Skip to content

A Will Eternal 223

บทที่ 223 เตาหลอมยาบินเต็มฟ้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกเล็กน้อย มองเตาหลอมยาที่ระเบิดออกได้น่าหวาดผวาถึงเพียงนั้น ในใจเขาแอบร่ำร้องกับตัวเองว่าเกือบไปแล้ว…

“เมื่อครู่นี้หากช้าอีกนิดแล้วเตาหลอมยานั่นระเบิดอยู่ในถ้ำของข้า เกรงว่าถ้ำคงไม่ได้พังลงมาอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้ชีวิตน้อยๆ ของข้าไม่หายไป แต่ก็ต้องอยู่ในสภาพเอนจอนาถมากอย่างแน่นอน” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวหด มองไปยังทุกคนที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นในพื้นที่ที่ห่างไปไกลด้วยสายตาขออภัย รีบเพิ่มความแข็งแกร่งของค่ายกลทั้งในและนอกถ้ำของตัวเอง จากนั้นก็หันหลังกลับวิ่งหนีเข้าไปในถ้ำทันที

เตรียมพร้อมรับมือหากมีคนมาเอาเรื่องถึงที่ แต่หนึ่งวันเต็ม ป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าไม่มีใครมาหา เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จึงรอต่ออีกหน่อย แต่ก็ยังไม่มีคนมาอยู่ดี

“แปลกจัง…ช่างเถอะ ไม่สนแล้ว ข้าหลอมยาต่อดีกว่า ทำไมเตาหลอมถึงระเบิดได้นะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว นั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ เอามือเท้าคาง ครุ่นคิดอย่างหนัก

เขาไม่รู้ว่าที่ไม่มีคนมาเอาเรื่อง เพราะนามมารเย่ของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เป็นที่เลื่องลือในด้านความโหดร้ายไปแล้ว ไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นไม่อยากมา แต่พอนึกถึงภาพที่กระบี่โลหิตของป๋ายเสี่ยวฉุนสังหารคนไปทั่วสี่ทิศจึงต้องกัดฟันทนกันไป

และยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือถึงแม้เตาหลอมที่ระเบิดครั้งนี้มองดูแล้วเหมือนมีอานุภาพรุนแรง ทะเลเพลิงลุกไหม้ไปทั่วทุกหนแห่ง ทว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริงกลับมีไม่มาก…

สามวันต่อมา อยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตบขาตัวเองป้าบใหญ่

“ก่อนหน้านี้ตอนที่หลอมยาระดับสามเตาหลอมก็เคยระเบิดมาก่อน แต่ครั้งนี้สาเหตุไม่เหมือนกัน เป็นเพราะว่าตอนที่ยาวิเศษระดับสี่ใกล้หลอมออกมาเป็นยาได้สำเร็จจะต้องดูดซับเอาปราณจากรอบด้านเข้าไป ทำให้เกิดความไม่มั่นคง!”

“ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหินเพลิงโลหิต ครั้งนี้คือการพังทลายจากด้านในสู่ด้านนอก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจรัวเร็ว ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาทั้งคู่ฉายแววประจักษ์แจ้ง รีบลุกขึ้นยืน สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เอาเตาหลอมออกมาใหม่อีกอัน เริ่มหลอมยาต่อ

ครั้งนี้เขาใช้เวลาไม่นาน แค่วันเดียวเท่านั้น มองเห็นว่ายาวิเศษกำลังจะก่อรูปสำเร็จ เขาก็ตั้งสมาธิแน่วแน่ เตรียมพร้อมรับมือกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ทันใดนั้น เตาหลอมนี้พลันเป็นสีแดงโร่ รอยปริแตกปรากฏขึ้นอีกครั้ง ลมคลั่งที่เกิดขึ้นภายในดูเหมือนกำลังพองตัวออกอย่างต่อเนื่อง คราวนี้น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก

ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ รีบสะบัดปลายแขนเสื้อม้วนตลบเอาเตาหลอมนี้โยนออกไปกลางอากาศนอกถ้ำอย่างแรง ครั้งนี้ เขาไม่ทันได้เอ่ยเตือน…

เสียงดังกัมปนาทราวแก้วหูจะดับ ดังเกินเสียงฟ้าผ่า พลันสะท้อนไปทั่วกลางอากาศของเขาจงเฟิง เตาหลอมพังทลาย แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ หลายสิบชิ้นติดไฟสีม่วง ร่วงลงด้านล่าง…

เมื่อร่วงลงพื้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหวตามมาด้วยเสียงคำรามแหบแห้งด้วยความโกรธแค้นมากมายฟังไม่ได้ศัพท์

“เอาอีกแล้ว เย่จั้ง เจ้าคิดจะทำอะไร!!”

“เย่จั้ง นี่เจ้าหลอมยางั้นหรือ ถ้าคิดจะฆ่าข้า เจ้าก็มาสู้กันตัวๆ ไปเลยเซ่!!”

“นี่มันหลอมยาอะไรกัน!!”

เสียงคำรามดังไปทั่ว นักพรตสิบกว่าคนไฟโทสะลุกท่วมท้น ทว่าพอมองจำนวนคนที่มีอยู่แล้ว ทุกคนก็ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่กล้าไปหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนผวาอยู่ในถ้ำ รออยู่พักใหญ่ก็พบว่ายังไม่มีคนมาเยือน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา มองไปยังทิศไกลด้วยสายตาลึกล้ำ

“แม้ว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ จึงไม่ได้มาระบายอารมณ์โกรธเอากับข้า แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้ารับรอง…นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกว่าคนที่นี่ช่างดีจริงๆ ดังนั้นจึงหันกลับไปหลอมยาต่อ

สามวันต่อมา…

“สมควรตายเอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคลุ้มคลั่งนิดๆ เสียแล้ว รีบควบคุมเตาหลอมแล้วโยนออกไปอย่างแรง

ตู้ม!

ห้าวันต่อมา…เจ็ดวันต่อมา…สิบวันต่อมา…

“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับปีศาจบ้าคลั่ง ครั้งนี้เตาที่โยนออกไปคือเตาขนาดใหญ่ใบหนึ่ง!

ตู้มๆๆ!

ในสิบวันนี้ ตลอดทั้งเขาจงเฟิงบ้าคลั่งกันอย่างสมบูรณ์แบบ เตาหลอมยาที่ระเบิดหนึ่งครั้งทุกสามห้าวัน เศษชิ้นส่วนติดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงพื้นราวฝนดาวตก ทำให้ผืนดินทุกพื้นที่ของเขาจงเฟิงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงลุกโชติช่วง

ถ้ำที่เพิ่งสร้างใหม่หลายแห่งถูกไฟลุกท่วม นักพรตแต่ละคนคำรามคั่งแค้นโหยหวนถึงขีดสุด ตลอดทั้งเขาจงเฟิงวุ่นวายกันไปทุกหย่อมหญ้า

ถ้ำของเสินซ่วนจื่อปลอดภัยดี ทว่าตอนที่เขาออกไปด้านนอกกลับโดนลูกไฟโจมตีใส่…

นักพรตของเขาจงเฟิง จิตสังหารของพวกเขาที่สะสมทับถมมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยามนี้พุ่งทะลุเสียดฟ้าไปเป็นที่เรียบร้อย…

หรือแม้แต่พื้นที่นิ้วส่วนบนที่ถึงแม้จะดีกว่าหน่อย ทว่าก็มีไฟลุกไหม้เช่นกัน บริเวณที่อยู่ของนักพรตสร้างฐานรากช่วงกลาง ช่วงท้ายบางส่วนก็หนีไม่พ้น ตลอดทั้งเขาจงเฟิงยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างสมบูรณ์แบบ

“เย่จั้ง เจ้ารนหาที่ตาย!!”

“ไม่ฆ่าเย่จั้ง ไม่ขอเป็นคน!!”

“บัดซบเอ๊ย เจ้าเย่จั้งผู้นี้คิดจะดับเขาจงเฟิงของเราหรืออย่างไร นี่เขาได้หลอมยาเสียที่ไหน นี่มันหลอมพวกเราชัดๆ!”

โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย เตาหลอมขนาดยักษ์ที่อยู่กลางอากาศนั้นกลับไม่ได้ระเบิดทันที แต่ค่อยๆ ร่วงลงไปกระแทกลงบนน้ำตกสีเลือดแห่งหนึ่ง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นตามมาด้วยน้ำสีเลือดจำนวนมากที่สาดกระเซ็นไปทั่วราวฝนตก ซ่งเชวียคำรามโหยหวนดังไปสี่ทิศ ไฟลุกท่วมร่างของเขา ขนคิ้ว เส้นผมล้วนถูกเผาไหม้ทั้งหมด

“เย่จั้ง!!!” ซ่งเชวียคำรามโหยไห้ ถลาพรวดตรงดิ่งไปยังถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาเดียวกันนั้น คนอื่นที่เก็บกดมานาน พอได้ยินเสียงซ่งเชวียคำรามอย่างโกรธแค้น พวกเขาก็ระเบิดความแค้นเคืองออกมาอย่างเต็มที่

“ฆ่าเย่จั้ง!”

“เย่จั้งไม่ตาย สักวันพวกเราต้องถูกเขาเล่นงานจนตาย!”

“แรกสุดคือปราณเลือด จากนั้นก็ไล่จับกระต่าย มาวันนี้มีเตาหลอมยาระเบิดอีก เย่จั้ง เจ้ามันตัวหายนะชัดๆ!”

“ข้าจะฆ่าเจ้า ตอนปราณเลือดถ้ำของข้าพัง ตอนเจ้าจับกระต่ายถ้ำของข้าก็พัง ตอนนี้ถ้ำของข้าก็พังอีกแล้ว!!”

เขาจงเฟิงไม่เคยสามัคคีกันเช่นนี้มาก่อน นักพรตสร้างฐานรากตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงช่วงท้ายเกือบเก้าส่วนล้วนพกพาเอาไฟพิโรธบุกออกมา ตรงดิ่งไปยังที่ตั้งของถ้ำป๋ายเสี่ยวฉุน คิดจะร่วมมือกันใช้พลังอำนาจรุนแรง กำจัดทั้งคนทั้งถ้ำไปพร้อมกันทีเดียว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้สำนักไม่อนุญาตก็ไร้ประโยชน์ เพราะยังไงซะสำนักก็คงไม่คิดทำให้พวกเขาที่เป็นนักพรตสร้างฐานรากเกือบทั้งเขาจงเฟิงลำบากใจเพราะการตายของคนคนเดียวหรอก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สัมผัสได้ถึงภาพนี้เช่นกัน หนังหัวชาหนึบ ต่อให้ตอนนี้เขาจะสร้างฐานรากช่วงกลาง คิดว่าตัวเองสามารถทำลายคนได้ไม่น้อย แต่เห็นนักพรตสร้างฐานรากมากมายขนาดนี้ ด้านในนั้นมีทั้งวิถีมนุษย์ และวิถีดิน ตั้งแต่ช่วงต้นยันช่วงท้าย แต่ละคนไอสังหารตลบอบอวล ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่ไม่มีผมและขนคิ้ว

โดยเฉพาะผู้นำอย่างซ่งเชวียที่บนร่างยิ่งไม่มีขนเหลืออยู่แม้แต่เส้นเดียว ยามนี้กำลังตะโกนเสียงดังราวฟ้าผ่า เฮโลกันเข้ามา

“พวกเจ้าฟังข้าก่อน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนหน้าซีดเผือด หนังหัวชาดิก อกสั่นขวัญแขวน ถอยหลังกรูด คิดจะพูดเกลี้ยกล่อม ทว่าเสียงของเขากลับถูกเสียงคำรามแหบแห้งจำนวนนับไม่ถ้วนกลบทับทันทีทันใด มองเห็นว่าคนพวกนั้นบินเข้ามาใกล้ แต่ละคนระเบิดตบะออก พลังอำนาจสะเทือนฟ้าดินโผล่ออกมาจากบนร่างของพวกเขา ทำให้รอบด้านกลายเป็นเหมือนคลื่นแห่งความคั่งแค้น ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนคือเรือลำน้อยโดดเดี่ยวที่กำลังจะถูกคลื่นซัดจนแตกกระจาย

และเวลานี้เองเสียงฮึดฮัดเย็นชาเสียงหนึ่งพลันดังลอยมาจากบนเขาจู่เฟิง เสียงนี้เย็นเยียบราวน้ำแข็ง พริบตาเดียวก็หลอมรวมเข้าไปในจิตใจของทุกคนที่กำลังบ้าคลั่ง ทำให้นักพรตมากมายที่คิดจะเข่นฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นสะท้านกันขึ้นมาทันที

สามารถทำให้ทุกคนสงบลงได้กะทันหันเช่นนี้ มีเพียงผู้อาวุโสไท่ซ่างและบุรพาจารย์เท่านั้นที่ทำได้ และเสียงเมื่อครู่นี้ไม่ว่ามาจากใคร ก็ล้วนทำให้ทุกคนหวาดหวั่นได้ทั้งสิ้น

เวลาเดียวกันนั้น ร่างของซ่งจวินหว่านผู้อาวุโสใหญ่ก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน นางมองทุกคนที่เข้ามาใกล้ด้วยดวงตาเย็นชา ขมวดคิ้วมุ่น

“พอได้แล้ว เย่จั้งเองก็ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย การหลอมยายากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุได้!” เมื่อนางพูดเช่นนี้ พวกนักพรตรอบด้านพากันเงียบงันทันที แม้ว่าพวกเขาจะเคารพยำเกรงผู้อาวุโสใหญ่ ทว่าทุกคนต่างก็มีจิตใจเหี้ยมโหดและดุร้ายเป็นทุนเดิม ยามนี้ในใจไม่ยินยอม สายตาของแต่ละคนจึงเผยความอำมหิตออกมา

“นี่ก็เป็นความต้องการของบุรพาจารย์ด้วย!” ขณะที่ซ่งจวินหว่านเอ่ยปากราบเรียบ นัยน์ตาก็เผยประกายเย็นเฉียบ นักพรตที่อยู่เบื้องหน้านางเหล่านั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ล้วนรู้สึกขมขื่น ต่างคนต่างถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง ต่อให้เป็นซ่งเชวียเองก็ทำได้แค่ข่มกลั้นความโกรธแค้นเอาไว้ กัดฟันจากไป ทว่าในใจกลับยิ่งเกลียดชังป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้นไปอีก

“เขาไม่มีทางหลอมยาแบบนี้ไปได้ตลอดแน่ ความอดทนของบุรพาจารย์มีจำกัด หากนานวันไปแล้วเขายังหลอมยาออกมาไม่ได้ จุดจบของเขาต้องอนาจมากแน่นอน!” ในใจทุกคนหัวเราะเสียงเย็น เก็บกลั้นไฟโทสะครั้งนี้เอาไว้ รอคอยให้วันที่เย่จั้งถูกสำนักลงโทษมาถึง

จนกระทั่งทุกคนจากไปหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เดินออกมาด้วยความหวาดผวา ตบหน้าอกตัวเอง

“คนพวกนี้ไม่มีเหตุผล ข้ากำลังหลอมยาให้สำนักนะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเหลือบตามองซ่งจวินหว่าน พูดรัวเร็ว

ซ่งจวินหว่านหมุนตัวกลับมา มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าปั้นยาก ครู่ใหญ่ถึงได้ส่ายหัว ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการหลอมยาของอีกฝ่ายจะน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้…

“เย่จั้ง…เจ้าต้องหลอมยาที่ทำให้บุรพาจารย์พอใจให้ได้นะ” นางลังเลอยู่ชั่วครู่ หลังจากเตือนเขาด้วยท่าทางจริงจัง ก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำอีกหนึ่งครั้ง แล้วจึงหมุนกายจากไป

นางไม่สามารถพูดให้ชัดเจนไปมากกว่านี้ นางเชื่อว่าเย่จั้งจะเข้าใจ ฝ่ายสูงของสำนักธาราโลหิต ส่วนใหญ่แล้วมองแต่ผลลัพธ์ ไม่มองขั้นตอน หากสุดท้ายแล้วเย่จั้งสามารถหลอมยาออกมาได้ ทำให้บุรพาจารย์พอใจ ถ้าเช่นนั้นทุกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ ขอแค่ไม่ล้ำเส้นบรรทัดฐาน สำนักก็ไม่คิดจะสนใจ หรืออาจยังถึงขั้นให้การปกป้องอย่างโจ่งแจ้งด้วย

แต่หากว่า…สุดท้ายยาที่เขาหลอมออกมา ไม่สามารถทำให้พวกบุรพาจารย์พอใจได้ ถ้าเช่นนั้นคนแบบนี้ก็คือคนไร้ค่า เรื่องที่สำนักธาราโลหิตจะตามคิดบัญชีย้อนหลัง ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นน้อยครั้งเสียเมื่อไหร่

พูดง่ายๆ ก็คือ หากเจ้ามีประโยชน์ เจ้ายิ่งมีประโยชน์ สำนักก็ยิ่งสามารถปล่อยให้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้!

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย เหตุผลข้อนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจ หลังจากผ่านเหตุการณ์หลอมศพที่โรงเลี้ยงศพ เขาก็เข้าใจกฎของสำนักธาราโลหิตแล้ว…

“ดูแค่ผลลัพธ์ ไม่ดูขั้นตอน ช่างเป็นสำนักที่ดียิ่งนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง หมุนกายกลับเข้าไปในถ้ำ เริ่มหลอมยาต่อ

เวลาเดียวกันนั้น บนเขาจู่เฟิง ในศาลาแห่งหนึ่งที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งนั่งอยู่ เขาถอนสายตากลับคืนมาจากเขาจงเฟิง ยิ้มน้อยๆ ข้างกายเขามีผู้อาวุโสไท่ซ่างสองคนกำลังนั่งอยู่ด้านข้าง ยามนี้คนทั้งสองต่างก็ยิ้มขึ้นมา

“เย่จั้งหลอมยาแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างหนึ่งในนั้นส่ายหัว

“นี่ต่างหากถึงจะเป็นลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตของเรา แม้แต่หลอมยาก็ยังแตกต่างไปจากทุกคน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนของวิถีมาร คนอื่นหลอมยาล้วนเป็นเหมือนน้ำอุ่น แต่การหลอมยาของเขากลับเหมือนสายฟ้าฟาดผ่า พลังอำนาจสะท้านนภา!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกคนหนึ่งเอ่ยหยอกล้อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!