตตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด สามารถจินตนาการได้ว่าหลังจากวันนี้ไป ชื่อเสียงของเย่จั้งจะต้องดังเลือนลั่นไปทั่วสำนักธาราโลหิตอีกครั้ง และยิ่งต้องดังลอยไปถึงหูของคนสำนักอื่น ชื่อของเย่จั้งจะเป็นที่เลื่องลืออีกครั้งในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรตอนล่างแม่น้ำตะวันออก

“เย่จั้ง…” ซ่งจวินหว่านลุกขึ้นยืน ดวงตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนแฝงไว้ด้วยความห่วงใย ป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้ผอมลงไปเกินรอบตัว เนื้อตลอดทั้งร่างยุบยวบลง แทบจะใกล้เคียงกับเนื้อหุ้มกระดูก ทว่านัยน์กลับเปล่งประกายระยิบระยับน่าตกใจ

“ข้าจะไปหลอมยา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าให้ซ่งจวินหว่าน ไม่มีเวลาอธิบายให้มากความ เวลานี้เขาต้องการย่อยความรู้ในสมองของตัวเอง จำเป็นต้องใช้การหลอมยาแบบเป็นรูปธรรมเพื่อให้ตัวเองจดจำความรู้ของพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่งได้อย่างแม่นยำ สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็บินทะยานไปยังเขาจงเฟิง ตลอดทางมีสายตาของคนนับไม่ถ้วนจับจ้องมองมา แม้แต่บุรพาจารย์บนเขาจู่เฟิงก็ยังมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตารอคอย

กลับมาถึงในถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปิดด่านทันที พืชหญ้าที่เขามีติดตัวมีอยู่ไม่มาก แต่ก็หยิบเอาออกมาอย่างไม่ลังเล เปิดเตาหลอมออก ไม่ได้หลอมยาวิเศษ แต่หลอมยาพืชหญ้าแทน

ท่ามกลางการหลอมยาครั้งนี้ เขาเชี่ยวชาญในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสรรพคุณยาของพืชหญ้ามากขึ้น หลังจากยืนยันกับบทสืบทอดในหัวสมองแล้ว ผลพวงที่ได้รับก็ยิ่งมากมหาศาล ถึงขั้นลืมกินลืมนอน และการให้ความสำคัญที่สำนักธาราโลหิตมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้แสดงออกมาในยามนี้เช่นกัน ภายใต้การจัดการของบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง พืชหญ้าจำนวนมากถูกส่งมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่คิดค่าตอบแทน ทั้งยังส่งเตาหลอมและหินเพลิงโลหิตมาให้อย่างต่อเนื่องด้วย

นี่คือทรัพยากรทั้งหมดของสำนักธาราโลหิต เพื่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีความชำนาญในวิชาสืบทอดโดยเร็วที่สุด ในบรรดาพืชหญ้าเหล่านั้นยังมีไม่น้อยที่เป็นของหายาก หากเอาไปขายข้างนอกก็สามารถได้ราคาสูงลิบลิ่ว มีแต่คนคิดจะแย่งชิงไปครอบครอง

ทว่าตอนนี้ทางสำนักกลับมอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไม่ลังเล

หรือแม้แต่เด็กรับใช้ที่เอาพืชหญ้ามาส่งให้ยังพูดกับป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเคารพนบนอบอย่างยิ่งด้วยว่า

“บุรพาจารย์ให้ศิษย์บอกกับท่านปรมาจารย์ว่านี่เป็นเพียงแค่ชุดแรกเท่านั้น หลังจากนี้ยังจะมีพืชหญ้าทยอยมาส่งให้อีก!”

และก็ด้วยเหตุที่พืชหญ้าชุดแรกส่งมาได้ทันเวลาพอดี ท่ามกลางขั้นตอนฝึกฝนวิชาสืบทอดให้ชำนาญของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่มีการหยุดชะงักกลางคัน ภายใต้การหลอมยาพืชหญ้าอย่างต่อเนื่องนี้ ดวงตาทั้งคู่ของเขาค่อยๆ เปล่งประกายวาววับ ความรู้วิถีโอสถของเขาก็ยิ่งพัฒนาพรวดพราดไม่หยุดยั้ง

อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังค้นพบด้วยความดีใจอย่างบ้าคลั่งว่า คัมภีร์โอสถหันเหมินที่ก่อนหน้านี้เขาอ่านไม่เข้าใจ มาบัดนี้เขาสามารถเข้าใจส่วนหนึ่งของหน้าแรกได้แล้ว!

ต่อให้เป็นเพียงแค่ส่วนเดียว ทว่าหลังจากเอามาประสานรวมเข้ากับพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่ง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยประกายแปลกประหลาด

“ข้ารู้สึกว่าในที่สุดตอนนี้ข้าสามารถหลอม…ยาระดับสี่ได้แล้ว แม้แต่ยาระดับห้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”

ยาระดับสี่ก็เหมือนทางแยกของสันเขายาวเหยียดแห่งหนึ่ง หากหลอมได้สำเร็จ เขาจะไม่ใช่ศิษย์โอสถอีกต่อไป แต่จะกลายมาเป็น…อาจารย์โอสถ!

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!